การสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศจีน
การสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศจีน
รศ.ดร.สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย
การสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การสอบคัดเลือกข้าราชการในประเทศจีนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดำเนินการมาเป็นเวลาที่ยาวนาน วิธีสอบคัดเลือกนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่มีวัตถุประสงค์ในการสอบเช่นเดิมคือ คัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถมารับราชการ ระบบนี้มีผลกระทบมากต่อเศรษฐกิจสังคมและการเมือง ทั้งยังทำให้เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนล้าหลังกว่าประเทศในโลกตะวันตกด้วย ระบบการสอบคัดเลือกนี้ มีข้อกำหนดที่แตกต่างกันในแต่ละราชวงศ์ ในที่นี้จะกล่าวเพียงวิธีการสอบคัดเลือกโดยสังเขป แต่ไม่กล่าวรายละเอียดการสอบในแต่ละสมัย การสอบเข้ารับราชการอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นในราชวงศ์สุย(隋)เมื่อ 1400 ปีก่อน(ค.ศ.587) และยกเลิกในปลายราชวงศ์ชิง(清) (ค.ศ.1905) กินเวลานานกว่า 1300 ปี ก่อนหน้านั้นการคัดเลือกบุคคลมาทำงานในภาครัฐ ไม่มีการสอบคัดเลือกเป็นทางการ ในราชวงศ์โจวตะวันตก(西周) เมื่อประมาณ 3000 ปีก่อน ซึ่งมีเวลานานกว่า 350 ปี (1122-770 ปีก่อนคริสตศักราช) การปกครองประเทศใช้ระบบศักดินา พระมหากษัตริย์แต่งตั้งขุนนางโดยการแบ่งพื้นที่ครอบครองขนาดแตกต่างกันตามบรรดาศักดิ์ ขุนนางผู้ครองพื้นที่เหล่านี้มีสิทธิ์ในการปกครอง แต่งตั้งข้าราชการ และเก็บภาษีในพื้นที่ของตนเอง การสืบทอดตำแหน่งของขุนนางระดับสูงที่มีศักดินาเป็นการสืบทอดจากบิดาสู่บุตร(ชาย) ข้าราชการระดับสูงในพื้นที่ก็สามารถสืบทอดตำแหน่งให้บุตรหลานของตนได้ มาในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก(东周) ซึ่งกินเวลานานกว่า 500 ปี (770-222 ปีก่อนค.ศ.) ที่เรียกกันว่าเป็นสมัยเลียดก๊กหรือเลี่ยกั๋ว(列国)ประเทศจีนแบ่งออกเป็นหลายรัฐ อำนาจของผู้ปกครองรัฐยังเป็นการสืบต่อกันในครอบครัวเดียวกันจากพ่อสู่ลูก(แต่ถ้าถูกโค่นล้มโดยรัฐอื่น ก็เปลี่ยนผู้ครองรัฐ) ในสมัยเลียดก๊กนี้ ผู้ครองรัฐต่างๆพากันหาผู้มีความรู้ความสามารถมาช่วยปกครองและต่อสู้กับรัฐอื่น ในสมัยนี้ มีบรรยากาศการเรียนหนังสือหาความรู้อย่างแพร่หลาย ความคิดของประชาชนก็ไม่ได้ถูกจำกัด จึงมีชนชั้นปัญญาชนเกิดขึ้นจำนวนมาก คนมีความรู้มีโอกาสเข้ารับราชการ แม้ไม่ได้มาจากครอบครัวร่ำรวยหรือมีวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ หลังจากที่ฉินซีฮ่องเต้(秦始皇)รวมประเทศเป็นปึกแผ่นและและขึ้นเป็นกษัตริย์ จีนมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งขุนนางข้าราชการระดับต่างๆ แต่ราชวงศ์ฉินครองอำนาจได้เพียงสิบกว่าปีก็เปลี่ยนมาเป็นราชวงศ์ฮั่น(汉) ซึ่งปกครองประเทศได้นานกว่า 400 ปี ต่อด้วยยุคสามก๊ก(三国时代)ราชวงศ์จิ้น(晉)และสมัยที่จีนแตกออกเป็นหลายรัฐ กว่าจะรวมเป็นปึกแผ่นได้อีกในราชวงศ์สุย(隋) ในราชวงศ์ฮั่น มีการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ จากการสรรหาผู้มีความรู้และมีคุณธรรม โดยให้ผู้นำในท้องถิ่นเป็นผู้คัดเลือก แล้วเสนอชื่อให้กษัตริย์แต่งตั้ง ในสมัยต่อๆมา ก็ใช้ระบบที่ใกล้เคียงกันกับราชวงศ์ฮั่น คือให้ข้าราชการในท้องถิ่นเป็นผู้เสนอชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสม โดยพิจารณาจากความรู้ความสามารถ และความประพฤติ เสนอให้ขุนนางในส่วนกลางคัดเลือกขั้นสุดท้าย แล้วนำเสนอให้กษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง โดยมีการแบ่งบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกออกเป็น 9 ขั้นตามผลประเมิน แต่กษัตริย์ก็อาจแต่งตั้งบุคคลที่ตนเห็นว่าเหมาะสมแม้ไม่ไม่รับการเสนอชื่อ ระบบการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการโดยการแต่งตั้งจากราชวงศ์ฮั่นถึงราชวงศ์สุย มีข้อเสียคือบุคคลที่รับการคัดเลือกมักมาจากพวกที่มีวงตระกูลสูงศักดิ์ เป็นผู้มีความใกล้ชิด หรือให้สินบนแก่ผู้มีสิทธ์คัดเลือก มาถึงราชวงศ์สุย ประเทศเป็นปึกแผ่นแล้ว จึงริเริ่มระบบการสอบคัดเลือกข้าราชการจากคนที่มีความรู้ความสามารถทั่วทั้งประเทศ การสอบคัดเลือก จะได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับวิธีและเนื้อหาสาระในการสอบ ในราชวงศ์สุย(隋)และถัง(唐)ข้อสอบในการคัดเลือก เป็นการให้เขียนเรียงความเพื่อทดสอบความรู้ทางด้านวรรณคดีและประวัติศาสตร์ และความคิดเกี่ยวกับการปกครองประเทศ 7ในราชวงศ์ซ่ง(宋)หมิง(明)และชิง(清)การสอบคัดเลือกมีระเบียบวิธีและแบบแผนที่ชัดเจนขึ้น แต่เนื้อหาสาระในการสอบกลับมีความจำกัด โดยเน้นความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ และความคิดสำนักขงจื๊อ ในราชวงศ์ซ่ง สำนักหลักการ(理学)ที่สาธยายความคิดของสำนักขงจื๊อเป็นที่ยอมรับของรัฐบาล การสอบคัดเลือกจึงเน้นความรู้และความคิดที่มีอยู่ในหนังสือและตำราของสำนักขงจื๊อที่เรียบเรียงโดยนักวิชาการในสมัยต่างๆ ต่อมาในราชวงศ์ซ่(南宋)จูซี(朱熹)ซึ่งเป็นขุนนางในสมัยนั้น กำหนดให้หนังสือสี่เล่ม(四书) คือ หลุนอวี่(论语)เมิ่งจื่อ(孟子)ต้าเสวีย(大学)และจงยง(中庸)เป็นตำราหลักในการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการ ควบคู่กับคัมภีร์ห้าเล่ม(五経)ของสำนักขงจื๊อคือ ซือจิง(诗经) ซั่งซู(尚书) หลี่จี้(礼记) โจวอี้(周易)และชุนชิว(春秋)ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้เข้าสอบคัดเลือกรับราชการก็ต้องศึกษาหนังสือสี่เล่มและคำภีร์ห้าเล่ม(四书五经) จึงสามารถสอบได้ อันที่จริง ปรัชญาสำนักขงจื๊อได้กลายเป็นความคิดหลักของนักวิชาการจีนตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น กษัตริย์ฮั่นอู่ตี้(汉武帝)ยกย่องความคิดของสำนักขงจื๊อและปฏิเสธความคิดของสำนักอื่น(罢绌百家 独尊儒术) ปรัชญาขงจื๊อจึงเป็นความคิดหลักที่ครอบงำการศึกษาในประเทศจีนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในสมัยราชวงศ์สุยและถัง ยังมีการสอบความรู้ทางด้านอื่น มาในราชวงศ์หมิงและชิง การสอบคัดเลือกเข้ารับราชการ เน้นเพียงความรู้ในหนังสือและตำราของสำนักขงจื๊อ ทั้งยังมีการกำหนดรูปแบบการเขียนที่เคร่งครัด ไม่ให้ผู้เข้าสอบมีความคิดเห็นของตนเองนอกจากความรู้ที่มีในหนังสือและตำราที่กำหนดไว้ ผู้เข้าสอบเพียงแต่เขียนตามรูปแบบที่กำหนดไว้ ตีความและขยายความโจทก์โดยการเขียนเรียงความแปดตอน (八股文) เป็นรูปแบบอื่นไม่ได้ ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง การสอบคัดเลือกเพื่อเข้ารับราชการมีการกำหนดเวลาที่แน่นอนและมีขั้นตอนที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่การสรรหาผู้ที่มีสิทธิ์เข้าสอบคัดเลือกขั้นต่อที่อำเภอ ต่อด้วยการสอบในระดับมณฑล และเมืองหลวงของประเทศ การสอบในอำเภอเรียกว่าการสอบระดับเด็กหนุ่ม(童试)ในทุกๆสามปีจะมีการสอบสองครั้ง ผู้สอบผ่านการคัดเลือกในระดับนี้เรียกว่าบัณฑิตหรือซิ่วไฉ(秀才)เมื่อสอบได้แล้ว จึงมีสิทธิ์สมัคเข้าสอบในระดับมณฑล(乡试) ซึ่งมีครั้งหนึ่งในทุกสามปี ผู้สอบได้ในระดับนี้เป็นมหาบัณฑิตหรือจวี่เหริน(举人)ถือว่าเป็นขั้นแรกของการรับราชการ แต่ยังไม่มีตำแหน่งใดๆอย่างเป็นทางการ การสอบคัดเลือกในระดับมณฑลนี้ สอบติดต่อกันหลายวัน ในระหว่างการสอบ ผู้เข้าสอบต้องอยู่รวมกันในสถานที่ที่กำหนดไว้ กิน นอนและปฎิบัติภารกิจส่วนตัวทุกอย่างในอาคารตั้งแต่ต้นจนจบ ออกไปไหนไม่ได้ การสอบคัดเลือกขั้นสุดท้ายคือการสอบที่เมืองหลวงที่เรียกว่า”ฮุ่ยซื่อ”(会试) ซึ่งจัดขึ้นทุกสามปี ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบคือผู้ที่สอบได้ในระดับมลฑลและเป็นจวี่เหรินแล้ว การสอบที่เมืองหลวงก็สอบหลายวัน และมีการควบคุมที่เข้มงวดมาก ผู้สอบได้จะมีสิทธิ์เข้าสอบในพระราชวังต่อหน้ากษัตริย์ในรอบสุดท้ายหรือ”เตี้ยนซื่อ”(殿试) ซึ่งมีการสอบเพียงวันเดียว การสอบครั้งนี้มีการจัดอันดับ ผู้สอบได้คะแนนอันดับหนึ่งเรียกจอหงวน(จ้วงเหวียน 状元)อันดับสองเรียกปั๋งเอี่ยน(榜眼)อันดับสามคือทั่นฮัว(探花)ที่เหลือเรียกจิ้นซื่อ(进士) หลังจากนั้น กษัตริย์จะทำการแต่งตั้งตำแหน่งราชการให้แก่ผู้สอบได้ทุกคน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ารับราชการ คนไทยมักเรียกระบบการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในประเทศจีนในสมัยก่อนว่า”สอบจอหงวน” แต่ที่จริงในการสอบคัดเลือกขั้นสุดท้าย มีจอหงวนเพียงคนเดียว การสอบในระดับอื่นๆก่อนหน้านั้น ก็ไม่มีใครเป็นจอหงวน ผู้ที่รับการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการได้ ถือว่าเป็นเกียรติต่อครอบครัวและวงศ์ตระกูลมาก ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบในเมืองหลวงในแต่ละครั้งมีอยู่หลายพันคน แต่คัดเลือกเพียงสองสามร้อยคน ผู้ที่สอบตกมีสิทธิ์เข้าสอบอีกในการสอบครั้งต่อไป แต่ก็ต้องคอยอีกสามปี บางคนสอบในระดับอำเภอได้เป็นบัณฑิตหรือซิ่วไฉ แต่ชอบเป็นมหาบัณฑิตหรือจวี่เหรินไม่ได้ หรือสอบเป็นจวี่เหรินได้แล้ว ไม่สามารถสอบผ่านในระดับประเทศเพื่อเป็นดุษฎีบัณฑิตหรือจิ้นซื่อได้จนแก่เฒ่า บางคนมีอายุหกเจ็ดสิบปีจึงสามารถสอบเป็นข้าราชการได้ ในบางสมัย เช่น ตอนปลายของราชวงศ์ชิง ผู้ที่ไม่ผ่านการสอบคัดเลือก ก็ใช้เงินซื้อตำแหน่งราชการแก่ตนเองหรือบุตรหลาน เพื่อเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลได้ ระบบการสอบคัดเลือกเพื่อสรรหาบุคคลเข้ารับราชการในประเทศจีนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชนี้ แม้มีข้อดีที่คัดเลือกคนที่มีความรู้มารับราชการได้โดยไม่จำกัดฐานะและวงศ์ตระกูล แต่มีข้อเสียหลายประการ และเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้จีนมีความล้าหลังในการพัฒนาประเทศ จนถึงต้นราชวงศ์หมิงเมื่อกว่า 600 ปีก่อน ประเทศจีนยังมีการพัฒนาเศรษฐกิจเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก หลังศตวรรษที่ 16 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในโลกตะวันตกมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ผู้มีความรู้ในประเทศจีนส่วนใหญ่ต้องจมปลักอยู่ในการอ่านหนังสือท่องตำราของสำนักขงจื๊อเพื่อเตรียมสอบคัดเลือกเข้ารับราชการ โดยไม่สนใจเรื่องอื่น เมื่อจีนถูกบังคับให้เปิดประเทศในสมัยราชวงศ์ชิงในศตวรรษที่ 19 พบว่าประเทศตนมีความล้าหลังมาก และต้องถูกรุกรานโดยชาติตะวันตกที่มีแสนยานุภาพที่เหนือกว่า และมีความเจริญทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่สูงกว่าจนเกือบสิ้นชาติ ในตอนต่อไปของบทความนี้ จะกล่าวถึงข้อดีและข้อเสียของระบบการสอบเข้ารับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์นี้