เสียงธรรมที่ซาบซึ้งใจ
เสียงธรรมที่ซาบซึ้งใจ
พระไพศาล วิสาโล
เมื่อหลวงปู่ขาว อนาลโย มาปักหลักตั้งสำนักที่ถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี เกือบ ๖๐ ปีที่แล้ว แม่ชีสาเป็นผู้หนึ่งที่ติดตามท่านมาด้วย แม่ชีสาไม่เพียงอุปัฏฐากหลวงปู่และพระเณรอย่างขยันขันแข็ง หากยังใส่ใจในการทำกรรมฐาน จนหลวงปู่ขาวกล่าวยกย่องแม่ชีสาว่าภาวนาดีมาก จนละ “ขี้” ได้สองกอง คือ “ขี้โลภ” และ “ขี้โกรธ”
วันหนึ่งหลวงปู่ใช้ให้พระสองรูปไปด่าแม่ชีสาเพื่อทดสอบดูว่าละความโกรธได้แค่ไหนแล้ว ทั้งสองรูปจึงพากันไปที่กุฏิของแม่ชีสา สรรหาคำรุนแรงสารพัดมาด่า แม่ชีสาตอนแรกงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พนมมือนั่งฟังพระอาจารย์ทั้งสองอย่างสงบโดยตลอด
หลังจากที่พระอาจารย์ทั้งสองด่าว่าจนพอใจ แม่ชีสาก็ถามว่า “ท่านอาจารย์ดุด่าดิฉันหมดหรือยัง หรือมีคำด่าว่าอยู่อีก ดิฉันได้ยินได้ฟังแล้วมันซาบซึ้งเหลือเกิน เสียงดุด่าเป็นเสียงธรรมทั้งหมดเลยเจ้าข้า”
แม่ชีสายังปวารณาอีกว่า “ขอให้อาจารย์ทั้งสองมาด่าดิฉันให้บ่อย ๆ ด้วย มันจะได้หมดกิเลสสักที”
คนทั่วไป เมื่อถูกต่อว่าด่าทอ ไม่เพียงรู้สึกโกรธ เจ็บปวดเหมือนถูกทำร้าย หากยังรู้สึกเสียใจที่ถูกมองในแง่ลบ หรือเสียหน้าเพราะความไม่ดีของตนถูกนำมาประจาน ยิ่งเป็นคนที่เคร่งครัดในศีล มุ่งมั่นทำความดีจนมีคนชื่นชมสรรเสริญ ก็ยิ่งรู้สึกแย่ที่กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของผู้อื่น ยิ่งผู้ที่ตำหนินั้นเป็นถึงครูบาอาจารย์ด้วยแล้ว ก็ย่อมรู้สึกอับอาย หรือถึงกับน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เหตุใดความดีของเราจึงไม่มีใครมองเห็น และหากคิดต่อไปว่า ถ้าเรื่องนี้แพร่หลาย มีคนอื่นรับรู้มากขึ้น ชื่อเสียงของเราย่อมป่นปี้ ภาพลักษณ์ดี ๆ จะเสียหาย คิดอย่างนี้จิตก็เป็นทุกข์ทันที
แต่ความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ไม่มีในใจของแม่ชีสาเลย จึงฟังคำด่าว่าของพระอาจารย์ทั้งสองด้วยใจนิ่งสงบ ราวกับไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเลย หรือพูดให้ถูกคือ ไม่รู้สึกว่าตัวตนถูกกระทบกระแทกแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะแม่ชีสามีความยึดติดในตัวตนน้อยมาก แต่เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เป็นเพราะท่านเห็นว่าคำต่อว่าด่าทอนั้นมีประโยชน์ ช่วยขูดเกลากิเลสได้เป็นอย่างดี จึงมีค่าเสมือนธรรมะอย่างหนึ่ง ที่จริงท่านอาจมองด้วยซ้ำว่า คำต่อว่าด่าทอนั้นคือธรรมะในตัวเอง เพราะสอนให้เห็นถึงความจริงของโลกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า โลกธรรม ๘ กล่าวคือ สรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน ถ้ายึดติดคำสรรเสริญ ก็ย่อมเป็นทุกข์เพราะคำติฉินนินทา ซึ่งไม่ว่าเป็นใครทำดีแค่ไหนก็ต้องเจอวันยังค่ำ
เรื่องของแม่ชีสาเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า คำต่อว่าด่าทอนั้น ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์ก็เพราะวางใจไม่ถูกต่อคำต่อว่าด่าทอต่างหาก เช่น มองเห็นเป็นสิ่งเลวร้าย หรือเพราะยึดติดถือมั่นในคำเหล่านั้น เช่น เอาแต่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงมัน วนเวียนอยู่กับความสำคัญมั่นหมายว่า เขาด่ากู ๆ ๆ พูดอีกอย่างคือชูตัวตนขึ้นเป็นเป้าของคำต่อว่าด่าทอนั้น ยิ่งชูหรือยึดตัวตนมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้น
ในทางตรงข้ามหากเห็นว่าคำต่อว่าด่าทอมีประโยชน์ ช่วยขูดกิเลส หรือทรมานอัตตาให้หายผยอง ยิ่งได้ฟัง ก็ยิ่งขอบคุณ แม้จะมีความทุกข์เกิดขึ้น ก็เห็นว่าทุกข์นั้นของ “ตัวกู” หรือเป็นความดิ้นพล่านของกิเสลมากกว่า จึงไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด
ทุกครั้งที่เป็นทุกข์เมื่อถูกต่อว่าด่าทอ อย่ามัวโทษผู้พูดว่าเป็นตัวการ ควรหันมาสำรวจใจของตนและแก้ที่ตรงนั้น จะว่าไปแล้วความก้าวหน้าในการภาวนาวัดกันที่ตรงนี้ หากยังโกรธเคืองเมื่อถูกต่อว่าด่าทอ ก็แสดงว่ายังมีการบ้านให้ต้องทำอีกมาก จะหลงภาคภูมิใจในความเป็นนักปฏิบัติธรรมหรือผู้ทรงศีล หาควรไม่
By: visalo.org