คัสเซม โซไลมานี ตอนที่ 5
คัสเซม โซไลมานี (5)
จรัญ มะลูลีม
แผนการถอนทหารจากอิรักจะทำลายแผนของทรัมป์ ในความใฝ่ฝันที่จะรักษาน้ำมันของซีเรียเอาไว้
อิทธิพลทางทหารของสหรัฐในเอเชียตะวันตกหรือตะวันออกกลางในอนาคตอันใกล้นี้จะผูกพันอยู่กับรัฐกษัตริย์ในอ่าวเปอร์เซียเป็นด้านหลัก
ในเวลาเดียวกันกระทรวงกลาโหมของสหรัฐจะส่งทหารเข้ามาในพื้นที่เป็นพิเศษ เพื่อดึงเอาประเทศปากีสถานมาอยู่กับตนด้วย
หลังวันที่โซไลมานีถูกลอบสังหารรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ Mike Pompeo เร่งรีบที่จะต่อสายไปยังนายพลกอมัร บาเจวา (Qamar Bajewa) ของปากีสถาน
ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยังได้ประกาศยุติการปิดกั้นการฝึกทางทหารและการให้การช่วยเหลือทางการศึกษาแก่กองทัพปากีสถานซึ่งนำมาใช้เมื่อปี 2018
อย่างไรก็ตามโฆษกกองทัพปากีสถาน กล่าวว่าจะไม่ยอมให้ทหารต่างชาติมาปฏิบัติการณ์ในแผ่นดินปากีสถาน
ในข้อความที่มีไปยังรัฐบาลอินเดีย ทรัมป์ไปไกลถึงกับอ้างว่าโซไลมานีเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการวางแผนก่อความรุนแรงในเมืองต่างๆ เช่นในนิวเดลีและลอนดอน
ทรัมป์ยังได้บอกกับนเรนทรา โมดี (Narandra Modi) ผู้นำของอินเดียให้สนับสนุนสหรัฐและรัฐบาลโมดีได้ยอมให้กับข้อเรียกร้องของสหรัฐ ที่ไม่ให้อินเดียซื้อน้ำมันจากอิหร่านและปฏิเสธการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ทำจากประเทศนี้
ในเวลาเดียวกันอินเดียได้รับการยกเว้นพิเศษจากรัฐบาลของทรัมป์ในการเดินไปข้างหน้าเพื่อพัฒนาท่าเรือชาบาฮัร (Chabahar port) ของอิหร่าน ส่วนอิหร่านนั้นหมดความอดทนกับอินเดียในโครงการดังกล่าวและโดยทั่วไปก็ไม่สบายใจที่รัฐบาลอินเดียยอมสยบให้กับสหรัฐ
อินเดียมิได้ประณามหรือแม้แต่วิพากษ์การลอบสังหารโซไลมานีแม้แต่น้อย แถลงการณ์ที่ออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศเพียงแต่ “กล่าวถึง” การจากไปของผู้นำทางทหารของอิหร่านเท่านั้น
หากมีสงครามใดๆ เกิดขึ้นในตะวันออกกลางก็ย่อมเป็นความยับเยินสำหรับเศรษฐกิจของอินเดีย ซึ่งตกอยู่ภายใต้การบีบคั้นของสหรัฐ
รัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดีย ชัยชังกัร (S Jaishankar) อยู่ที่อิหร่านเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2019 เพื่อการพบปะกันว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศ
เมื่อรัฐบาลของทรัมป์แซงก์ชั่นอิหร่านและยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านก็จะไม่มีข้อจำกัดในการผลิต รวมทั้งการเพิ่มยูเรเนียม
ทั้งนี้อิหร่านมิได้ห้ามการตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์จากหน่วยงานพลังงานปรมณูสากลที่จะเข้ามาอิหร่านแต่อย่างใด รัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดียกล่าวว่าอิหร่านให้ความร่วมมือกับผู้เข้ามาตรวจโครงการนิวเคลียร์จากหน่วยงานพลังงานปรมณูสากล (IAEA) เสมอ
สำหรับผู้ลงนามในข้อตกลงนิวเคลียร์อย่างรัสเซีย จีน เยอรมนีและฝรั่งเศส ต่างก็ประณามการกระทำแต่ฝ่ายเดียวของฝ่ายบริหารของทรัมป์ ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านที่สหรัฐถอนตัวออกไปเป็นการกระทำของทรัมป์โดยที่ทรัมป์มิได้หารือแต่อย่างใดกับกลุ่มประเทศ Nato
การตอบโต้ของอิหร่าน
อย่างที่ผู้นำอิหร่านได้สัญญาเอาไว้ว่าฐานทัพสองแห่งของสหรัฐในอิรักจะถูกโจมตีหลังจากครบสามวันของการไว้อาลัยการจากไปของโซไลมานีอย่างเป็นทางการ
กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติจึงส่งขีปนาวุธนำวิถีที่ยิงจากพื้นสู้พื้นไปยังฐานทัพ อัยน์ อัล-อะสัด (Ein al Asad) และฐานทัพที่เออร์บิล (Erbil) รัฐมนตรีกลาโหมของอิหร่าน อมีร หะตานี (Amir Hatani) ได้บันทึกไว้ว่านี้เป็นครั้งแรกนับจากสงครามโลกครั้งที่ II ที่ฐานทัพของสหรัฐตกเป็นเป้าการโจมตี
อะยาตุลลอฮ์ อะลี คอเมเนอี “สัญญาว่าการท้าทายโดยตรงต่อสหรัฐจะเกิดขึ้น” นายกรัฐมนตรีอิรักกล่าวว่าเขาได้รับการเตือนเกี่ยวกับการโจมตีที่จะเกิดขึ้นจากอิหร่านเพื่อให้ทหารของอิรักออกห่างจากการสูญเสีย
มีรายงานว่าประเทศฟินแลนด์ก็ได้รับรายงานถึงการจะมีการโจมตีจากอิหร่านเพื่อมิให้ทหารของตนเป็นเป้า ดังนั้นจึงไม่เป็นสิ่งที่แปลกใจว่าไม่มีความสูญเสียในส่วนของทหารอิรักและทหารต่างชาติอื่นๆ
ผู้นำทางทหารของอิหร่านกล่าวว่าการโจมตีเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้นเพื่อตอบสนองการสังหารโซไลมานีและพวกเขาจะใช้ “ปฏิบัติการเบื้องต้นเพื่อแก้แค้นให้กับผู้พลีชีพอย่างมุฮันดิส” ด้วยเช่นกัน
สหรัฐ-อิหร่าน ความสงบที่ไม่ยั่งยืนในตะวันออกกลาง
หลังจากการโต้กลับของอิหร่านไปยังฐานทัพของสหรัฐแบบจำกัดขอบเขตผ่านไปก็เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าทั้งสองประเทศหลีกเลี่ยงปฏิบัติการที่จะมีการใช้ความรุนแรง แม้ว่าจะมีการปลุกเร้าโวหารว่าด้วยการเผชิญหน้ากันมากขึ้นก็ตาม
อันเนื่องมาจากการสังหารโซไลมานี และการตอบโต้ทางทหารโดยอิหร่านในเวลาสามวันต่อมาจะเกิดขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ ดูเงียบงันไป เชื่อกันโดยทั่วไปว่าเป็นการเงียบลงก่อนจะเกิดพายุใหญ่ขึ้นตามมาในพื้นที่แถบตะวันออกกลาง
หลังจากขีปนาวุธจำนวนหนึ่งพุ่งตรงเข้าถล่มฐานทัพสองแห่งในอิรักแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ตอบโต้ทันทีด้วยการทวีตว่าอิหร่านได้ “ตัดสินใจที่จะผ่อนคลาย” และไม่มีทหารของสหรัฐได้รับบาดเจ็บแต่ประการใด
แต่ในเวลาต่อมาไม่นานนักฝ่ายกลาโหมของสหรัฐยอมรับว่าทหารของสหรัฐ 11 คน กำลังตกอยู่ภายใต้ภาวะสมองอักเสบ และต้องนำส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในคูเวตและเยอรมนี
การบาดเจ็บดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ได้มีการเตือนว่าอิหร่านจะใช้ขีปนาวุธโจมตีอย่างแน่นอน เป็นความจริงที่ว่าอิหร่านต้องการให้ทหารสหรัฐบาดเจ็บน้อยที่สุด ในขณะที่ได้ส่งสารไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าอิหร่านประสบความสำเร็จในการถล่มค่ายทหารของสหรัฐในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ภาพจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าขีปนาวุธของอิหร่านมีความแม่นยำในการเข้าถล่มฐานทัพอัยน์ อัล อสัด (Ain al Asad) การถล่มดังกล่าวทำให้ตึก 7 หลังในบริเวณดังกล่าวพังทลายลง โดยสามตึกเป็นที่เก็บรักษาเครื่องบินที่ใช้ในการรบ
ทั้งนี้ขีปนาวุธของอิหร่านได้เข้าโจมตีเฉพาะในส่วนที่มีทหารสหรัฐอยู่อาศัยเท่านั้น แต่ไม่ได้แตะต้องส่วนที่ทหารอิรักอาศัยอยู่แต่อย่างใด
ทหารสหรัฐซึ่งอยู่ที่ฐานทัพแห่งนี้ 1,500 คน ได้เข้าไปหลบในที่ที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัยหลังจากพวกเขาได้รับรู้สองชั่วโมงก่อนที่จะมีการโจมตี
นี่เป็นสารที่มีไปยังทรัมป์ว่าสงครามกับอิหร่านมิได้เป็นเรื่องที่จะทำได้ตามที่สหรัฐต้องการ แต่อย่างใด
ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์ก็ยังอยู่กับความพยายามที่จะหาข้ออ้างที่ว่าโซไลมานีมีความตั้งใจที่จะโจมตีต่อเป้าหมายในพื้นที่ “อย่างแน่นอน”
ข้ออ้างหลังสุดของเขาที่เขาเห็นว่าการสังหารโซไลมานีเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็คือโซไลมานีมี “อดีตที่น่าหวาดหวั่น” โดยเขาได้กล่าวเพิ่มเติมว่าโซไลมานีได้กล่าวหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูหมิ่นตัวเขาและฝ่ายบริหารของเขา
แต่เวลานี้ทรัมป์กลับกล่าวว่า “มันไม่ใช่สิ่งสำคัญอะไรที่โซไลมานีจะมาข่มขู่ว่าจะก่อความรุนแรง หรือไม่ก่อความรุนแรงอย่างแน่นอน แต่อย่างใด”
รัฐมนตรีกลาโหม Mark Esper กล่าวว่าเขาไม่เคยเห็นหลักฐานใดๆ ที่ว่า “จะมีการโจมตีที่ต้องเกิดขึ้น” เพื่อจะเล็งไปที่เป้าหมายของสหรัฐในภูมิภาค
“ทรัมป์สังหารโซไลมานีก็เพราะว่าเขาสามารถทำได้” เพราะเขาต้องการจะยืนยันว่าทหารสหรัฐมีอำนาจเหนือกว่า และเพราะเขาคิดว่าถ้ามันจะช่วยเขาให้ได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง Sonali Kolhatkar นักต่อต้านสงครามของสหรัฐกล่าว
รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ Mike Pompeo ก้าวไปสู่ก้าวที่มีอันตรายอีกหนึ่งก้าว โดยกล่าวว่าการสังหารโซไลมานีเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่กว้างไกลเพื่อหยุดยั้งศัตรูของสหรัฐอย่างเช่นจีนและรัสเซีย
ในการเป็นศัตรูของท่านนั้น ท่านจะต้องเข้าใจด้วยว่าไม่ใช่ท่านเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดความเสียหายได้ Pompeo คุยโวในคำปราศรัยของเขาที่ Hoover Institute ที่มหาวิทยาลัย Stanford
Pompeo นั่นได้ชื่อว่าเป็นผู้วางแผนอยู่เบื้องหลังนโยบายการทำลายล้างศัตรูของทรัมป์