ชั่วชีวิตหนึ่ง
ชั่วชีวิตหนึ่ง
เมื่อเดือนที่แล้ว ผมขึ้นรถเมล์จากบ้าน เพื่อไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ที่ไปรถเมล์เพราะไม่อยากไปรถยนต์ เอ๊ย เพราะไม่อยากไปหาที่จอดรถที่โรงพยาบาล เพราะสถานที่จอดรถจำกัด ต้องขึ้นอาคารจอดรถไปถึงชั้น ๘ หรือเหนือขึ้นไปอีก รถเมล์ สาย ๕๒๒ ที่ผมใช้บริการนั้น ไม่ถึงกับแน่นมาก พอยืนสบายๆ เมื่อขึ้นไปยืนบนรถเมล์ น้องที่ผมยืนค้ำอยู่ทำท่าจะลุกให้นั่งทันที แต่ผมขอให้เขานั่งต่อ สักพัก น้องคนที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างหน้าหันมาเห็น จะลุกให้นั่งอีก แต่ผมก็พยายามปฏิเสธ เพราะถ้าผมไม่ขึ้นมา เขาก็ได้นั่งอย่างสบายใจ จนกระทั่ง มีคนที่นั่งอยู่หน้าสุด จะลงป้าย ทำให้มีที่นั่งว่าง ๑ ที่ น้องคนที่ยืนตรงที่ว่างข้างหน้านั้น ไม่นั่งแต่หันกลับมาดูผมซึ่งยืนอยู่ด้านหลังไกลหน่อยให้ไปนั่ง ซึ่งผมก็ไปนั่งตามสัญญาณที่เขาให้และขอบคุณเขา น้องในเหตุการณ์ที่เล่าทั้ง ๓ คนนี้เป็นผู้หญิง ซึ่งไม่ทราบว่าผู้ชายหายไปไหน ทำไมที่รถคันนั้นมีแต่ผู้หญิง ก็ไม่สามารถอธิบายได้
ผมดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย ที่มีประเพณีเอื้ออารีต่อคนสูงอายุในที่สาธารณะ โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับผมเสมอๆ ตั้งแต่เริ่มเกษียณอายุราชการ เมื่อสมัยที่ยังหนุ่มแข็งแรง ผมก็ลุกให้ผู้หญิง เด็ก และคนแก่นั่งบนรถเมล์เหมือนกัน ตอนนี้ มาคิดถึงว่าไม่อยากจะขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้าหรือรถใต้ดิน เกรงใจที่มีคนต้องลุกให้นั่ง แต่ถ้าเป็นแท็กซี่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน เพราะตอนรถติดๆ รถไม่เคลื่อนไปไหน แต่อัตราเงินบนมิเตอร์ขึ้นตลอดเวลา ถ้าเป็นในช่วงกลางคืนค่ำๆ หากรถติดมากๆระยะทางจากเซ็นทรัล ลาดพร้าว ไปบ้านผมที่อยู่ข้างกรมป่าไม้ ประมาณ ๕ กม. ผมเลือกเดินกลับบ้าน ซึ่งมีคนเดินกันเยอะมาก การเดินทำให้เห็น ผู้คนร้านค้าที่ผ่านไปอย่างใกล้ชิด และสามารถจะคิดคำนึงไปเรื่อยๆ เห็นชัดเจนว่า คนที่มีชีวิตที่ปากกัด ตีนถีบ เพื่อความอยู่รอดในสังคมยังมีอีกหลายๆคน มีหนุ่มสาวที่พวกเขาได้พึ่งบริการอาหารค่ำจากรถเข็นบนทางเท้า แล้วพวกเขาคงกลับไปนอน เพื่อจะตื่นเช้า แต่งตัวมาซื้อของกินจากรถเข็นบนทางเท้า แถวป้ายรถเมล์ ก่อนไปทำงาน
ตอนช่วงปลายๆของชีวิตวัยทำงาน ผมได้มีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆโดยสายการบินไทย และได้นั่งที่นั่งชั้น ๑ ซึ่งที่นั่งในชั้นนี้แพงมาก บางครั้งในห้องผู้โดยสารขั้น ๑ นี้ ได้ไปคนเดียวเป็นชั้นส่วนตัวไปเลย และห้องน้ำก็ดูหรูหราสะอาดมาก แต่ในบางครั้ง ในชั้น ๑ นี้ ก็นั่งกัน ๒-๓ คนเท่านั้น
ในวันเดินทาง การบินไทยได้ส่งรถมารับถึงหน้าบ้าน เป็นรถเบนซ์ที่สวยหรูราคาแพง เมื่อ พนักงานขับรถมาจอดหน้าบ้าน พอเห็นบ้านผม อาจจะสงสัยว่ามาถูกบ้านหรือเปล่า หรือก็คงจะทราบทันที ว่าตั๋วเครื่องบินชั้น ๑ นี้ ดูสภาพบ้านแล้ว คงไม่ได้ซื้อเองแน่ เมื่อไปถึงสนามบิน ก็จะมีพนักงานสายการบิน ที่แต่งตัวใส่สูท เรียบร้อยมาก มารับไปเช็คตั๋วและสัมภาระ ซึ่งไม่ต้องทำเอง เขาทำให้เสร็จ แล้วพาเดินผ่านด่านตรวจเช็ค ช่องพิเศษ เข้าไปที่ห้อง วี ไอ พี จนถึงเวลาที่เครื่องบินออก จะมีเจ้าหน้าที่มารับ พาไปขึ้นเครื่อง และเมื่อได้นั่งบนเครื่องแล้ว พนักงานต้อนรับมาคุกเข่ารายงานตัวด้วยความสุภาพ และตลอดระยะเวลาที่อยู่บนเครื่องนี้ เจ้าหน้าที่ก็บริการเต็มความสามารถ เหมือนอยู่บนวิมาน ครั้งแรกที่ไปชั้น ๑ นี้ ผมสั่งไข่ปลาคาเวียร์ แกล้มไวน์ ซึ่งสั่งเพียงครั้งเดียว เห็นเป็นธรรมดาไม่ได้ติดใจ เพราะรสนิยมของเรา มันต้องลาบ น้ำตกถึงจะอร่อย
เมื่อเครื่องบินถึงปลายทางแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ที่แต่งตัวเรียบร้อย เหมือนที่ผ่านมา รอรับที่หน้าประตูเครื่องบิน ซึ่งได้ ออกมาก่อนผู้โดยสารอื่น แล้วนำไปผ่านพิธีการขาเข้าเมือง จนออกไปส่งถึงบริเวณภายนอก จึงเสร็จภารกิจของพนักงานบริการผู้โดยสารตั๋วเครื่องบินชั้น ๑ ของการบินไทยในสมัยที่ผมยังทำงานอยู่นั้น
มีอยู่เที่ยวบินหนึ่ง ที่ผู้โดยสารชั้นหนึ่งมี ๒ คน คือผม และชาวต่างประเทศชายวัยกลางคนอ้วนๆอีกคนหนึ่ง ก่อนจะถึงปลายทาง เขาเอาผ้าห่มที่ให้ใช้บนเครื่องยังอยู่ในห่อพลาสติกอย่างดีใส่กระเป๋ากลับบ้าน ๒-๓ ผืน พฤติกรรมแบบนี้ ทำให้คิดว่าเขาคงไม่ได้ซื้อตั๋วชั้นหนึ่งเองเช่นเดียวกับผม คือชอบเก็บของที่ระลึก สำหรับผม กลัวเสียฟอร์ม เลยไม่กล้าทำ
สรุปแล้ว ชีวิตนี้ เริ่มต้นจาก ขึ้นรถเมล์ ตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งรถเมล์ในกรุงเทพฯ และออกต่างจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งตอนนั้น ขณะที่โหนรถเมล์ไปกลับจากที่ทำงานทุกวัน รถติดแน่นและร้อนมาก สมองก็คิดอยู่ตลอดว่า อยากจะนั่งรถเก๋งแบบที่เห็นเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างทุกๆครั้ง ในสมัยนั้น ตอนงานเลิก รถเมล์แน่น ขี้เกียจกลับบ้าน จึงรอเวลารถว่างโดยเข้าร้านไก่ย่าง และสุราแม่โขง แต่พอรถเมล์ว่างแล้ว ก็ไม่ได้กลับอยู่ดี เช่าโรงแรมนอนข้างที่ทำงานเลยเพราะเมามาก กลับไม่ไหว เป็นแบบนี้บ่อยๆ
แต่แล้วในช่วงปลายของชีวิตทำงาน ก็ได้มีรถส่วนตัวนั่งกับเขาบ้าง ที่ได้นั่งและเอื้อเฟื้อเพื่อนร่วมงานที่อยู่ทางเดียวกันทุกๆวันด้วย
จะเห็นได้ว่าชีวิตของคนเรา คงจะคล้ายๆกัน คือเริ่มต้นด้วยความยากลำบาก ต้องขึ้นรถเมล์เบียดเสียดยัดเยียด แล้วพยายามต่อสู้ชีวิต จนต่อมาดีขึ้น ได้สัมผัสบรรยากาศการขึ้นเครื่องบินชั้น ๑ หรูหราสะดวกสบาย จนในที่สุด ความหรูหรา ก็จบลงตามกาลเวลา กลับมาขึ้นรถเมล์อีก แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะ ความมีน้ำใจดีของรุ่นลูกหลาน เมื่อขึ้นรถเมล์ ต่างก็จะลุกขึ้นให้นั่งแทน เพราะเป็นบั้นปลายชีวิต และคิดว่า อีกไม่นาน สักวันหนึ่ง ชีวิตแห่งการเดินทาง ไม่ว่าจะเดินเอง หรือรถเมล์ก็ต้องจบลง นี่แหละชีวิต เมื่อผมได้มีโอกาสไปฟิลิปปินส์ ณ ที่ตึกแห่งหนึ่ง กำลังขึ้นบันใดเพื่อไปชั้นบน เขาเขียนคำคมติดไว้ว่า “ขณะที่เรากำลังขึ้นไปข้างบน อย่าลืมคนที่ยืนอยู่ ตามรายทาง เพราะเมื่อเราลงมา ต้องพบพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง” เป็นคำคมที่ผมประทับใจมากๆ เพราะตรงใจพอดี
ถ้าเกิดในครอบครัวธรรมดา ไม่มีใครเอาชนะสัจธรรมของชีวิตได้ ที่เริ่มจากศูนย์ แล้วก็ต่อสู้ฟันฝ่าไปเรื่อยๆจนถึงจุดสูงสุดของแต่ละคน แล้วในที่สุด ชีวิตก็หักเห ลดต่ำลงมา จนเหลือศูนย์ จากโลกนี้ไป ตอนนี้ มีโอกาส ก็เตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับสถานการณ์เมื่อชีวิตดำเนินไปบั้นปลาย อยากจะเข้มแข็งเพียงพอ แล้วแต่พฤติกรรมที่ทำมาตามบุญตามกรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการมัน แต่มันคือชีวิตเรา และทุกๆคน
บู๊ คนเคยหนุ่ม (เชียงใหม่ ๒๗ พย. ๖๒ )