แวะเพชรบูรณ์
แวะเพชรบูรณ์
หลังจากไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ เพิ่งจะมีโอกาส กลับมาอยู่เชียงใหม่ เมื่อ ๒- ๓ วันก่อนนี้เอง ที่ต้องมา เพื่อมาทำธุระบางอย่าง ทำให้ต้องเดินทาง ไปๆมาๆ ครั้งนี้ ได้ขับรถผ่านไปเพชรบูรณ์ เพื่อแวะเยี่ยมรุ่นพี่คนหนึ่ง พี่คนนี้ เป็นรุ่นพี่ห่างกัน ๒ ปี เคยเรียนชั้นมัธยมที่เดียวกัน ซึ่งผมก็เรียนที่นั่น คือ สาธิตประสานมิตร แล้วเรียนที่เกษตร พี่เขาชื่อว่า อยุธ แต่ผมขอเรียกว่า พี่ยุธ
สำหรับที่เกษตร ยังจำได้ว่าสมัยเรียนมัธยมปลาย อาจารย์ซึ่งจบเกษตรได้พานักเรียนไปทัศนศึกษาที่นั่น และพี่ๆในฐานะศิษย์เก่า (สาธิตประสานมิตร) ได้มาต้อนรับอาจารย์และน้องๆ ซึ่งพี่ยุธก็เป็นคนหนึ่งในกลุ่มพี่ๆนั้น ซึ่งผมตอนนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า จะได้มาเรียนที่เกษตรนี้เหมือนกัน
ที่แวะเพชรบูรณ์ครั้งนี้ พี่ยุธชวนนอนค้างที่บ้าน พร้อมอาหารการกินทุกมื้อ ที่กินประจำวันยังไง ก็แบบนั้น แต่ด้วยความสามารถของแม่ครัว ทำให้รสชาติจูงใจกินได้มาก เมนูไข่และผักทำให้ผู้สูงอายุชอบ แล้วยังมีบรรยากาศเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ไม่ได้แปลกถิ่นไปไหน
พูดถึงไข่แล้ว ลองทำความเข้าใจกับภาษาอังกฤษหน่อย เริ่มต้น ด้วย fried egg คือไข่ดาว แต่ไข่เจียวเรียก omelet สำหรับไข่ต้ม เป็น boiled egg ซึ่งมีทั้ง hard, medium และ soft สิ่งทำง่ายๆลงกระทะแล้วละเลงเลย หมายถึง ไข่คน scrambled egg ไอ้คำว่าไข่คนนี่แหละ สมัยหนุ่มๆไปต่างประเทศ เพื่อนคนไทยเกิดเจ็บไข่ขึ้นมา จึงไปหาหมอ เล่าอาการให้ฟังว่า ผมเจ็บ my scrambled egg มาก หมอสงสัยว่า ไอ้ที่พูดอยู่ตรงไหน พอเขาชี้ตำแหน่งที่ปวด หมอบอกว่าตรงนั้น เขาเรียกว่า boiled egg ต่างหาก
กลับมาที่บรรยากาศบ้านพี่ยุธ ซึ่งกว้างขวางมากสมเป็นบ้านในชนบท ถมขึ้นมาสูง เพราะมีประวัติน้ำท่วมเพชรบูรณ์หลายครั้ง มีสระกว้างใหญ่อยู่ตรงกลาง และปลูก บ้านหลังหลักด้านหน้า และหลังเล็ก (ซึ่งไม่เล็ก) ด้านหลัง ได้จัดให้ผมและหัวหน้าคณะที่เดินทางไปด้วยกัน (ภรรยาผมเอง) พักอย่างอิสระที่หลังเล็กริมสระ ถ้ายืนไม่ระวังอาจจะตกไปในสระได้ พี่ยุธพาเดินรอบๆสระ เล่าความเป็นมาในอดีตว่าเหตุใดจึงได้มาอยู่ที่นี่
นอกจากเดินรอบสระแล้ว ยังไปเที่ยวเดินในสวนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งกว้างมาก คงประมาณ ๑๐๐ ไร่เศษ ที่ซื้อได้กว้างเพราะซื้อมานานแล้ว สมัยนั้นราคาที่ดินยังไม่สูงนัก สวนนี้ปลูกพืชหลายชนิด ก็ล้มลุกคลุกคลานมา ที่เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน คือมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเปลือกหนา เหมาะสำหรับส่งออก เป็นการปลูกแบบระยะชิด ตัดแต่งกิ่ง แม้ผลผลิตจะน้อย แต่จำนวนต้นมากขึ้น เมื่อคำนวนผลผลิตต่อพื้นที่แล้ว ก็คงได้พอๆกับการปลูกระยะห่างตามปกติ นอกจากนั้น สวนนี้ยังประดับด้วยต้นสักริมถนนตลอดระยะทางในสวน ต้นสักอายุยาวนานพอสมควร อีกไม่นานก็คงตัดได้แล้ว สำหรับไม้ผลอื่นๆ ที่ยังเล็กๆอยู่มีทุเรียน มังคุด ฯลฯ ทุเรียนต้องได้รับการดูแลพิเศษ ดินต้องระบายน้ำดี และต้องให้น้ำสม่ำเสมอ เห็นว่าใช้ระบบ sprinkler มีสระเป็นแหล่งน้ำในสวนอยู่หลายแห่งด้วยกัน สำหรับผมไม่สามารถแนะนำอะไรได้ เพราะพี่ยุธเคยรับอาสาปลูกป่าของ ปตท. และที่อื่นๆ มาเป็นแสนๆไร่แล้ว ที่พี่ยุธเล่าว่าปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง พันธุ์เดียว เพื่อสะดวกในการเก็บจำหน่าย ซึ่งสามารถส่งไปตลาดเดียว สะดวกมาก ถ้าเป็นหลายพันธุ์ อาจจะต้องส่งหลายแห่ง หรือไปนั่งขายเองก็เป็นได้
จากการก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกัน พี่ยุธมีคู่ชีวิต เพิ่งจะจากไป คือพี่หมอสมพร ทั้งสองพบกันตั้งแต่เป็นนักเรียน ที่สาธิตประสานมิตร มีอดีตด้วยกันที่ยาวนาน พี่หมอเป็นคนน่ารัก ผมได้พบหลายครั้ง และอาลัยในการจากไปของพี่หมอ
ยังจำได้ว่าเมื่อสมัยที่พี่ยุธปลูกป่า เมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีก่อน พวกเราหลายคนเคยมาเที่ยวดูกิจการ พี่ยุธพาขึ้นเขาไปให้ชมผลงานบนภูเขากว้างขวางและสูงมาก ขับรถบนถนนดินขรุขระด้วยความชำนาญ มีที่พักเป็นศาลาให้นั่งเล่นบนเขาที่พาขึ้นไป ผมประทับใจห้องน้ำ ที่หน้าผาสูง เพราะมีฝา และประตูห้องน้ำแค่ ๓ ด้าน ยกเว้นด้านที่ติดกับหน้าผาโล่ง เพราะด้านล่างของหน้าผาก็คือป่าเราดีๆนี่เอง จึงเป็นที่อับคนปีนขึ้นมาไม่ได้ ฉะนั้น เข้าห้องน้ำแห่งนี้ไม่ต้องกลัวเรื่องอากาศไม่ดี เหมือนสถานที่ท่ามกลางธรรมชาติและขุนเขา บริสุทธิ์มาก
เมื่อได้พักที่บ้านพี่ยุธ ๑ คืน และรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางไปต่อ อันที่จริงแล้ว เพชรบูรณ์เคยเป็นสถานที่คุ้นเคยมาก เพราะเป็นแหล่งปลูกพืชไร่ที่ผมทำงานอยู่นานหลายปี ส่วนใหญ่ เกษตรกรจะปลูกข้าวโพดตอนต้นฤดู และปลายฝนอาจจะเป็นข้าวฟ่าง (สมัยนั้น มีลูกผสมแล้ว) ถั่วเหลือง และถั่วต่างๆ มองออกไป ๒ ข้างถนนจะเป็นพื้นที่การเกษตร สุดลูกหูลูกตา ในละแวกพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ยังเป็นพืชไร่หลายจังหวัด แต่มาภายหลัง เนื่องจากทำกิจการอื่น เช่นอ้อย หรือผลไม้ได้ราคาสูงกว่า พืชไร่จึงซบเซาลง โดยเฉพาะ ๒ ข้างทางกลายเป็นอาคาร โรงงาน ร้านรวงต่างๆ เห็นพื้นที่การเกษตรลดลงมาก
มุ่งหน้าไป พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ และลำปาง ตั้งใจจะไปทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่ ซึ่งสมัยก่อน ตอนหนุ่มๆไปซื้อเสื้อม่อฮ่อมที่นั่นใส่กัน พวกเกษตรสมัยนั้น ให้ความสำคัญกับม่อฮ่อม หรือเสื้อเชิร์ต ๒ กระเป๋า ผ้าม่อฮ่อม ทุกคนต้องมีแบบนี้ใส่กัน เพราะมันหมายถึงลูกทุ่งพื้นเมืองที่สมบุกสมบัน สมญานามว่า”เกษตรศาสตร์เรา” เมื่อถึงบ้านทุ่งโฮ้งแล้ว ได้เดินดูเสื้อผ้าร้านต่างๆจนละลานตา แต่ไม่ได้ซื้อสักตัว ได้แต่ดูอย่างเดียว เพราะ เมื่อเห็นเสื้อผ้าใหม่ๆแล้ว ทำให้ระลึกได้ว่า ยังมีเสื้อผ้าของตัวเองอีกหลายตัว และประการที่ ๒ คือ คนแก่แล้ว จะใส่เสื้ออะไร หน้าตา ก็ยังแก่ เหนียงยานอยู่ดี ไม่ต้องไปใส่เสื้อดี ขอให้ไม่ขาด และสะอาดๆก็พอแล้ว
สำหรับคำว่า”ม่อฮ่อม” หรือบางแห่งเขียนว่า “หม้อห้อม” เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยชนเผ่าลาวพวน จากแขวงเชียงขวาง สปป. ลาว ซึ่งอพยพไปอยู่ที่บ้านทุ่งโฮ้ง ในอดีต ผ้าม่อฮ่อมเป็นผ้าฝ้ายทอมือ จากดอกฝ้ายขาว มาทำเป็นเส้นใยแล้วทอด้วยกี่พื้นเมืองเป็นผ้าพื้นสีขาว ตัดเป้นเสื้อผ้า กางเกงเตี่ยวสะตอ แล้วเอามาย้อมกับน้ำฮ่อม ที่ได้จากการหมักต้นฮ่อม แรกสุดจำหน่ายให้กับคนงานสมบุกสมบัน ทำงานในป่า หรือพื้นบ้านต่างๆ ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนา และดีไซน์ สำหรับแฟชั่น แต่ยังคงความเป็นลักษณะพื้นเมืองอยู่ และราคาถูก (เรียบเรียงมาจาก google)
จากทุ่งโฮ้ง แวะกินขนมจีนข้างทาง ที่โชเฟอร์รถบรรทุก ๑๐ ล้อ เขาแวะกัน เพราะเขาทำเสร็จ ใช้เวลาน้อย ต่อจากนั้น มุ่งหน้าไปลำปาง ซึ่งถนนเส้นนี้ กำลังปรับปรุง อีกไม่นาน ก็จะมีถนนดีๆ อีก ๑ สาย ใครต้องการม่อฮ่อม ทุงโฮ้งก็ไปแวะได้ ถนนทางเหนือนี้ ไต่เขาวนเวียนไปมาเยอะมาก รถกำลังน้อยๆ แบบของผม ก็ต้องคลานไปอย่างอืดๆ ออกจากเพชรบูรณ์ ประมาณ ๘ โมง ถึงเชียงใหม่ เกือบ ๖ โมงเย็น คิดว่าไม่น่าจะโดนใบสั่ง เรื่องขับรถเร็ว เพราะความอืดของรถ
ขณะที่นั่งเขียนอยู้นี้ กำลังผจญฝุ่นอยู่ที่เชียงใหม่ ก็สงสัยเหมือนกันว่าฝุ่นมาจากไหน ที่แน่ใจอยู่ปัจจัยหนึ่งคือความแห้งแล้งฝนไม่ตก แต่สงสัยว่าทำไมฝุ่นถึงแพร่กระจายไปทั่ว ขนาดที่โล่งๆมีแต่ต้นไม้ ไม่มีฝุ่น แบบห้วยตึงเฒ่า ก็มัวไปหมด เคยเห็นภูเขาชัดๆ ตอนนี้กลายเป็นท้องฟ้ามัวๆ ฝุ่นมาจากไหน เอาให้แน่อีกที
ขอให้ผมไม่เป็นอะไร เนื่องจากฝุ่นก็แล้วกัน
บู๊ คนเคยหนุ่ม
เชียงใหม่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๗