อย่าเพิ่งมั่นใจว่า”ทรัมพ์”แพ้เลือกตั้ง
สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
อย่าเพิ่งมั่นใจว่า”ทรัมพ์”แพ้เลือกตั้ง
อีกประมาณสี่สัปดาห์จากนี้ไป สหรัฐอเมริกาก็จะมีการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ ขึ้นพร้อมๆ กัน ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมา ในระบอบประชาธิปไตย
เป็นการเลือกตั้งที่ไม่มีอะไรจะมายับยั้งไว้ได้ แม้แต่การแพร่ระบาดของ”โรค”โควิด 19” ซึ่งกำลังโหมกระหน่ำดินแดนแห่งนี้ ชนิดที่ไม่มีทีท่าว่าจะสร่างซา เพียงเพราะความไม่เคารพในกฎระเบียบการป้องกัน ด้วยถือว่า สิทธิเสรีภาพ ย่อมต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกเหนือสิ่งอื่นใด
ผู้คนชาวอเมริกันก็เลยต้อง ป่วย เจ็บ ล้ม ตาย กันเป็นใบไม้ร่วง นำหน้าชาติอื่นใดในโลก เป็นที่น่ายกย่องในความอหังการ์ยิ่งนัก
ขั้นตอนการเลือกตั้ง ในช่วงที่เขียนเรื่องนี้ ก็คือพรรครีพับลิกันประชุมใหญ่พรรคเป็นคืนที่ ๒ (อังคารที่ ๒๕ สค.เวลาท้องถิ่นสหรัฐ)เพื่อยืนยันการเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรค ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของ”โดนัลด์ ทรัมพ์” ที่เมือง”แจ็กสันวิลล์”รัฐฟลอริดา ซึ่ง”ทรัมพ์”ก็ได้หอบเอาครอบครัวไปปราศรัยสนับสนุนเขา รวมทั้ง สุภาพสตรีหมายเลข ๑ “เมลาเนีย ทรัมพ์”ผู้เป็นภริยาด้วย
โดยมี”ไมค์ เพนซ์”เข้าคู่ลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีดังเดิม ไม่เปลี่ยนเป็นคนอื่น
สำหรับ”ทรัมพ์”นั้น จะปราศรัยในค่ำคืนวันพฤหัสบดี(๒๗ สิงหาคม) เป็นการปิดท้ายการประชุมใหญ่ครั้งนี้
ส่วนการประชุมใหญ่พรรคของเดโมแครต เพื่อรับรอง”โจ ไบเดน”ส่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี(พร้อมรับรอง”กมลา แฮร์ริส”เข้าคู่กับเขาลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี) กระทำไปก่อนหน้านั้นแล้วที่เมือง”มิลวอกี”รัฐวิสคอนซินระหว่างวันที่ ๑๗–๒๐ สิงหาคมที่ผ่านมา
นั่นเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองล่าสุดในการช่วงชิงกันขึ้นเป็นผู้นำประเทศของสหรัฐอเมริกา ของพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคและพรรคอื่นๆ ซึ่งมีบางประเด็นน่าติดตามในรายละเอียด ที่จะหยิบยกมาให้เห็น ซึ่งน่าจะบ่งชี้ความเป็นไปได้ว่า ใครน่าจะขึ้นมา เป็นผู้นำสหรัฐคนต่อไป ดังต่อไปนี้
Pew Research Center ซึ่งหมายถึงหน่วยงาน “คลังข้อมูล”ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ระบุว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยของชาติ(สหรัฐ)ในขณะนี้ สำรวจพบว่าเกือบ ๘ ใน ๑๐ ของผู้ลงทะเบียนเลือกตั้ง (หรือราว ๗๙ %) เห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจเป็นประเด็นสำคัญสูงสุด ที่ชาวบ้านจะนำมาประกอบการตัดสินใจลงคะแนนว่าจะเลือกใคร
ทั้งนี้ โดยมีประเด็นสูงสุดอื่นๆ รองลงมาอีก ๑๑ ประเด็น ที่จะใช้ในการพิจารณาตัดสินใจโหวต ได้แก่
การดูแลด้านสาธารณสุข ๖๘ % / การแต่งตั้งศาลสูง ๖๔ % / การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ๖๒ % / อาชญากรรมรุนแรง ๕๙ % / นโยบายต่างประเทศ ๕๗ % / นโยบายปืน ๕๕ % / ความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ๕๒ % / การอพยพ ๕๒ % / ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ๔๙ % / ภูมิอากาศแปรปรวน ๔๓ % / การทำแท้ง ๔๐ %
ซึ่งก็หมายความว่า ยังมีประเด็นแยกย่อยอีกมากมายที่เป็นหัวข้อในการพิจารณาประกอบว่า จะโหวตให้ใคร แต่ไม่อาจนำมาแจกแจงหรือพรรณาจนหมดสิ้นได้
เมื่อนำ”ประเด็น”คนอเมริกันผู้งทะเบียนไปใช้สิทธิ์ให้ความสำคัญสูงสุด มาพิจารณาแล้ว จะพบข้อเท็จจริงว่า การที่วงการทั่วไป โดยเฉพาะวงการสื่อสารมวลชน หรือโลกภายนอก มีความเห็นว่า “ทรัมพ์”น่าจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ให้แก่“ไบเดน” เพราะพลาดท่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ”โควิด 19”อย่างทันท่วงทีนั้น อาจเป็นการคาดหวังที่เกินจริง เพราะมีความเป็นไปได้ว่า ผู้ใช้สิทธิ์โดยเฉพาะฝ่ายขวาสุดโต่ง อาจนำคะแนนส่วนใหญ่เทน้ำหนักสนับสนุน”ทรัมพ์”เพราะยังคงเชื่อว่า “ทรัมพ์”สามารถสร้างงาน หรือทำให้เศรษฐกิจชาติดีกว่า“ไบเดน”ซึ่งยังไม่มีผลงานอะไรเลย
ถึงแม้”ทรัมพ์”จะเปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีนและกระทบ กระเทือนผลประโยชน์ของบางกลุ่มธุรกิจอเมริกัน แต่ก็เพื่อรักษาผลประโยชนของชาติอย่างชัดเจน ดังนั้น ประเด็นที่จะชี้ขาด ก็คือเศรษฐกิจนี่เอง เช่น ในกรณีที่ว่า ระยะที่ผ่านมา มีตำแหน่งงานเพิ่มหรือไม่ หรือคนอเมริกันได้ทำงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ น่าจะมีส่วนช่วย”ทรัมพ์”
ซึ่งก็มีข่าวที่ไม่มีการยืนยันว่านโยบายเศรษฐกิจรวมๆ ของ“ทรัมพ์”ทำให้มีการจ้างงานเพิ่มจริง จากการที่”ทรัมพ์”พยายาม”กันท่า”ไม่ให้ต่างชาติเข้าประเทศหรือด้วยการเนรเทศคนลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย
ในแง่เศรษฐกิจส่วนรวมนั้น การวิเคราะห์ตัวเลขของ Pew Research Center ระบุว่าพรรครีพับลิกันมีความสามารถในการจัดการเศรษฐกิจได้ดีกว่า พรรคเดโมแครตถึง ๙ % (๔๙ % ต่อ ๔๐ %)
นอกจากนั้น ผู้ถูกสำรวจยังเชื่อว่าพรรครีพับลิกันทำงานดีกว่าพรรคเดโมแครตในการจัดการกับประเด็นก่อการร้าย (๔๖ % ต่อ ๓๗ %)
นี้คือการยกตัวอย่างบางประเด็นมาแสดงให้ประจักษ์ว่า แม้”ทรัมพ์”จะชั่วร้ายอย่างไร ปากเสีย โป้ปดมดเท็จ ไร้คุณธรรมทำให้เสื่อมความศรัทธาอย่างไร แต่มองในแง่รวมๆ แล้วพรรครีพับลิกันได้เปรียบพรรคเดโมแครต
ที่นี้ลองมาดูกันในประเด็นร้อนแรงที่ถกถียงกันในขณะนี้ว่าการโหวตเสียงคราวนี้ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งส่วนใหญ่ จะใช้วิธีโหวตผ่านไปรษณีย์มากขึ้น เพราะผู้คนพากันกลัวติดเชื้อการแพร่ระบาดของไวรัสเวลาไปลงคะแนนเสียง ทั้งนี้มีรัฐต่างๆ ที่กำหนดท่าทีที่จะทำเช่นนี้หกรัฐแล้ว อาทิ แคฟอร์เนีย, ยูทาห์, ฮาวาย, โอเรกอน, โคราโดและวอชิงตัน
ปรากฏว่าเมื่อวันอังคารที่ ๒๕ สิงหาคมที่ผ่านมานี้ “ทรัมพ์”ออกแถลงแสดงความห่วงใยว่า จะเป็นช่องทางให้โกงเลือกตั้งกันขนานใหญ่
ภายใต้กฎเกณฑ์นี้ไม่มีหลักฐานว่า จะโกงกันอย่างไร เพราะเคยทำกันมาเมื่อสี่ปีที่แล้วอย่างสะดวก ซึ่งปรากฏว่า”ทรัมพ์”ก็ชนะเลือกตั้งไปในการแข่งขันกับ”ฮิลลารี คลินตัน”
สำหรับในคราวนี้ หากมีการโหวตผ่านการลงคะแนนทางไปรษณีย์ ซึ่งก็จะจัดการโหวตวันเดียวกัน กับที่มีการโหวตเสียงตามปกติธรรม สำหรับผู้ไม่ต้องการใช้วิธีโหวตผ่านไปรษณีย์
เอาเป็นว่า ณ บัดนี้ ใกล้กำหนดจะเลือกตั้งประธานาธิดีสหรัฐแล้ว แต่ยังคงมี”วาระ”ที่ยังต้องติดตามสังเกตการณ์อยู่อีกสามสี่ประการ ด้วยกัน คือ
๑ การอภิปรายแสดงทัศนะ ไหวพริบปฏิภาณของผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม ๒๕๖๓
๒ การโหวตลงคะแนนเสียงในวันอังคารที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
๓ การลงคะแนนของคณะเลือกตั้ง Electoral vote ของ Elector (๕๓๗ เสียง / ใครได้ ๒๗๐ เสียง คนนั้นชนะ)ในวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๔
๔ พิธีเริ่มต้นเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๔
จึงเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ