การเมืองในสหรัฐฯเริ่มคลี่คลาย : แต่การเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก

การเมืองในสหรัฐฯเริ่มคลี่คลาย : แต่การเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารรประชาธิปไตย
ในที่สุดทรัมป์ก็ยินยอมอนุญาตให้ประธานธิบดีคนที่ 46 โจ ไบเดน ได้เข้าสู่กระบวนการถ่ายโอนอำนาจ ในวันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พร้อมทั้งอนุมัติเงินจำนวน 7.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการถ่ายโอนงาน
ทั้งนี้กว่าที่จะยินยอมก็ต่อเมื่อรัฐมิชิแกนประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้ไบเดนได้คะแนนอิเล็คโทรัลไป 16 เสียง โดยก่อนหน้านี้ต่างก็ลุ้นกันว่าคณะกรรมการที่เรียกว่า Board of State Canvassers ที่มี 4 คนเป็นรีพับลิกัน 2 คน เดโมแครต 2 คน มีรีพับลิกัน 1 คนทำท่าจะไม่ยอมรับรอง เพราะตั้งข้อสงสัยในผลการเลือกตั้งที่เวย์นเคาตี้อันเป็นเขตใหญ่ รวมเมืองดีทรอยเข้าไปด้วย แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้วพบว่าประการแรกไบเดนชนะทรัมป์ถึง 155,000 คะแนน นอกจากนี้มีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงถึง 670,000 เสียง และคะแนนที่อาจมีปัญหามีเพียง 350 เสียง ซึ่งนับว่าคิดเป็นร้อยละน้อยมาก นอกจากนี้หากจะร้องเรียนในกรณีนี้จะต้องทำก่อนนับคะแนนเสร็จ ที่สำคัญไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะประกาศให้การเลือกตั้งในเขตนี้เป็นโฆฆะแล้วทิ้งคะแนน 600,000 เศษไปเฉยๆ ตามข่าวไม่ได้บอกว่ารีพับริกันที่ทำท่าจะไม่ยอมลงนามรับรองเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ แต่อีกคนคงยินยอมลงนามรับรอง มิฉะนั้นจะเกิดวิกฤติรัฐธรรมนูญเพราะคะแนนของกรรมการเห็นด้วย 2 ต่อ 2 เสียง และอาจต้องนำขึ้นศาลสูง ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทรัมป์ยังยึกยักในตอนต้น นี่คือความแฟร์ของกระบวนการที่ไม่หลับหูหลับตาเชียร์พวก

นอกจากกรณีรัฐมิชิแกนแล้ว ที่รัฐเพนซิลวาเนีย ศาลแห่งนครฟิลาเดลเฟียยังใช้ถ้อยคำตำหนิทนายของทรัมป์ คือ นายกุยลิอานี อดีตนายเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก เพราะเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการทุจริตใดๆในการเลือกตั้งในรัฐนี้ นอกจากการแสดงโวหารและมิได้กล่าวหาอย่างตรงไปตรงมาว่าทุจริต ในขณะที่เวลาอยู่นอกศาลได้พูดอย่างเต็มปากเต็มคำ และอ้างอิงคำพูดของอดีตอัยการหญิงท่านหนึ่ง ซึ่งก็พูดจาเลอะเทอะ
ส่วนในรัฐจอร์เจีย ซึ่งไบเดนชนะทรัมป์ 15,000 เสียง ศาลก็ไม่รับฟ้องเพราะไม่มีมูลเหตุเพียงพอ
ไอ้ที่มันเป็นปัญหาก็เพราะนายทรัมป์ได้ออกมาประกาศต่อสาธารณะว่าเขาถูกโกง หรือออกทวิตโจมตีผลการเลือกตั้งมาโดยตลอด รวมทั้งทีมงานและทนาย ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดมาพิสูจน์ ต่างจากรณีนิกสันที่แม้จะมีข้อกังขาในแง่กฎหมาย แต่นิกสันยอมรับความพ่ายแพ้เพราะเห็นแก่ประโยชน์ของชาติ และก็ต่างจากนายกอร์ที่แม้จะพบว่ามีการไม่ชอบมาพากลในการนับคะแนนใหม่ เพราะเครื่องนับเสีย ก็ยอมรับความพ่ายแพ้เมื่อศาลตัดสินให้เขาแพ้ในฟลอริดาที่มีนายเจฟบุชน้องชายของจอร์ช ดับเบิลยู บุช เป็นผู้เข้าแข่งขันกับกอร์ โดยกอร์กล่าวว่า “แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล แต่เขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อรักษาระบบ”

ด้วยการปลุกระดมจากทรัมป์และทีมงานเกือบจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองและทำความเสียหายมาสู่ประเทศอย่างรุนแรง เมื่อกองเชียร์ของทรัมป์ที่มีกองกำลังติดอาวุธ Proud Boy ออกมาประท้วงใหญ่ตามเมืองสำคัญๆ และเกิดปะทะกับกองเชียร์ของฝ่ายเดโมแครตที่สุดโต่ง เช่น Antifa และ BLM ซึ่งก็มีการติดอาวุธเหมือนกัน โชคยังดีที่ตำรวจใช้มาตรการเข้มข้นในการระงับเหตุ ด้วยแก๊สน้ำตา การฉีดน้ำ โล่ และกระบอง แต่ไม่ได้ใช้กระสุนจริงยิงใส่ม้อบเหมือนบางประเทศ เช่น ชิลี หรือใช้ความรุนแรงปราบปราบม็อบ โดยอ้างว่าม็อบก่อความรุนแรงอย่างเบรารุส ทั้งๆที่ม็อบเหล่านั้นไม่มีอาวุธ
ดังนั้นแม้ว่าไบเดนจะชนะการเลือกตั้งแต่ก็มีงานที่ต้องเร่งรีบทำอีกมากมาย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาภายในประเทศ เช่น ความแตกแยกที่รุนแรงเป็นประวัติการณ์ นับแต่หลังสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีผิว ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่กว้างออกไปทุกที ความอยุติธรรมในสังคม และการบังคับใช้กฎหมาย โดยมีผู้นำอย่างทรัมป์คอยเติมเชื้อไฟด้วยวาทกรรมผ่านทวิตเตอร์
การแก้ปัญหาเหล่านี้ในทรรศนะของนอมชอมสกี้ นักวิชาการอาวุโสจากฮาร์วาร์ด กล่าวว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับโครงสร้างทางการเมือง และเศรษฐกิจเพราะมันเป็นปัญหาที่ทับซ้อนกันอยู่ นอมชอมสกี้ที่มีทรรศนะสังคมนิยมให้ข้อคิดเห็นว่ากรรมกรถูกพรรคเดโมแครตทอดทิ้งมาเป็นเวลานานนับแต่บิล คลินตัน สวัสดิการสังคมถูกตัดทอนลง และยิ่งในยุคบุช-พ่อและบุช-ลูก งบเหล่านี้ถูกทุ่มเทเข้าไปใช้จ่ายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมทหาร และการขยายการรบนอกประเทศที่สิ้นเปลือง แต่คนยากจนถูกเกณฑ์ไปรบเสียชีวิตและทุพลภาพ เพราะเขาตกงาน จึงหวังเงินตอบแทนจากการไปรบ ส่วนคนร่ำรวยก็นั่งกอบโกยทางธุรกิจการค้า และการเงินในวอลสตรีท
นอมชอมสกี้ชี้ให้เห็นว่าตัวชี้วัดที่ชัดเจนในรัฐเท็กซัสที่ผลปรากฏว่าชาวลาติโนหรือพวกเชื้อสายลาตินอย่างเมกซิกันเทคะแนนให้ทรัมป์ เพราะอย่างน้อยทรัมป์ยังคิดปกป้องแรงงานภายในประเทศ ด้วยนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน แต่เดโมแครตไม่คิดจะปกป้องแรงงานเหล่านี้จากการแข่งขันกับประเทศยื่นที่มีค่าแรงต่ำ ขณะที่ปกป้องนายทุนด้วยการเข้มงวดกับคู่ค้าในเรื่องสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์

ส่วนอดีตประธานาธิบดีโอบามาได้ให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจผ่าน BBC ว่า การเลือกตั้งครั้งเดียวจะไม่สามารถหยุดยั้ง การเสื่อมสลายของความจริง (อาจหมายถึงทรัมป์ที่ชอบพูดโกหกเป็นประจำ)
โอบามายังกล่าวอีกว่า ประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการจัดการกับวัฒนธรรมการสร้าง ทฤษฎีสมคมคิดอันแสนบ้าบอที่ทำให้คนในประเทศยิ่งแตกแยก
นอกจากนี้โอบามายังบอกว่าภาระกิจอันหนักอึ้งนี้ไม่ใช่เป็นหน้าที่เฉพาะของนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง มีการรับฟังซึ่งกันและกัน เห็นตรงกันในชุดข้อเท็จจริงร่วมกันเสียก่อน ที่จะมาถกเถียงกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ประเด็นของความแตกแยกที่รุนแรงจนทำให้สหรัฐฯอ่อนแอลงจนถูกท้าทายจากมหาอำนาจอีกขั้วนั้น น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับประเทศไทย รวมทั้งความคิดเห็นบางประการจากปราชญ์อย่างนอมชอมสกี้ หรืออดีตประธานาธิบดีผู้ริเริ่มสโลแกนในการหาเสียงว่า “Change We Need” เพราะสังคมใดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้วยวิวัฒนาการใหม่ๆสังคมนั้นก็คงจะล่มสลายไปในที่สุด ดุจดังอาณาจักรโบราณที่สาบสูญไป
การยึดมั่นถือมั่นต้องการคงสถานภาพเดิมของตน โดยเฉพาะในหมู่ผู้ปกครอง ในขณะที่ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบจากระบบบหรือโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่เรียกว่าทุนนิยมผูกขาดนำมาสู่ความทุกข์ยากของประชาชนส่วนใหญ่ เกิดช่องว่างของรายได้ที่กว้างออกไปทุกที จนทำให้เกิดความขัดแย้งทางสังคม และจะนำมาซึ่งเหตุแห่งจราจลในอนาคตอันใกล้
ทั้งนี้เพราะโครงสร้างทางการเมืองเป็นโครงสร้างที่ถูกผูกขาดโดยชนชั้นปกครองที่จับมือกันแนบแน่นกับกลุ่มทุนผูกขาดและเป็นอภิสิทธิชน ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจึงไปกระจุกตัวอยู่กับคนจำนวนน้อย ในขณะประชาชนส่วนใหญ่ทุกข์ยาก แถมถูกซ้ำเติมจากวิกฤตกาลทางเศรษฐกิจ และภัยจากโรคระบาดโควิด-19
ความขัดแย้งเหล่านี้สมควรที่จะได้รับการเยียวยาแก้ไขด้วยเมตตาธรรม และการเปิดใจกว้างรับฟัง ละความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ด้วยความอดทนอดกลั้นมันไม่ควรที่จะคิดหาวิธีลัดด้วยการยุยงให้เกิดการรัฐประหาร เพราะมันมีแต่ทำให้ประเทศยิ่งจมดิ่งไปสู่ห้วงอเวจีของวงจรอุบาทว์เหมือนที่เกิดมาแล้วซ้ำซากในประเทศไทย ทำให้ไทยที่เคยเป็นผู้นำในอาเซียนต้องถอยไปอยู่อันดับ 4-5 หลังเวียดนามเสียอีกอย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ถ้าให้ผู้เขียนแปลก็ขอแปลว่าอย่าเห็นกองทัพเป็นสำนักสงฆ์ครับ







