jos55 instaslot88 Pusat Togel Online หรือจีนจะเปลี่ยนจากหมากล้อมมาเป็นหมากรุก - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

หรือจีนจะเปลี่ยนจากหมากล้อมมาเป็นหมากรุก

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

ทหารประชาธิปไตย

หรือจีนจะเปลี่ยนจากหมากล้อมมาเป็นหมากรุก

หลังจากประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็เป็นที่ชัดเจนว่า สีจิ้นผิง คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ทุกองคาพยพ เริ่มตั้งแต่คนในมุ้งของสีจิ้นผิง ได้เข้ามาเป็นกรรมการโปลิสบูโร ทั้ง 7 คน และคณะกรรมการชุดนี้เป็นผู้คุมนโยบายทั้งสิ้นของพรรค และพรรคก็ควบคุมรัฐบาล ที่มีนายสีจิ้นผิง เป็นประธานาธิบดีพร้อมกับมีนายหลีเฉียง คนของตนเป็นนายกรัฐมนตรี และกรรมการโปลิสบูโร

นอกจากนี้นายสีจิ้นผิง ยังมีตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรค พร้อมกับประธานกรรมาธิการทหารที่คุมทั้งพรรค และกำลังทหารทั้งมวล

นักวิเคราะห์บางท่านเปรียบเทียบการคุมอำนาจเบ็ดเสร็จของนายสีจิ้นผิง ครั้งนี้คล้ายกับสมัยของประธานเหมา เจ๋อตุง สมัยเรืองอำนาจ แต่ในยุคนั้นของท่านประธานเหมา ยังมีกลุ่มอำนาจที่คอยคานกันอยู่ อย่างกลุ่ม GANG OF FOUR ที่แวดล้อมประธานเหมาเจ๋อตุง กลุ่มของนายกฯโจว เอลไล และยังมีบุคลากรทางทหารอย่างจอมพลจูเต้ กับ จอมพลหลินเปียว ที่ยังได้รับความเคารพนับถือจากทหารจำนวนไม่น้อย

แต่พอมายุคประธานาธิบดีสีฯท่านเขี่ยเอาคนของมุ้งต่างๆออกไปนอกวงจรอำนาจทั้งหมด เช่น กลุ่มของนายหู จิ่นเทา อดีตประธานาธิบดี นายหลีเคอะเฉียง อดีตนายกฯและนายหวาง หยาง รองนายกฯ ซึ่งเหลือเป็นกลุ่มคานอำนาจกลุ่มสุดท้าย จึงไม่ต้องไปตีความอีกว่าท่านสีจิ้นผิง จะครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่เกินความคาดหวังของนักสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ และสื่อทั่วโลก แต่ก็ยังไม่วายมีดรามาในช่วงปิดการประชุม ให้สื่อ 2 ค่ายได้ออกมาทำสงครามสื่อกัน

นั่นก็คือ ปรากฏการณ์ที่มีการเชิญอดีตประธานาธิบดีหูจิ่นเทา หัวหน้ากลุ่มคานอำนาจ ออกจากที่ประชุมใหญ่พรรคก่อนปิดการประชุม และเป็นช่วงที่ทางการจีนเปิดให้สื่อต่างประเทศได้เข้ามาทำข่าว

สื่อตะวันตกก็ลงข่าวครึกโครมว่าสีสั่งจับหูจิ่นเทาเพื่อแสดงอำนาจต่อหน้าสื่อตะวันตก ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มโปรตะวันตก

ในขณะที่สื่อจีนและพันธมิตรตลอดจนกลุ่มโปรขั้วอำนาจใหม่ต่างก็ออกมาอ้างก่อนสื่อจีนแถลงเสียอีกว่านายหูจิ่นเทาป่วย บางคนบอกว่าเป็นอัลไซเมอร์ แม้กระทั่งมโนว่านายหูอาจจะทำอะไรไม่เหมาะสมก่อนปิดประชุม เช่น การประกาศสนับสนุนไต้หวันเป็นต้น บางส่วนก็บอกว่านายหูป่วยขนาดพูดกับตัวเอง

โปรดอย่าลืมว่าการจัดประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น ในทุกครั้งรวมทั้งครั้งที่ 20 มีสคริปต์กำกับอยู่ทุกขั้นตอน ซึ่งจะต้องไม่มีความผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น การเชิญนายหูออกจากที่ประชุมก่อนปิดการประชุม ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไร และไม่ว่าสื่อจีนจะแถลงอย่างไรถ้าไม่มีสคริ๊ป

หากนายหูป่วยจริง ก็จะต้องไม่จัดให้เข้าประชุมเหมือนกับอดีตประธานาธิบดีท่านอื่นๆ

แต่การที่นายสีจิ้นผิงจะแสดงให้โลกเห็นว่าเขาได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จแล้วในการนำประเทศจีน ยักษ์ใหญ่มหาอำนาจที่จะมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงโลก และเป็นปราการสำคัญในการต่อต้านตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของจีนนั้น ก็มิได้เป็นเรื่องที่ผิดอะไร มันเป็นเรื่องของเขา และไม่มีความจำเป็นที่สื่อตะวันตกจะต้องไปตีความในทางเสียหาย หรือขยายผล

นอกจากนี้ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ยังมีการขยายผลว่ามีการประท้วงไม่เห็นด้วยต่อการขึ้นมายึดอำนาจของประธานาธิบดีสี โดยผิดจารีตที่เคยมีมา นั่นคือการประณีประนอมกันในระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ และสื่อบางอันยังขยายความอีกว่า การประท้วงนั้นกระจายไปทั่วประเทศ

เอาเข้าจริงก็ไม่มีการพิสูจน์และถ้าจะเกิดขึ้นบ้างตามเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีข่าวยืนยันอะไร ส่วนการอ้างว่ากระจายไปทั่วประเทศก็ควรเข้าใจว่าการปกครองของจีนนั้นมีการกำกับควบคุมประชาชน โดยเข้มงวดจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ รวมทั้งการกระจายข้อมูลข่าวสาร ดังนั้นการประท้วงที่อ้างว่าแพร่กระจายไปทั่วประเทศจึงยากจะเป็นไปได้

ประเด็นสำคัญที่ควรหยิบยกมาพิจารณาคือ นโยบายของจีน ภายใต้การนำของสีจิ้นผิง ต่างหากที่จะมีผลกระทบกับการขับเคลื่อนของโลกในยุคการเผชิญหน้าระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ

ด้วยเหตุนี้เราอาจสรุปได้ว่าจีนมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ การกระจายรายได้ และสงครามกับความยากจน

ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ นายสีจิ้นผิง เน้นย้ำเป็นสำคัญต่อการขยายกำลังและสร้างความเข้มแข็งทางทหาร ซึ่งแน่นอนเน้นกองกำลังป้องกันประเทศเป็นหลัก

ส่วนนโยบายต่างประเทศก็หันมาปรับปรุงแนวทาง เส้นทางสายใหมเสียใหม่จาก BRI (BRIDGE AND ROAD INITIATIVE) ซึ่งเน้นการคมนาคม ขนส่งกระจายไปทั่วภูมิภาคของโลกเป็นหลัก ปรับปรุงมาสู่ GDI (GLOBAL DEVELOPMENT INITIATIVE) นั่นคือการส่งเสริมให้มีการริเริ่มในการพัฒนาไปทั่วโลก

ทว่าการพิจารณาโดยระแวดระวังก็อาจจะพิจารณาบางสิ่งบางอย่างในระหว่างบรรทัดว่า นโยบายโควิดเป็นศูนย์นั้น จีนเองก็รู้ว่ามันเกิดผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรฐกิจของจีนอย่างมาก แต่ก็ยังดำเนินการต่อไป ทำไมหรือจีนกำลังทดสอบระบบเศรษฐกิจเลี้ยงตัวเองหากเกิดสงครามได้หรือไม่

ประกอบกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมหลายอย่างที่จะทำให้จีนพัฒนาต่อไปได้แม้ยามสงคราม เช่น อุตสาหกรรมไมโครชิป การซ่อมบำรุงทางอุตสาหกรรมทหาร การขยายการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร นั่นแสดงว่าจีนคาดว่าจะต้องเกิดสงครามใหญ่ระหว่าง 2 ขั้วได้หรือไม่

ด้านนโยบาย GDI มองดูก็ไม่แตกต่างจากนโยบาย BDI เท่าใด เว้นแต่ขยายขอบเขตมากขึ้น และการขยายขอบเขตการพัฒนานี้เพื่อสร้างพันธมิตร และอาจมีความร่วมมือทางทหารด้วยหรือไม่ เพราะจีนเริ่มสร้างความร่วมมือทางทหารกับหลายประเทศในแอฟริกา และหมู่เกาะแปซิฟิกใต้ไปบ้างแล้ว

หรือนี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การตั้งรับที่ดีที่สุด คือการรุก” และจีนมิได้รุกแค่ทางทหาร แต่ใช้เศรษฐกิจกับการเมืองระหว่างประเทศเป็นตัวนำ เรื่องอย่างนี้ก็ใช่ว่าสหรัฐฯจะไม่เคยทำมาก่อนนะครับ เพียงแต่จีนรัดกุมกว่า และมีประชากรตั้ง 1,300 ล้านคอยสนับสนุนครับ(รออ่านภาค 2 จากยุทธศาสตร์หมากล้อมมาสู่ยุทธศาสตร์หมากรุก)

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *