โจ ซาราทิน : สลัด บาร์ ปีฟ
โจ ซาราทิน : สลัด บาร์ ปีฟ
“Rework : Change the Way You Work Forever” เป็นหนังสือเขียน
โดยเจสัน ฟรีด และเดวิด ไฮเนอไมเออร์ แฮนส์สัน ผู้ก่อตั้งเบสแคมป์ ท้าทายธุรกิจและประเพณีงานสมัยเดิม บริษัทซอฟท์แวร์บนพื้นฐานเว็บ เบสแคมป์ เนื่องจากเบสแคมป์เป็นเครื่องมือการบริหารโครงการออกแบบช่วยเหลือให้บุคคลทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พวกเขาได้มอง “Rework”เป็นผลพลอยได้ของธุรกิจของพวกเขา มันได้ถูกเขียนเป็นหนังสือช่วยตัวเองร่วมทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับประสิทธิภาพและงานตลอดเส้นทางธุรกิจของพวกเขา หนังสือเล่มนี้เปิดตัวเมื่อ ค.ศ 2010 กลายเป็นหนังสือขายดีที่สุดทันทีหนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือภาคสนามเพื่อวิถึทางที่ดีกว่า รวดเร็วกว่า และประสิทธิภาพมากกว่าที่จะทำงานและบรรลุความสำเร็จภายในธุรกิจ”Rework” ก้าวเข้ามาภายในการเผชิญกัยกลยุทธ์บริษัทตามแบบแผนและเสนอแนะความคิด เช่น มันดีกว่าที่จะไม่สนใจการแข่งขัน ชั่วโมงการทำงานปรกติ และคุณต้องการน้อยลงไม่มากขึ้น ก้าวไปข้างหน้าถ้าบริษัทของคุณบรรลุความสำเร็จ บุคคลอื่นจะพยายามเลียนแบบมัน การป้องกันอยางเดียวของคุณคือ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณเลียนแบบไม่ได้ ด้วยการฉีดมันด้วยอะไรที่เฉพาะเกี่ยวกับคุณ การทำให้ตัวคุณเองเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ ดังนั้นมันได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใครสามารถ สิ่งเดียวเท่านั้นที่คู่เเข่งขันของคุณไม่สามารถเลียนแบบได้ – คุณเมื่อคุณฉีดอะไรที่คุณเชื่อเเละบุคลิกภาพของคุณไปสู่ธุรกิจ คุณได้สร้างบางสิ่งบางอย่างที่คู่แข่งขันของคุณไม่สามารถเลียนแบบ พวกเขาสามารถพยายาม แต่พวกเขาล้มเหลวเพราะว่าการแสร้งทำเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่ใช่จะหมดเเรง เเซปโป้ส์สร้างความแตกต่างภายในบริการลูกค้า โพลีเฟซ ฟาร์ม สร้างความแตกต่างด้วยการมุ่งสิ่งแวดล้อมไปสู่คุณภาพแท้จริง
โพลีเฟซ ฟาร์ม ฟาร์มท้องที่เป็นเจ้าของโดยโจ ซาราทิน เป็นสถานที่อัศจรรย์ที่แตกต่างจากฟาร์มอุตสาหกรรม มันเป็นฟาร์มบนพื้นฐานของหญ้า หญ้าหลายชนิดแตกต่างกัน มันเป็นฟาร์มออร์แกนิคและเป็นมิตรสิ่งเเวดล้อมอย่างแน่นอน โจ ซาราทิน เป็นเกษตรกร ผู้บรรยาย และ นักเขียน หนังสือของเขามีทั้ง “You Can Farm” และ “Salad Bar Beef” ฟาร์มของเขาได้ถูกนำเเสดงภายในหนังสือขายดีที่สุดของไมเคิล พอลแลน “The Omnivore’s Dilemma” และภาพยนตร์สารคดี “Food, Inc.” ความกระตือรือร้นของโจเอล ซาราทินต่อการดำเนินการวัวและสัตว์ปีกอย่างโปร่งใส และปรัชญาการทำฟาร์มอย่างสร้างสรรค์ ได้ช่วยสร้างการฟื้นฟูใหม่ต่อฟาร์มครอบครัวที่ยั่งยืน โพลีเฟซ ฟาร์ม เป็นตัวอย่างของเกษตรยั่งยืน การเปรียบเทียบโพลีเฟซ ฟาร์มกับฟาร์มโรงงาน หนังสือได้อธิบายวิธีการเกษตรยั่งยืนของโพลีเฟซ ฟาร์มถูกสร้างบนประสิทธิภาพ มาจากความสัมพันธ์เลียนแบบที่พบภายในธรรมชาติ
โพลีเฟซคือ ฟาร์มเป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อมเป็นเจ้าของโดยโจ ซาลาทิน เขามีความเชื่ออย่างเข้มแข็ง และดำเนินธุรกิจของเขาตามนั้น โพลีเฟช ขายความคิดว่าพวกเขาทำอะไรที่ธุรกิจเกษตรที่ใหญ่กว่าไม่สามารถทำได้ เเม้ว่ามันเเพงกว่าที่จะทำดังนั้นพวกเขาเลี้ยงวัวด้วยหญ้าไม่ใช่ข้าวโพด พวกเขาไม่เคยจัดส่งอาหาร บุคคลใดก็ตามต้อนรับที่จะให้มาเยี่ยมฟาร์มเวลาก็ตาม และไปที่ไหนก็ตาม โพลีเฟซไม่ได้เพียงแค่ขายไก่ พวกเขาขายวิถีทางของการคิด และลูกค้ารักโพลีเฟซเพี่อมัน ลูกค้าบางคนขับรถยนต์ไกล 50 ไมล์ที่จะได้เนื้อสดเพื่อครอบครัวของพวกเขา
เมื่อ ค.ศ 1961 วิลเลียม และลูซิล ซาลาทิน พ่อเเม่ของโจเอล ซาราทิน ได้ย้ายครอบครัวของพวกเขามาสู่เชอนานโด แวลลีย์ แห่งเวอรจิเนีย ซื้อฟาร์มภายในพื้นที่ ด้วยการใช้ธรรมชาติเป็นแบบแผน พวกเขาและลูกของพวกเขาได้เริ่มต้นการรักษาและนวัตกรรมที่ในขณะนี้สนับสนุนรุ่นที่สาม การไม่มองภูมิปัญญาสมัยเดิม โพลีเฟซ ฟาร์มถูกขับเคลื่อนโดยการใช้วิธีการผิดธรรมดาด้วยเป้าหมายของการเกษตรที่ยกระดับความรู้สึก ความประหยัด และสิ่งเเวดล้อม และ ฟาร์มนี้เป็นตรงที่โจ ซาราทิน ได้พัฒนาและปฏิบัติวิธีการเกษตรที่สำคัญหลายอย่างของเขา เขาได้เลี้ยงปศุสัตว์ด้วยการใช้วิธีการองค์รวมของการเลี้ยงสัตว์ การปลอดสารเคมีที่อันตรายบนฟาร์มของเขา เขาเลี้ยงลูกไก่ ไก่งวง ว้วควาย กระต่าย และหมู ด้วยการทำฟาร์มองค์รวมผิดธรรมดาที่ต้องการการก้าวกระโดดเเห่งศรัทธาบนการทำฟาร์มสมัยเดิม สัตว์สายพันธ์ุเดียวจำนวนมากถูกเลี้ยงภายในสถานที่ควบคุม การย้ายออกมาจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติของมันอย่างสิ้นเชิง ผู้เลี้ยงดูกระต่าย สัตวฺปีก และหมูเหล่านี้ ยืนยันว่าการทำฟาร์มแบบคุมขังเป็นวิถีทางที่มีประสิทธิภาพต่อการทำเงิน ตอบสนองอุปสงค์ของลูกค้า และรับรองปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่เพียงพอ ด้วยคุณภาพแบบอย่างเดียวกัน ณ ต้นทุนที่มีเหตุผล โจ ซาราทิน ไม่เห็นด้วย ระบบได้เอาชีววิทยาออกไปจากการเลี้ยงสัตว์เมื่อเกษตรกรเริ่มต้นผลักดันอะไรที่เป็นธรรมชาติ ต้นทุนของพวกเขาจะเพิ่มขึ้น และ ธรรมชาติจะชนะในที่สุด เขาได้เดิมพันฟาร์มบน ” พระแม่ธรรมชาติ” บางครั้งรู้จักกันเป็นพระเเม่ธรณี การทำให้มีตัวตนของธรรมชาติมุ่งที่การให้ชีวิตและการเลี้ยงดูของธรรมชาติ ด้วยการทำมันให้เป็นรูปร่างภายในรูปแบบของแม่พื้นดินให้เราทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการเพื่อการอยู่รอดของเรา การให้พื้นที่แก่พืช สัตว์ และมนุษย์ การทำฟาร์มไม่ได้เป็นเพียงแค่วิทยาศาสตร์ มันเป็นศิลปะ และนักศิลปะต้องคิดและสร้างสรรค์ เรากำลังทาสีภูมิทัศน์บนฟาร์มของเรานักวิชาการบางคนมองว่าวิธีการของโจ ซาลาทินใช้กับตลาดระดับบนลูกค้าส่วนใหญ่ไม่สามารถรับภาระที่จะจ่ายราคาสูงต่อไก่และไข่ ดังนั้นการทำฟาร์มสมัยเดิมจะยังคงเป็นบรรทัดฐานอยู่ต่อไป โจเอล ซาลาทิน ไม่ได้ต้องการเลี้ยงโลก การดำเนินงานของเขาไม่สามารถใหญ่ขึ้น และยังคงรักษาความซื่อสัตย์ทางสิ่งแวดล้อมและจริยธรรม แต่โจ ซาราทิน หวังว่าเกษตรกรจะพยายามการทาสีภูมิทัศน์เล็กน้อยด้วยตัวพวกเขาเอง โจ ซาราทิน กระตุ้นบุคคลให้ซื้อตามท้องที่ที่จะรักษาธุรกิจขนาดเล็กเขาเชื่อว่ามันเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าที่จะรู้จักเกษตรกรและอาหารของพวกเขามาจากที่ไหน โจ ซาราทิน กล่าวว่า วิถีทางที่สัตว์ถูกเลี้ยงและฆ่าบนฟาร์ม 500 เอเคอร์ อยู่บนรากฐานความเชื่อของคริสเตียน เขาได้มองมันเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะเคารพสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สะท้อนความรักของพระเจ้า และเชื่อว่าวิถีทางของเขาคือ การให้เกียรติพระเจ้า โจ ซาลาทิน ได้ถูกอ้างอิงภายในหนังสือ “The Omnivore’s Dilemma” เป็นการยกเหตุผลการฆ่าสัตยฺเพื่อเนื้อ เพราะว่าบุคคลมีวิญญาน สัตว์ไม่มี….. เมื่อมันตาย มันเพียงแค่ตาย
โจ ซาลาติน วางรากฐานระบบนิเวศของฟาร์มของเขา บนหลักการการสังเกตุกิจกรรมของสัตว์ภายในธรรมชาติ และเลียนแบบสภาวะเหล่านี้ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โจ ซาลาทินให้วัวของเขากินหญ้าข้างนอกภายในทุ่งหญ้า ปุ๋ยคอกของสัตว์ใส่ปุ๋ยทุ่งหญ้า และสามารถทำให้โพลีเฟซ ฟาร์ม ให้วัวกินหญ้าสี่เท่าจำนวนวัวมากเท่ากับฟาร์มสมัยเดิม ดังนั้นมันได้สร้างความประหยัดต้นทุนด้วย ขนาดที่เล็กของทุ่งหญ้าบังคับให้วัวควายไปสู่ฝูงสัตว์
โจ ซาลาทิน รู้สึกว่า ถ้าคุณดมกลิ่นปุ๋ยคอก บนฟาร์มปศุสัตว์ คุณกำลังดมกลิ่นการบริหารที่ผิด ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ทำให้หญ้าดูดซึมปุ๋ยทั้งหมดทิ้งไว้โดยสัตว์ ผมไม่ขออภัยต่อการดำเนินธุรกิจที่ทำกำไร เราบ่อยครั้งเกินไปเพียงแค่ผลักดันกำไรภายใต้พรม แต่เมื่อสิ้นวัน กำไรเป็นเลือดแห่งชีวิต เราไม่สามารถทำการปรับปรุง เราไม่สามรถสร้างนวัตกรรม ถ้าเราไม่มีเงินเล็กน้อยเหลืออยู่เมื่อสิ้นวันใส่ลงไปกับบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่
โจ ซาราทิน เชื่อว่าธรรมชาติให้พิมพ์เขียวดีที่สุดและทำกำไรมากที่สุดต่อประสิทธิภาพการผลิตอาหาร เเละเพื่อการยกระดับโอกาสของที่ดิน เราควรจะเดินตามในฐานะของเกษตรกรและสนับสนุนในฐานะของลูกค้ากระบวนการทำฟาร์มที่ให้ความรู้ธรรมชาติ มันเป็นการให้มากกว่าและรับน้อยต่อที่ดินที่เลี้ยงดูเรา เมื่อมันถูกซื้อ 55 ปีที่แล้ว โพลีเฟซ ฟาร์ม ไดัถูกกล่าวว่า ฟาร์มที่ทรุดโทรม ผุพัง และใช้จนเกินไปมากที่สุดภายในพื้นที่ การยึดครองของครอบครัวหลายรุ่นนี้ ในขณะนี้สร้างยอดขายของฟาร์มต่อปี 1.83 ล้านเหรียญ เป้าหมายของมัน ตามเจ้าของที่มีวิสัยทัศน์ โจ ซาราทิน คือการเลี้ยงสัตว์ที่เป็นอาหารกินได้อย่างซื่อสัตย์ ต่อเขาแล้วหมายความถึงไม่มีการสัมผัสเคมีหรืปุ๋ยใดก็ตามนโยบายของฟาร์มหลีกเลียงอย่างตั้งใจต่อเป้าหมายการขาย การตลาดและเเผนธุรกิจ ความเชื่อว่าถ้าอาหารดีเพียงพอ มันจะขายและสร้างรายได้ เนื้อว้วเป็นตัวมีส่วนช่วยมากที่สุดต่อรายได้ของโพลีเฟซ ฟาร์ม และมันมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อกลยุทธ์การเลี้ยงสัตว์องค์รวมของโพลีเฟซ ฟาร์ม โจ ซาลาทิน ระบุองค์รวม เป็นการผสมกันของรูปแบบวิทยาศาสตร์และศิลปะ
ณ โพลีเฟซ ฟาร์ม ของเขา โจ ซาราทิน ให้ความโปร่งใสอย่างสมบูรณ์ เขาได้เชิญลูกค้าของเขามาเยี่ยมฟาร์ม และมองเห็นสัตว์มีชีวิตอย่างไร แม้ว่าการเพิ่มสูงขึ้นของอุปสงค์ต่อเนื้อที่ผลิตอย่างยั่งยืนของโพลีเฟซ ฟาร์ม การจัดส่งเนื้อสดจากฟาร์มไม่ได้เป็นทางเลือก และมันขัดเเย้งต่อหลักการของโจ ซาราทินของการสร้างใหม่ลูกโซ่ท้องที่บน 550 เอเคอร์ที่ถ่อมตัวและงดงามภายในหุบเขาเชอนานโดเวอร์จิเนีย โพลีเฟซ ฟาร์ม ของโจ ซาลาทิน ได้ให้อุตสาหกรรมอาหารสมัยใหม่ด้วยบทเรียนภายในความซื่อสัตย์ของเกษตรกรรม บนพื้นฐานทุ่งหญ้า เลยพ้นออร์แกนิค ฟาร์มตลาดท้องที่ โจ ซาลาทินได้เลี้ยงสัตว์ของเขาด้วยวิธีการจริยธรรมและสิ่งเเวดล้อม เลียนแบบแบบแผนการเคลื่อนไหวทางธรรมชาติ และการรักษาภูมิทัศน์
ออร์แกนิคกลายเป็นถ้อยคำหลวมมากที่บุคคลไม่เข้าใจอย่างแท้จริงมันได้ถูกประมวลโดยรัฐบาลในขณะนี้ อาหารอุตสาหกรรมสามารถเข้าไปสู่ตลาดภายใต้หน้ากากของออร์แกนิค ภายในโพลีเฟซ ฟาร์ม เรากินออร์แกนิคที่เราวางสัตว์บนหญ้าที่สดใส และย้ายมันไปรอบตลอดเวลาเราดำเนินการฟาร์มด้วยแรงงานเพื่อนบ้านบุคคลรับรู้ว่าไม่มีระบบใดสามารถควบคุมความซื่อสัตย์ได้ นั่นคือทำไมเรามีนโยบายเปิดประตู 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 ว้นต่อสัปดาห์ 365 วันต่อปีบุคคลใดก็ตามถูกต้อนรับมาเยี่ยมโพลีเฟซ ฟาร์ม ได้ทุกเวลา มองเห็นอะไรก็ตาม ที่ไหนก็ตาม ความซื่อสัตย์ถูกมั่นใจได้ด้วยระดับของความโปร่งใสนี้เท่านั้น วัวของเราถูกย้ายตลอดเวลาไปสู่คอกที่สดใส ดังนั้นเราได้เลียนแบบ แบบแผนของสัตว์กินหญ้าภายในธรรมชาติ มันถูกย้ายไปจากปุ๋ยคอกเมื่อวาน เราใช้ธรรมซาติ แบบแผนการย้าย การกลุ้มรุม การตัดหญ้าเป็นแม่แบบ ดินที่อุดมสมบูรณ์ของโลกได้ถูกสร้างด้วยสัตว์กินหญ้า การกินหญ้านี้ทำให้หญ้าเจริญเติบโตผ่านวงจรของมัน ถ้าบุคคลทุกคนปฏิบัติแบบแผนนี้ เราแยกจากคาร์บอนทุกอย่างที่ระเหยจากอุตสาหกรรมได้อาหารที่ดีควรจะมีสุขภาพตั้งแต่ทุ่งหญ้าไปสู่ส้อม เรายืนอยู่ที่นี่ท่ามกลางไก่จำนวนมากที่ไม่มีกลิ่น โมเดลการผลิตอาหารที่ดี ไม่ได้ผลักดันการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ สัตว์ปีกทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นอะไรที่เรามีชื่อเสียงมากที่สุด เราไม่ได้เรียกมันการปล่อยอิสระ เราเรียกมันทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ไก่ปล่อยอิสระส่วนใหญ่อยู่บนกองสกปรก นั่นเป็นตรงที่เราแตกต่างจากการดำเนินงานที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานเคลื่อนย้ายให้มันพื้นที่สดใสทุกวัน ตลอด 44 ปี บนขอบทางตะวันตกของหุบเขาเชอนานโด เวอร์จิเนีย สามรุ่นของซาราทิน ได้เลี้ยงปศุสัตว์ด้วยหญ้าบนที่ดินขรุขระเนินเขาโดยไม่มีออนซ์หนึ่งของปุ๋ยเคมีหรือกำมือของเมล็ดพันธุ์ ภายในการสัมผัสดินอย่างใกล้ชิด ถดูกาล และตัวพวกเขาเอง และการใช้วิธีการเลียนแบบธรรมชาติ ผลลัพธ์คือ ทุ่งที่เขียวชอุ่มของความเขียวผิดธรรมดา – แม้แต่ภายในหิมะละลายเปียกชุ่มของฤดูหนาวตอนเช้า และหมู ไข่ และสัตว์ปีกของความสะอาดผิดธรรมดา และรสชาติดีอย่างไม่น่าเชื่อโจ ซาลาทิน อายุ 65 ปี เขาไม่ได้ติดใจที่ถูกเรียกว่าคอมมิวนิสต์ เขาอธิบายตัวเขาเองเป็นเกษตรกรบ้าบิ่น นายทุนนิยม นักสิ่งเเวดล้อม นักเสรีนิยม คริสเตียน เขาเป็นนายทุนนิยมที่ไม่มีเป้าหมายการขาย และจะไม่จัดส่งอาหารเลยพ้นฟูดเชดท้องที่ของเขา เขาเป็นคริสเตียนที่ให้ ความสำคัญต่อสุขภาพทางสิ่งแสดล้อม และเขาบ้าบิ่นที่ดำเนินงานฟาร์ม 550 เอเคอร์เลี้ยงตัวเอง เขาไม่เคยซื้อเมล็ดพันธ์ุ ปุ๋ย เคมี คันไถ หรือไซโล ท่อล้มละลาย ตามถ้อยคำของโจ ซาราทิน โพลีเฟซ ฟาร์ม ได้กลายเป็นความหมายเดียวกับความยั่งยืน ชีวภาพท้องถิ่น และความโปร่งใสซื่อสัตย์ ฟาร์ม ได้เปิดแก่ผู้มาเยี่ยมตลอดเวลา เขาเป็นนักเสรีนิยมที่ไม่ละอายโจ ซาราทินได้ออกจากตารางสนับสนุนรัฐบาลให้มากเท่าที่เป็นไปได้ การเรียนที่บ้านแก่ลูกของเขา และการพัฒนาการปฏิบัติการทำฟาร์ม ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงต่อโมเดลธุรกิจเกษตร ผมกล่าวอยู่เสมอถ้าผมสามารถคิดวิถีทางเจริญเติบโตคลีเนกซ์และกระดาษชำระบนต้นไม้ได้ เราสามารถดึงปลั้กออกจากสังคมได้เขาลุ่มหลงกับปศุสัตว์ให้อาหารหญ้าและการดูเเลสัตว์ และเลี้ยงดูทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สัตว์ปีกและกระต่ายไปจนถึงวัวและหมู โพลีเฟซฟาร์มดำเนินงานบนหลักการที่ต่อต้านการกลายเป็นอุตสาหกรรม และมุ่งเน้นพลังชีวิตของดินและธรรมชาติ ความสัมพันธ์ที่ส่งเสริมกันระหว่างที่ดินและสัตว์กินหญ้า บุคคลอื่นที่ชอบเขาเรียกเขาเกษตรกรมีชื่อเสียงมากที่สุดภายในโลก พระชั้นสูงแห่งทุ่งหญ้า นักคิดที่ผสมผสานมากที่สุดจากเวอร์จิเนัย นับตั้งแต่โทมัส เจฟเฟอร์สัน โจ ซาราทิน เป็นหนึ่งของนักเขียนที่มีชื่อเสียงของการเคลื่อนไหวอาหารตามธรรมชาติ เขาได้บันดาลใจเกษตรกรครอบครัวรับเอาเทคนิคของเขาเพี่อการเลี้ยงวัว หมู และสัตว์ปีก และดึงดูดผู้มาเยี่ยมที่ชื่นชมจากทั่วโลก ผู้มาเยี่ยมมาไกลจากฟลอริดาเเละไอโอวา เพื่อที่จะเดินย่ำผ่านทุ่งหญ้าหนาและนุ่ม และมองโจ ซาลาทินเลี้ยงวัว ไก่ หมู กระต่าย และสัตว์ปีกอย่างไรความลับของโจ ซาลาทินคือ หญ้า และมันอยู่ภายในทุ่งหญ้าที่ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นและจบลง เขาเชื่อว่าทุกตารางของพื้นหญ้าควรจะเต็มไปด้วยอย่างน้อยที่สุด 40 พืชที่หลากหลาย และเขาเรียกทุ่งหญ้าของเขาว่าสลัด บาร์ บีฟ โพลีเฟซ ฟาร์ม ฟาร์มท้องที่เป็นเจ้าของโดยโจ ซาราทิน มันเป็นสถานที่อัศจรรย์ที่แตกต่างจากฟาร์มอุตสาหกรรม มันเป็นฟาร์มบนพื้นฐานของหญ้า หญ้าหลายชนิดแตกต่างกัน มันเป็นฟาร์มออร์แกนิคและเป็นมิตรสิ่งเเวดล้อมอย่างแน่นอน โจเ ซาราทิน เป็นเกษตรกร ผู้บรรยาย และนักเขียน หนังสือของเขามีทั้ง “You Can Farm” และ “Salad Bar Beef” ฟาร์มของเขาได้ถูกนำเเสดงภายในหนังสือขายดีที่สุดของไมเคิล พอลแลน “The Omnivore’s Dilemma” และภาพยนตร์สารคดี “Food, Inc.”ความกระตือรือร้นของโจ ซาราทินต่อการดำเนินการสัตว์ปีกอย่างโปร่งใส และปรัชญาการทำฟาร์มอย่างสร้างสรรค์ ได้ช่วยสร้างการฟื้นฟูใหม่ต่อฟาร์มครอบครัวที่ยั่งยืน โพลีเฟซ ฟาร์ม เป็นตัวอย่างของเกษตรยั่งยืน การเปรียบเทียบโพลีเฟซ ฟาร์มกับฟาร์มโรงงาน หนังสือของ ไมเคิล พอลเลน ได้อธิบายวิธีการเกษตรยั่งยืนของโพลีเฟซ ฟาร์ม ถูกสร้างบนประสิทธิภาพ มาจากความสัมพันธ์เลียนแบบที่พบภายในธรรมชาติ โพลีเฟซคือ ฟาร์มเป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อม โจ ซาราทินมีความเชื่ออย่างเข้มแข็ง และดำเนินธุรกิจของเขาตามนั้น โพลีเฟช
ขายความคิดว่าพวกเขาทำอะไรที่ธุรกิจเกษตรที่ใหญ่กว่าไม่สามารถทำได้ เเม้ว่ามันเเพงกว่าที่จะทำดังนั้น พวกเขาเลี้ยงวัวด้วยหญ้าไม่ใช่ข้าวโพดและไม่เคยให้ พวกเขาไม่เคยจัดส่งอาหาร บุคคลใดก็ตามต้อนรับที่จะให้มาเยี่ยมฟาร์มเวลาก็ตาม และไปที่ไหนก็ตาม โพลีเฟซไม่ได้เพียงแค่ขายไก่ พวกเขาขายวิถีทางของการคิด และลูกค้ารักโพลีเฟซเพี่อมัน ลูกค้าบางคนขับรถยนต์ไกล 50 ไมล์ที่จะได้เนื้อสดเพื่อครอบครัวของพวกเขาเมื่อ ค.ศ 1961 วิลเลียม และลูซิล ซาลาทิน พ่อเเม่ของโจเอล ซาราทินได้ย้ายครอบครัวของพวกเขามาสู่เชอนานโด แวลลีย์ แห่งเวอรจิเนีย ซื้อแฟาร์มภายในพื้นที่ ด้วยการใช้ธรรมชาติดเป็นแบบแผน พวกเขาและลูกของพวกเขาได้เริ่มต้นการรักษาและนวัตกรรมที่ในขณะนี้สนับสนุนรุ่นที่สาม การไม่มองภูมิปัญญาสมัยเดิม ซาลาติน ได้ปลูกต้นไท้ สร้างฟาร์มถูกขับเคลื่อนโดยการใช้วิธีการผิดธรรมดา ด้วยเป้าหมายของการเกษตรที่ยกระดับทางความรู้สึก ความประหยัด และสิ่งเเวดล้อมฟาร์มนี้เป็นตรงที่โจเอล ซาราทิน ได้พัฒนาและปฏิบัติวิธีการเกษตรที่สำคัญหลายอย่างของเขา เขาได้เลี้ยงปศุสัตว์ด้วยการใช้วิธีการองค์รวมของการเลี้ยงสัตว์ การปลอดสารเคมีที่อันตรายบนฟาร์มของเขา เขาเลี้ยงไก่ ไก่งวง ว้วควาย กระต่าย และหมู ด้วยการทำฟาร์มองค์รวมที่ผิดธรรมดาที่ต้องการก้าวกระโดดเเห่งศรัทธาบนการทำฟาร์มสมัยเดิม สัตว์สายพันธ์ุเดียวจำนวนมากถูกเลี้ยงภายในสถานที่ควบคุม การย้ายออกมาจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติของมันอย่างสิ้นเชิง ผู้เลี้ยงดูกระต่าย สัตวฺปีก และหมูเหล่านี้ ยืนยันว่าการทำ
ฟาร์มแบบคุมขังเป็นวิถีทางที่มีประสิทธิภาพต่อการทำเงิน ตอบสนองอุปสงค์ของลูกค้า และรับรองปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่เพียงพอ ด้วยคุณภาพแบบอย่างเดียวกัน ณ ต้นทุนที่มีเหตุผล โจเอล ซาราทิน ไม่เห็นด้วย ระบบได้เอาชีววิทยาออกไปจากการเลี้ยงสัตว์ เมื่อเกษตรกรเริ่มต้นผลักดันอะไรที่เป็นธรรมชาติ ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น และ ธรรมชาติจะชนะในที่สุด เขาได้เดิมพันฟาร์มบนแม่พระธรณี มันไม่ได้เป็นเพียงแค่วิทยาศาสตร์ มันเป็นศิลปะ และนักศิลปะต้องคิดและสร้างสรรค์ เรากำลังทาสีภูมิทัศน์บนฟาร์มของเขานักวิชาการบางคนมองว่าวิธีการของโจ ซาลาทินใช้กับตลาดระดับบนลูกค้าส่วนใหญ่ไม่สามารถรับภาระที่จะจ่ายราคาสูงต่อไก่และไข่ ดังนั้นการทำฟาร์มสมัยเดิมจะยังคงเป็นบรรทัดฐานอยู่ต่อไป ซาลาทิน ไม่ได้ต้องการเลี้ยงโลก การดำเนินงานของเขาไม่สามารถใหญ่ขึ้น และยังคงรักษาความซื่อสัตย์ทางสิ่งแวดล้อมและจริยธรรม แต่โจ ซาราทินหว้งว่า เกษตรกรจะพยายามทาสีภูมิทัศน์เล็กน้อยด้วยตัวพวกเขาเอง โจเอล ซาราทิน กระตุ้นบุคคลให้ซื้อตามท้องที่รักษาธุรกิจขนาดเล็กไว้เขาเชื่อว่ามันเป็นประโยชน์ต่อลูกค้ารู้ที่จักเกษตรกร และอาหารของพวกเขามาจากที่ไหน โจ ซาราทิน กล่าวว่า วิถีทางที่สัตว์ถูกเลี้ยงและฆ่าบนฟาร์ม 500 เอเคอร์ อยู่บนรากฐานความเชื่อของคริสเตียน เขาพิจารณามันเป็นความรับผิดชอบขอวเขาที่จะเคารพสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สะท้อนความรักของพระเจ้า และเชื่อว่าวิถีทางของเขาคือ ให้เกียรติพระเจ้า โจเอลซาลาทิน ได้ถูกอ้างอิงภายในหนังสือ The Omnivore’s Dilemma เป็นการยกเหตุผลการฆ่าสัตยฺเพื่อเนื้อ เพราะว่าบุคคลมีวิญญาน สัตว์ไม่มี….. เมื่อมันตาย มันเพียงแค่ตายโจ ซาลาติน วางรากฐานระบบนิเวศของฟาร์มของเขา บนหลักการการสังเกตุกิจกรรมของสัตว์ภายในธรรมชาติ และเลียนแบบสภาวะเหล่านี้ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โจ ซาลาทินให้วัวควายของเขากินหญ้าข้างนอกภายในทุ่งหญ้า ปุ๋ยคอกของสัตว์ใส่ปุ๋ยทุ่งหญ้า ทำให้โพลีเฟซ ฟาร์ม สามารถให้กินหญ้าสี่เท่า จำนวนวัวควายมากเท่ากับฟาร์มสมัยเดิม ดังนั้นมันได้ประหยัดต้นทุนด้วย ขนาดที่เล็กของทุ่งหญ้าบังคับให้วัวควายไปสู่ฝูงสัตว์ หรือกินหญ้าทั้งหมด โจเอล ซาลาทิน รู้สึกว่า ถ้าคุณดมกลิ่นปุ๋ยคอก บนฟาร์มปศุสัตว์ คุณกำลังดมกลิ่นการบริหารที่ผิด ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ทำให้หญ้าดูดซึมปุ๋ยทั้งหมดทิ้งไว้โดยสัตว์ ถ้าสัตว์ถูกรักษาไว้ข้างใน ผมไม่ขออภัยต่อการดำเนินธุรกิจที่ทำกำไร เราบ่อยครั้งเกินไปเพียงแค่ผลักดันกำไรภายใต้พรม แต่เมื่อสิ้นวัน กำไรเป็นเลือดแห่งชีวิต เราไม่สามารถทำการปรับปรุง เราไม่สามรถสร้างนวัตกรรม ถ้าเราไม่มีเงินเล็กน้อยเหลืออยู่ เมื่อสิ้นวันใส่ลงไปกับบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่
Cr : รศ สมยศ นาวีการ