เกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์
เกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์
ตอนเกิดมา ถ้าพ่อแม่มีความพร้อมฐานะมั่นคงหน่อยให้ความรักความอบอุ่นกับลูก ก็ถือว่าโชคดี แต่เด็กๆหลายคนโชคร้ายเกิดมาอาภัพ ไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม น่าสงสาร ดังเห็นเป็นข่าวที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทั้งในและนอกประเทศ สำหรับเรา ถือว่ามีโชคพอสมควร ได้ครองตัวมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งสุขทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วย ก็พยายามต่อสู้กับมัน หรือทนอยู่กับมันไป โดยเฉพาะเรื่องกระดูก
เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ผมได้ไปผ่าตัดหนังตาบนข้างขวา ที่หย่อนลงมาปิดตาเพราะอายุมาก สถานที่คือโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตึกสิริกิติ์ ซึ่งตั้งแต่ไปยื่นใบนัด จนผ่าตัดเสร็จ แล้วไปนอนพักฟื้นดูอาการก่อนกลับบ้าน ได้รับการดูแลอย่างดีทุกขั้นตอน จากแพทย์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน พวกเขาเป็นมืออาชีพจริงๆ ซึ่งก็เหมือนกับแผนกอื่นๆที่ไปใช้บริการ แม้คนจะเยอะมากก็ตาม ต้องขอขอบคุณความเอื้ออารีมา ณ ที่นี้
ปัญหาของการผ่าตัดที่น่ากังวล ไม่ใช่ในระหว่างการผ่าตัด ซึ่งได้รับการดูแลอย่างดี แต่มักจะเกิดหลังการผ่าตัดแล้วออกมาพักฟื้น กว่าจะกลับคืนมาเป็นปกติใช้เวลานาน หรืออาจจะเจ็บปวดแผล หรือต้องมีสายยางโยงหลายเส้นสำหรับคนที่ผ่าตัดใหญ่ คนทีสุขภาพดี ไม่เคยต้องผ่าตัดนับว่าโชคดี แต่ตามสัจธรรมแล้ว หลายๆคนต้องผจญและเป็นทุกข์กับโรคภัยไข้เจ็บ จนกว่าจะหาย
ความแก่ก็เป็นทุกข์ ไม่มีใครอยากแก่ แต่ชีวิตก็เป็นไปตามกาลเวลา แม้จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ ถ้าไม่อยากแก่ ก็ต้องตายไปก่อนจะแก่ แต่เชื่อว่าไม่มีใครอยากเลี่ยง อยู่จนแก่ดีกว่าตายเร็ว ความทุกข์ของคนแก่คืออวัยวะในร่างกายใช้มานานเสื่อมคุณภาพหมด เช่นกลืนอาหารช้า กินได้น้อย ต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภท เป็นต้น เคยสังเกตดู ไม่ทราบจริงหรือเปล่าว่า คนแก่ที่อยู่เฉยๆไม่มีอะไรทำเดินไปเดินมา จะเจ็บป่วยและตายเร็ว ส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับอวัยวะภายใน เช่นไต แต่คนที่มีกิจกรรมเยอะ ยังมีงานรับผิดชอบ หรือมีกิจกรรมทางสังคมและครอบครัว หรืออีกนัยหนึ่งคือ คนที่มีเพื่อนเที่ยวเล่นกันบ้าง บริการผู้คน งานบ้านหนักหน่อย ไปเดินตลาดหรือศูนย์การค้าบ่อยๆ ใช้สมองสั่งการตลอดเวลา สบายใจ จะเจ็บป่วยน้อยกว่า อยู่ถึงอายุ ๘๐ หรือ ๙๐ ได้อย่างสบาย บางคนอายุเป็นร้อย ยังกระฉับกระเฉงเหมือน ๘๐ กว่าๆ ถ้าขยันหรือมีเป้าหมายจะทำกิจกรรมทุกๆวัน
ปกติ ถ้าเราไปเยี่ยมเพื่อนหรือญาติที่ป่วยหนัก อาจจะไม่เป็นผลดี เพราะคนป่วยเห็นเรายังปกติ อาจจะเสียใจ คิดเปรียบเทียบว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นแบบเราบ้าง แต่ถ้าทำใจได้ ว่าทุกชีวิตก็ต้องสิ้นสุดเหมือนกันหมด แต่วันเวลาอาจจะแตกต่างกันไป กับคนที่ปกติก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะถึงคิวของตัวบ้าง คิดได้แบบนั้นก็สบายใจขึ้น
เมื่อถึงเวลาตายเดี๋ยวนี้กะทัดรัดขึ้น การบำเพ็ญกุศล จากสวด ๗ วัน เหลือ ๓ วัน หลายๆคนบอกว่าสวดคืนเดียวก็ให้เผาเลย เอาอังคารไปลอยน้ำให้หมด ไม่ต้องเก็บไว้เป็นภาระในอนาคต เหลือแต่รูปเก่าๆที่ถ่ายเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ แต่ทางฌาปนกิจสถานคงจะขาดรายได้ไปเยอะ เกิดเป็นคนไทยโชคดี ที่มีพิธีการฌาปนกิจศพโดยการเผา แล้วลอยอังคารที่เหลือไปกับน้ำซึ่งเป็นสารละลายที่ดี ร่างกายทุกส่วนมาจากธรรมชาติ มีส่วนประกอบคือดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อตายแล้ว ก็ส่งกลับคืนธรรมชาติให้หมด
ในขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ แท้ที่จริงแล้ว ก็อุดมไปด้วยความทุกข์ และต้องอดทน ภายใต้กฎระเบียบทางสังคม และส่วนประกอบทางชีว-เคมีของร่างกาย เข้าใจว่า คนเรามีส่วนประกอบทางชีว-เคมีไม่เหมือนกัน แม้จะมีพ่อแม่เดียวกันก็ตาม แล้วยังมีความเป็นอยู่ อาหาร อากาศ อารมณ์ และสิ่งแวดล้อมภายนอกแตกต่างกันไป ทำให้คนเรามีความคิดและสุขทุกข์กันคนละอย่าง แล้วจบชีวิตลงด้วยระยะเวลา และอาการคนละแบบ การทำกรรมดี หรือกรรมชั่ว ก็มีส่วนในการดำรงชีวิตของคน และเชื่อมากๆว่า ใครก็ตามที่เป็นคนดี มักจะได้รับสิ่งที่ดีๆในชีวิตเป็นอานิสงค์ต่อไป
มีคนพูดตลกๆว่า “คนดี ๔ โมงเย็น” หมายถึงทุกคนที่เกิดมา จนกระทั่งตายไปแล้ว ในงานฌาปนกิจซึ่งปกติจะเป็นเวลาประมาณ ๔ โมงเย็น ก่อนจะทำพิธีเผา ต้องมีการอ่านประวัติของผู้ตาย และสดุดีความดีทั้งหลายที่ผู้ตายทำให้แขกที่มาในงานได้รับทราบ ซึ่งจะมีเฉพาะแต่ความดีเท่านั้นที่ประกาศออกไป สำหรับผมเอง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความดีมาก่อน ใครๆก็ว่าเราแย่ ต้องรอเป็นคนดี ๔ โมงเย็นกับเขาเหมือนกัน
คนที่แก่ตัวลง ด้วยความเสื่อมถอยของอวัยวะะต่างๆ เหมือนกลับไปเป็นเด็กเกิดใหม่ๆอีกครั้ง บางคนช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องอุ้ม นั่งรถเข็น หรือติดเตียง สำหรับผม ในขณะนี้ อายุ ๗๗ ยังพอช่วยตัวเองได้ แต่จะไปไหน ต้องมีคนขนาบข้าง ไม่เหมือนก่อน ปกติเป็นภรรยาที่อยู่แนบใกล้ โดยเฉพาะไปหาหมอที่โรงพยาบาล ไม่ใช่กลับมาโรแมนติกกันอีก แต่เนื่องจากหูเสื่อม ใครพูดอะไรไม่ได้ยิน ยิ่งใส่หน้ากากป้องกันโควิด ยิ่งไม่ได้ยินใหญ่ เข้าไปหาหมอหรือรอเขาเรียกตามคิว ต้องให้ภรรยาเป็นคนฟัง นอกจากนั้น การมองเห็นตอนกลางคืน ก็ไม่ชัดนัก ถ้าไม่ต้องขับรถ ก็เป็นการดี แต่ถ้าจำเป็น ก็ยังพอได้ เมื่อไม่นานมานี้ ยังขับรถทางไกลทั้งคืนหลายครั้ง ค่อยๆไปไม่เร่งรัดนัก ให้ภรรยาช่วยดูทางข้างหน้า ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกหนักวิ่งกันทั้งคืน
ถึงแม้ในอดีต จะไม่ได้เป็นคนเก่ง ที่หาญกล้า หรือมีประวัติมาโชกโชนนัก ก็ยังถือได้ว่า มีความบ้าบิ่นอยู่พอตัว ผ่านโลกซึ่งเป็นละครโรงใหญ่มาแล้วหลายฉาก จนถึงตอนนี้ ฉากท้ายๆ เล่นไม่กี่คน และคนดูก็ไม่ค่อยมี อยู่ไปวันๆ มีอะไรที่เข้ามาแล้วขัดใจ ก็พยายามเป็นโรคช่างเข้าไว้ คือช่างมัน ทุกอย่างมันก็ต้องผ่านไปเอง ท้ายสุดก็เหลือแต่ชื่อเหมือนบรรพบุรุษทั้งหลาย สวัสดีครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม
อยู่ไหนไม่ รู้แฮะ คล้ายๆ กรุงเทพฯ
ปลายกันยายน ๒๕๖๕