jos55 instaslot88 Pusat Togel Online อย่าวิตกสถาวะปัจจุบันจนเกินเหตุ    - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

อย่าวิตกสถาวะปัจจุบันจนเกินเหตุ   

สบาย สบาย สไตล์เกษม

เกษม อัชฌาสัย

อย่าวิตกสถาวะปัจจุบันจนเกินเหตุ

ปกติผมไม่ค่อยเขียนประเด็นการบ้านการเมืองของไทยเราบ่อยครั้งนัก เพราะไม่สันทัดจัดเจนอย่างหนึ่งและไม่ใช่พื้นที่ประจำอย่างหนึ่ง

แต่ถนัดจะเขียนเล่าเรื่องราวระหว่างประเทศมากกว่า ซึ่งก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร นอกจากหยิบข่าวหรือบทวิเคราะห์วิจารณ์ของคนอื่นมาเขียนต่อ ให้อ่านเข้าใจง่ายๆ ตามหน้าที่

จนถูกต่อว่าซึ่งหน้าหลายหนว่า”เอาแต่ตามก้นฝรั่ง” ก็ต้องให้อภัยเขา เพราะการเขียนเรื่องเหล่านี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว ต้องรู้เรื่องและเข้าใจการเมืองการเศรษฐกิจและสังคมระหว่างประเทศด้วย ไม่เช่นนั้นจะอธิบายให้”ชาวบ้าน”เข้าใจได้อย่างไร

ก็ต้องรู้มันไปทุกเรื่องนั่นละ ทั้งยังต้องเรียนรู้ธรรมเนียมปฏิบัติ รู้กฎบัตรกฎหมายระหว่างประเทศ ตามความจำเป็น ถ้าเขียนส่งเดช ก็จะเข้าป่าไปเลย

ไม่เช่นนั้น หลักสูตรวารสารศาตร์ คงไม่กำหนดให้มีวิชาการเขียนบทวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน เอาไว้แน่นอน

ผมเคยสอนวิชานี้เสียด้วยสิ เพราะฉะนั้น ขออย่าได้ปรามาศกันจนเลยธงนัก

นานปีทีหน (ไม่นับรวมทำข่าวประจำในประเทศ) อย่างในสมัยสงครามอินโดจีน เคยออกทำข่าวแนวหน้าในสนามรบกัมพูชา หรือทำข่าวผู้อพยพหลบลี้หนีภัยสงคราม(Boat people) หรือทำข่าวการหาเสียงเลือกตั้งในสหรัฐสมัยนิกสัน ครั้งที่ยังหนุ่มแน่น

แต่ในบางคราว เรื่องภายในประเทศ ก็หลีกเลี่ยงไม่เขียนถึงไม่ได้เหมือนกัน แม้จะมีผู้เขียนหลากหลายความเห็นไปแล้ว หากพบว่ายังมีบางแง่มุม ที่ควรจะเข้ามาเติมให้เต็ม หรือดึงความเห็นที่ไม่เข้าท่าไว้ ไม่ปล่อยให้พากันแห่เข้ารกเข้าพงไป โดยไร้ผู้เหนี่ยวรั้ง เพื่อสร้างความสมดุล ก็จะทำ

อย่างเช่น ณ วันนี้ ขณะที่หลายคนดีอกดีใจว่า องค์การอนามัยโลกเลือกส่งทีมประชาสัมพันธ์มาทำสารคดีการจัดการกับไวรัสในไทย เช่นเดียวกับในนิวซีแลนด์ ฐานที่สองชาติจัดการได้ดี ผมกลับเห็นว่า สถานการณ์โรคระบาด”โควิด  19” ของไทยเรา ก็แค่อยู่ในอาการทรงตัวเท่านั้น ไม่ขึ้นไม่ลงหวือหวา เหมือนในหลายชาติที่กำลังประสบปัญหาหนัก ติดเชื้อรายใหม่และตายกันกันเป็นจำนวนมาก หลังจาก”ปลดล็อก”ความเข้มงวดกวดขัน จนกลับมาระบาดในระลอกที่ ๒ ที่ ๓ แล้วอย่างน่ากลัว

เลยไม่ดีใจเท่าไรนักกับองค์การอนามัยโลก  เพราะตามข้อเท็จจริง ไทยเรายังอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง แม้มีการติดเชื้อรายใหม่ๆ เพียงแต่อยู่ในสภาพที่ควบคุมได้ เพราะเป็นการติดเชื้อที่มาจาก”ข้างนอก”ประเทศ ยังไม่มีการติดเชื้อภายในระหว่างคนไทยด้วยกันเอง  ตามที่หวั่นใจกัน อย่างที่หวาดวิตกว่า อาจจะเกิดขึ้นที่จังหวัดระยอง จากกรณีทหารอียิปต์และจากนักการทูตซูดาน อ้างเอกสิทธิเข้าไทย

แต่ที่น่าวิตกจริงๆ ก็คือสภาวะการแพร่ระบาดระดับโลก ที่ทำท่าจะไม่หายไปในเร็ววัน คาดจะยืดเยื้อ ชนิดที่”การ์ดตก”ไม่ได้ ไปอีกนานเท่านาน อาจปีหน้า-ปีโน้น

ตราบเท่าที่คลื่นการระบาด ยังคงซัดสาดซ่ารุนแรงลับไปกลับมาในหลายชาติ มีโอกาสกระเซ็นข้ามมาถึงไทย หากไทยขืนดันทุรังปล่อยให้ต่างชาติเดินทาง”เข้ามา”แบบไม่เข้มงวดกวดขัน จะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม รวมทั้งการเปิดตลาดการท่องเที่ยวใหม่

ประเด็นที่น่าสนใจติดตามเรื่องต่อ สำหรับสื่อมวลชนก็คือ จะต้องช่วยกันกระตุ้นให้รัฐบาล เตีรยมการรับมือผลกระทบด้านต่างๆ จากไวรัส นอกเหนือไปจากการช่วยเหลือเยียวยาทั่วๆไป โดยเฉพาะในประเด็นทางเศรษฐกิจ ที่ไทยเรา”ไม่อาจใช้”นโยบายเดิมๆ ที่กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการใหญ่ยักษ์ที่นำเข้าแรงงานต่างชาติอีกต่อไป

ณ บัดนี้ รัฐบาลสมควรหาทางทำอย่างไร ที่จะใช้กลไกภายในเท่าที่มีกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ซึ่งก็ยังไม่ได้ยินว่ามีแผนทำไปแล้ว หรือไม่แค่ไหน จะสามารถประยุกต์เอาระบบเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ ๙ มาใช้ได้หรือไม่ แต่ในที่สุดกลับต้องมา มีปัญหาปรับครม.เสียก่อน

นี้คือสิ่งสำคัญที่ต้องวางแผนทำรีบด่วนที่สุด ก่อนที่เศรษฐกิจทั่วไป จะถดถอยเลวร้ายไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ จากภาวะการตกงาน เพราะการพังทลายของธุรกิจ ที่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดความอดอยากชัดเจนขึ้น อันจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ เช่นปัญหาอาชญากรรมที่จะติดตามมาและปัญหาทางการเมือง ที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล พยายามนำประเด็นต่างๆ มารุมเร้า จ่อคอหอยอยู่

ประเด็นที่จ่อคอหอยรัฐบาลตอนนี้ที่ชัดเจนก็คือ กรณีนักเรียน นักศึกษาและเยาวชน ออกมาชุมนุมแบบสงบ แม้จะฉาบฉวย แต่ก็เร่าร้อนรุนแรง ด้วยการเรียกร้องให้เลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ด้วยการขับไล่รัฐบาล มีการใช้ถ้อยคำหยาบคาย ถึงขั้นขับไล่กษัตริย์ เข้าขั้นการ”ยั่วยุ” หมายให้เกิดการปราบปราบที่รุนแรง อันจะนำไปสู่ความวุ่นวายภายในชาติ

อยากจะพูดว่า ขอให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง  ทำตัวเป็นผู้ใหญ่จริงๆ เสียที

โดยฝ่ายหนึ่ง จงอย่าให้ท้ายเด็ก ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง ก็อย่าข่มขู่เด็ก จงคิดเสียว่า เมื่อ ๔๐ หรือ ๕๐ ปีก่อนโน้น พวกเรา(ผู้อาวุโส)เคยคิดทำอะไรและอย่างไร ทำได้หรือไม่ มีข้อจำกัดแค่ไหน ทำไมจึงมีปัญหาล่วงเลยมาถึงวันนี้

เอาง่ายๆ เลยครับ ทำไมเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปต่างๆ ของปปกส.จึงไม่บรรลุเป้าจริงจัง ทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปห้าหกปีแล้ว โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ

ในที่สุดเมื่อถึงวันของเด็กเหล่านี้ในอีก ๔๐ หรือ ๕๐ ปีข้างหน้า พวกเขาก็จะคิดได้เอง อย่างที่เราคิดได้….มิใช่หรือ

ส่วนจะโยนกลองไปให้กลุ่มต่อต้านสถาบันว่า อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะอยู่จริงหรือไม่ ก็อยู่ที่หลักฐานที่ทางการควรจะมีอยู่พร้อมแล้ว ว่าจะจัดการอย่างไร หากกระทำนอกเหนือจากที่กฎหมายมีบทบัญญัติให้อนุญาต

ตามที่มีความวิตกกังวลกันว่า กลุ่มต่อต้านสถาบัน จะเข้ามาสมทบก่อเรื่องให้วุ่น โดยอาศัยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เพื่อดึงเอาต่างชาติเข้ามาแทรกแซง โดยการชี้ชวนว่า รัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย หรือเป็นรัฐบาลล้มเหลว ไม่สามารถสร้างระเบียบวินัยด้านต่างๆ รวมทั้งทางด้านการใช้อำนาจตุลาการ  โดยยกตัวอย่างรัฐ มีความบกพร่องชัดเจนในการใช้หลักนิติธรรม หรือการบังคับใช้กฎหมาย จากกรณีสั่งไม่ฟ้อง”ทายาทกระทิงแดง”นั้น อยู่ที่ว่า จะมีใครสามารถทำให้การชุมนุมแบบฉาบฉวยของนักเรียน นิสิตนักศึกษาและเยาวชน กลายสภาพเป็นการเดินขบวนตามท้องถนน ด้วยการออกมาสมทบของมวลชน(ที่ถูกจุดไฟติด) ออกมาขับไล่รัฐบาลหรือไม่

เพราะฉะนั้น การชำระสะสางในกรณีทายาทกระทิงแดง จะต้องทำโดยเร็วที่สุด ด้วการพลิกผันความไม่ชอบธรรมให้เกิดความชอบธรรมในที่สุด

ก๋อนจะสายเกิดแก้ กลายเป็นประเด็นร้อนแรง เปิดโอกาสให้กลุ่มต้านรัฐบาล นำเอาไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง

ใคร่เตือนอีกครั้งว่า สภาพ”ผีซ้ำด้ามพลอย”ทางการเมืองนั้น ไม่ใช่ว่าจะมาเฉพาะจากนักเรียน นิสิตนักศึกษาและเยาวชนเท่านั้น แต่ยังจะมาจากสภาผู้แทนราษฎรด้วย ว่าสามารถจัดระเบียบได้มากน้อยเพียงไร รัฐบาลมีความสามารถที่จะ“เอาอยู่”หรือไม่ เพราะทุกวันนี้ในสภาผู้แทนราษฎรส่วนหนึ่ง ก็จ้วงจาบหยาบช้า ไร้คุณธรรม ไร้ความถูกต้อง ไม่เกรงใจใครอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น รัฐบาลต้องรีบเร่งตัดไฟเสียแต่ต้นลม รีบสร้างความชอบธรรมในทุกๆเรื่องให้เกิดขึ้น โดยเร็ว

จะเห็นว่า ปัญหาทั้งหมดคร่าวๆ นี้ ไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง จนก่อให้เกิดการวิตกวิจารณ์กันเกินเหตุ…..ถ้าคิดจะแก้ไข

ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครสามารถปลุกระดมมวลชน ประเภทตีหม้อเคาะกระทะ เพราะความอดยากไร้ ออกสู่ท้องถนนได้

แต่ถ้ามีคน พยายามคิดจะโค่นล้มรัฐบาลในยาม”หน้าสิวหน้าขวาน”เช่นนี้ ใครจะไปว่าอะไรได้

กระนั้น รัฐบาลก็จะต้องรีบหาทางแก้ไขป้องกันแต่เนิ่นๆ เพื่อความอยู่รอดของชาติส่วนรวมในระยะยาว มิใช้แค่เพียงความอยู่รอดปลอดภัย ของรัฐบาลเท่านั้น

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *