INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ชุมแพและหนองคายในฤดูหนาว

ชุมแพและหนองคายในฤดูหนาว

ระลึกถึงเมื่อทำงานในระยะแรกๆ ประมาณต้นปี ๒๕๑๑ เพิ่งจะเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ยังไม่ถึงถนนสายหลัก ก็ได้ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ที่กรมการข้าว กระทรวงเกษตรฯ ในสมัยนั้น เพราะอยากรับราชการเป็นนักส่งเสริมการเกษตรตามที่ได้มีอุดมการณ์มา ทำงานไม่กี่เดือน ได้มีโอกาสออกต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก โดยใช้รถ jeep ที่องค์การยูซ่อมช่วยเหลือ ตัวถังเป็นเหล็กทั้งคัน เรียกว่า jeep กระป๋อง เดินทางไปที่ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย แถวนั้น เป็นเขต รพช. หน้าที่หลักคือไปพบปะเกษตรกร ศึกษาปัญหาทางวิชาการและหาทางช่วยเหลือแก้ไข ร่วมกับเจ้าหน้าที่ รพช. และข้าวอำเภอในท้องถิ่น

จำเหตุการณ์สนุกๆที่ประทับใจได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น อำเภอศรีเชียงใหม่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเวียงจันทร์ ข้ามไปเที่ยวเตร่และดื่มเบียร์ ซึ่งเบียร์ไทยที่นั่นราคาถูกกว่าที่เมืองไทยเนื่องจากระบบภาษีต่างกัน เรื่องที่ ๒ คือน้ำในแม่น้ำโขงลดลงจนแห้ง กลางแม่น้ำกลายเป็นหาด ได้พบกับคณะเจ้าหน้าที่จากจังหวัดและอำเภอ ลงไปนั่งปูเสื่อดื่มกินกลางแม่น้ำอย่างเพลิดเพลิน เรื่องที่ ๓ คือ งานวัด มีรำวงรอบละบาท ใครๆก็ไปเจอกันที่ เวทีรำวง สนุกสนานกันมาก เรื่องที่ ๔ (ยาวหน่อย) ไปร่วมทำบุญกับเกษตรกรที่วัด หลังจากนั้น ได้รับประทานอาหารเช้าจับกลุ่มกันเป็นวงๆ ผมก็เข้าร่วมวงด้วย อาหารเช้าเป็นข้าวเหนียวกับ กับข้าวปกติ ตรงกลางมีชามน้ำแกงตั้งอยู่ พร้อมด้วยช้อนกลาง ๑ คัน ทุกคนใช้ช้อนคันนั้น ตักซดเข้าปาก ผมตั้งใจจะไม่กิน เพราะไม่คุ้นเคย แต่ชาวบ้านนั่งอยู่ข้างๆไม่เห็นผมกิน ด้วยความหวังดี จึงเอาช้อนนั้นแหละตักน้ำแกงยื่นให้ผมซด ก็ไม่ปฏิเสธ ต้องหลับหูหลับตาซดเข้าไป คิดถึงสมัยเมาๆ ที่ดื่มเหล้า แก้วของใคร ของใครก็ไม่รังเกียจ เพราะเมาแล้ว และที่หนักที่สุดตอนเมา ก็คือเอา ข้าวราดหน้าผัดกะเพราเทลงบนพื้นระเบียงบ้าน แล้ว แย่งกันกิน มือใครมือมัน สนุกไปเลย ในวันนั้น แค่ร่วมช้อนคันเดียวกันซดน้ำแกงจะเป็นไรไป

มีอีกหลายเรื่อง ที่นักวิชาการหนุ่มๆ พึงกระทำในเวลาว่างๆที่อำเภอศรีเชียงใหม่ ล้วนแต่เป็นเรื่องอดีตในความจำส่วนลึก เช่น เคยดื่มเบียร์กับเพื่อน ๒ คน ๑๒ ขวด ในเวลากลางวัน หลังจากดื่มแล้ว ก็แน่นอน ต้องไปนอนซมที่โรงแรมเป็นเวลานาน (สถิติของตัวเอง เคยร่วมดื่มเบียร์ ๕ คน ๖ โหลในเวลาวันเดียว และยังมีครั้งอื่นๆอีกหลายครั้ง ถ้าจะคุยกันเรื่องเมา )

หลังจากไปประจำที่ศรีเชียงใหม่ ร่วม ๒ ครั้ง แต่ละครั้ง ใช้เวลาเกือบเดือน ก็กลับมาทำงานที่ส่วนกลางเหมือนเดิม ซึ่งต่อมางานส่งเสริมการเกษตรของกรมการข้าวและกรมกสิกรรม ก็ได้รวมกันเป็นกรมส่งเสริมการเกษตร ผมก็ได้บรรจุไปเป็นข้าราชการภูธรที่ฉะเชิงเทราเกือบ ๑๐ ปี แล้ว ย้ายไปสระบุรี และลพบุรี ตามระยะเวลาพอสมควร ต่อจากนั้น ก็ได้กลับมาทำงานเป็นนักวิชาการที่ส่วนกลาง ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯไปเรื่อยๆ จนเกษียณอายุราชการ

มีถนนเลียบแม่น้ำโขงไปจังหวัดเลย ผ่านอำเภอเชียงคาน ในสมัยนั้น ถนนยังไม่ค่อยดี ที่นั่น มีชื่อเสียงเรื่องการปลูกพืช เพื่อนๆรุ่นเดียวกันหลายคนไปทำงานที่เลย โดยเฉพาะ เรื่องฝ้าย ซึ่งเป็นช่วงที่ ฝ้ายเมืองไทยเราโด่งดัง โดยเฉพาะต้องฉีดยาเคมี เนื่องจากมีศัตรูพืชที่ระบาด เพื่อนๆที่ทำงานบริษัทยาเคมีไปพบกันที่นั่น ได้ทราบมาว่า ที่เชียงคานนั้น ประกอบด้วย เรือนแถวยาวๆ ๒ ฟากถนนริมโขง เป็นเมืองที่สวยงาม แต่ผมได้ไปแถวนั้น ก็ต่อเมื่อทำงานมาแล้ว ๔-๕ ปี เนื่องจากเคยมาช่วยงานข้าวโพด ข้าวฟ่าง ในสมัยอยู่ฉะเชิงเทรา ถ้าจำไม่ผิด ความเด่นของเชียงคานคือเรือนแถวยาวเหยียด ๒ ฟากถนนที่เลียบแม่น้ำโขงซึ่งมีมานาน

ที่ระลึกถึงความหลังดังได้เล่ามานี้ เพราะเมื่อปลายธันวาคม เดือนที่แล้ว ผมมีโอกาสไปหนองคายและเชียงคาน กับญาติๆ ซึ่งตัวหลักคือหลานเขยซึ่งเป็นคนหนองคายมีบ้านพี่ๆน้องๆอยู่ที่นั่น หลานพร้อมทั้งพี่ๆ คะยั้นคะยอให้ผมนั่งรถไปเที่ยวด้วย คิดแล้วก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปดูบ้านเมืองรื้อฟื้นความหลังกันซะหน่อย

เนื่องจากการซ่อมทางขยายถนนจากโคราชไปขอนแก่นบางช่วง และเป็นเวลาใกล้ปีใหม่ รถในถนนมากพอควร จึงใช้เวลาจากกรุงเทพฯไปหนองคาย กว่า ๑๒ ชั่วโมง โดยแวะกินไก่ย่างเขาสวนกวาง(ร้านดั้งเดิม) เป็นมื้อบ่าย จึงกินไม่ยั้งด้วยความหิว สถานที่พัก บ้านญาติของหลานนั้น อยู่กลางทุ่ง ในขณะที่อากาศหนาวเย็นสบาย ที่นั่นคือ “บ้านทุ่งในฤดูหนาว”

ในขณะที่อยู่หนองคาย หลังจากที่ทำกิจธุระของญาติเสร็จ ก็ไปเดินเล่นที่ตลาดดังๆ เช่นตลาดเสื้อผ้าที่บ้านนาข่า อำเภอเมือง อุดรธานี ซึ่งมีผ้าไหมราคาถูกๆ แต่ไม่ได้ซื้ออะไร เพราะไม่มีโอกาสจะใส่ผ้าไหมอีกแล้ว นอกจากนั้น ได้ไปตลาดสินค้าราคาถูกที่ท่าเสด็จ เดินทางไปทั้งที ซื้อเสื้อกล้าม ขนาดตัวใหญ่( L ) ตัวละ ๔๕ บาทมา ๖ ตัว พอมาถึงกรุงเทพฯ พบว่า ขนาด L ที่ซื้อมามีแค่ ๓ ตัว และขนาดเล็กอีก ๓ ตัว คนที่ไม่ซื่อต่อเราคงต้องได้รับผลกรรมตอบสนองไปเอง คิดให้สบายใจ แล้วจบ

ที่ตลาดท่าเสด็จ มีร้านอาหารแหนมเนืองชื่อ ร้านแดงแหนมเนือง ซึ่งแต่ละวันขายดีมากๆ ต้องไปใส่ชื่อรอคิวที่ร้าน ถึงได้กิน อาหารที่นี่โด่งดัง และราคาถูก ผมเลือกกินขนมจีนไข่ทั้งๆที่ไม่รู้จัก พอได้กิน รู้สึกว่า อร่อยแฮะ เห็นมีคนซื้อแหนมเนืองใส่กล่องกลับก็เยอะ โดยเฉพาะตอนเช้าๆที่คนจากต่างจังหวัดจะกลับบ้านเขา ขับรถไปเข้าคิวซื้อแหนมเนืองกลับเป็นแถวยาว กิจการรุ่งเรืองดีมาก

ไปถึงหนองคายแล้ว ต้องไปไหว้พระสักหน่อย ได้แวะเข้าไปในวัดโพธิ์ชัย เพื่อจะนมัสการพระพุทธรูปที่โด่งดัง คือหลวงพ่อพระใส ซึ่งเมื่อเข้าไปในวัดแล้ว มีผู้คนมาก เป็นบุญของพวกเรา ได้มีโอกาสกลับมากราบบูชาพระพุทธรูป หลวงพ่อพระใส อีกครั้งหนึ่ง

สภาพบ้านเรือนของหนองคายดูคุ้นๆ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ที่ท่าบ่อและศรีเชียงใหม่ จำอะไรไม่ได้เลย แล้วก็ไม่มีเวลาหยุดเพื่อทบทวนความหลัง เนื่องจากไปกันหลายคน เพียงแวะกินขนมจีนน้ำยาปู ที่อำเภอท่าบ่อ ซึ่งเป็นน้ำยาไม่เหมือนกับที่เคยกินมา คือไม่ได้ใส่เครื่องแกงและพริกเผ็ดๆ แต่เป็นแกงรสชาติเค็มๆใส่เนื้อปู ก็อร่อยดีเหมือนกัน

ไม่ว่าที่ไหน ถ้าไปกินอาหารที่ภาคอีสาน ต้องไม่ลืมสั่งส้มตำลาว พวกเราได้สั่งกินทุกมื้อ ตั้งแต่วันแรกที่ร้านไก่ย่างเขาสวนกวาง และมื้อต่อๆไป ส้มตำลาวใส่ปลาร้ากับข้าวเหนียว ติดใจมานาน กินบ่อยๆก็ไม่เบื่อ หลังจากอิ่มกันแล้ว เราก็เดินทางต่อไปเชียงคาน ถือโอกาสแวะเที่ยวที่นั่น ก่อนกลับบ้านกรุงเทพฯ ได้แวะพักที่เชียงคาน ๑ คืน

บรรยากาศของเชียงคาน ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก มีเรือนแถว ๒ ฟากฝั่งถนนริมโขงเหมือนเดิม แต่ห้องแถวได้รับการปรับปรุงใหม่ ทำเป็นร้านค้าหรือ ที่พัก home stayเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ถนนนี้ ตอน ค่ำๆ จัดเป็นถนนคนเดิน ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นๆในฤดูหนาว ทำให้เดินได้ไกลๆ ผมได้กินข้าวจี่หรือข้าวเหนียวปิ้งปรุงรสเสียบไม้ราคาไม้ละ ๑๐ บาท เดินจนเหนื่อยก็กลับที่พัก ตื่นเช้ามาก็ได้ทำบุญตักบาตรข้าวเหนียว โดยชาวบ้านทำอาหารใส่บาตรมาวางเรียงแถวหน้าเรือนแถว ๒ ฟากถนนนั้น เพื่อจำหน่ายหรือบริการให้นักท่องเที่ยวใส่บาตรตามประเพณี

ในสมัยก่อน ที่ทำบุญใส่บาตรนั้น ชาวบ้านได้หยิบข้าวเหนียวด้วยมือเปล่าใส่ในบาตรคนละหยิบมือ เวลาพระฉัน คงอร่อยมาก เพราะมือเปล่าๆหลายมือของคนใส่บาตร แต่ปัจจุบัน เขาแจกถุงมือพลาสติกให้หยิบข้าวเหนียวในกระติ๊บใส่บาตร รสมือคนใส่บาตรก็จางหายไป

ได้เดินทางกลับโดยไปรับประทานอาหารเช้าที่ตัวจังหวัดเลย เป็นร้านอาหารเช้ามืออาชีพ ได้ลิ้มรสกาแฟ แก้วเล็กๆ ใส่นมข้นก้นแก้วให้มาคนเองแบบสมัยก่อน หลังจากอาหารเช้าก็เร่งขับรถกลับทางชุมแพ ผ่านชัยภูมิ ซึ่งรถไม่ติดมาก ถึงบ้านกรุงเทพฯด้วยความคิดถึงหนองคายกับเชียงคานและอยากกลับไปเยือนอีก
ชอบเป็น โค เหมือนกัน แต่ไม่ใช่โควิด ๑๙ แต่เป็นโคแก่อยากกินหญ้าอ่อน

บู๊ คนเคยหนุ่ม
๒๓ มกราคม ๒๕๖๔ เขียนที่เชียงใหม่

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *