เริ่มต้นด้วยฝ้าย จบที่เมฆฝนดำทะมึน

เริ่มต้นด้วยฝ้าย จบที่เมฆฝนดำทะมึน
เมื่อผมเข้าทำงานใหม่ๆ ฝ้ายเป็นพืชไร่ที่โด่งดัง มีปลูกอยู่แถวจังหวัดเลย และสุโขทัย กรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีโครงการฝ้าย จำได้ว่าเพื่อนๆที่เข้ามาทำงานได้ไปทำงานฝ้ายที่ ๒ จังหวัดดังกล่าว นอกจากนั้น เพื่อนที่อยู่ส่วนราชการอื่น เช่นกรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (ชื่อในตอนนั้น) รวมทั้งเพื่อนที่อยู่บริษัทขายยาเคมี (ยาฝ้าย) ก็ไปรวมกันอยู่ที่นั่น นับเป็นแดนสังคมเกษตรที่โด่งดัง ทำให้ในตอนนี้ พวกเขาได้คุยกัน และรำลึกถึงความหลังกันอย่างสนุกสนาน ปัจจุบันนี้ทั้งสองจังหวัดปลูกฝ้ายลดน้อยลงมาก เหลือแต่อ้อย ไม้ผลยืนต้น และในเมืองชนบทกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่นที่ อ.เชียงคาน จังหวัดเลย หรือ อ. สวรรคโลก ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น
ในพื้นที่ปลูกพืชไร่สมัยที่ฝ้ายยังเฟื่องฟู ขณะนั้น ยังไม่มีการปลูกอ้อยมากนัก มีแต่การปลูกข้าวโพดเป็นพืชต้นฤดูฝน และข้าวฟ่าง ถั่วเหลืองเป็นพืชปลายฝน และยังมีถั่วลิสงและพืชไร่อื่นๆที่ใช้บริโภคบ้าง มาในสมัยนี้ พืชไร่ทุกชนิดลดลงหมด เหลือแต่อ้อย ซึ่งปลูกกันมากขึ้น เพราะอ้อยมีระบบส่งเสริมที่เป็นรูปธรรม มีหน่วยงานดูแลโดยเฉพาะ และมีกรรมการซึ่งประกอบไปด้วยองค์กรที่เกี่ยวข้องหลายแห่งคอยช่วยเหลือแนะนำ ข้อสำคัญที่สุด คือโรงงานน้ำตาลต้องการอ้อยเป็นวัตถุดิบป้อน ซึ่งจะต้องปลูกรอบๆโรงงานเป็นหลัก เพื่อสะดวกในการขนส่งและรักษาคุณภาพ โรงงานน้ำตาลจึงมีโครงการส่งเสริมชาวไร่ เช่นบริการพันธุ์ดี ปุ๋ย ให้สินเชื่อล่วงหน้า ตราบใดที่โรงงานน้ำตาลเพิ่มจำนวน ตราบนั้น พื้นที่อ้อยก็จะขยายออกไป แต่ข้าวโพดและถั่วเหลือง นำเข้าจากต่างประเทศได้ และมีผลผลิตทดแทน เช่นข้าวโพด แทนด้วยปลายข้าว ถั่วเหลือง(กากถั่วเหลือง)แทนด้วยปลาป่น กากทานตะวันฯลฯ
ข้าวโพดและถั่วเหลืองสามารถนำเข้าจากต่างประเทศด้วยราคาที่ถูกกว่าปลูกเอง และคุณภาพดี เพราะประเทศผู้ผลิตเป็นประเทศที่เกษตรกรทันสมัย ปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ใช้เครื่องจักรทุ่นแรงและเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่เปลืองแรงงาน ทำให้ต้นทุนต่ำ จำหน่ายได้ราคาถูกกว่าที่ปลูกภายในประเทศเราเอง ภาคเอกชนจึงไม่สนใจให้มีการปลูกในประเทศ ซื้อเขาได้ของคุณภาพดีกว่า ถูกกว่า
พืชไร่ทั้งหลายนี้ เป็นสัจจธรรม อะไรก็แล้วแต่ ถ้าเห็นคุณประโยชน์ ช่วยกันทนุถนอม ก็คงอยู่ อะไรที่ถูกทอดทิ้ง มีทดแทนก็หดหายไป ประเทศเรา มีการเปลี่ยนแปลงทางภาวะเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวดเร็วมาก บางครั้งตามไม่ทัน ยกตัวอย่างเช่น สถานที่เกิด พอจากไปนาน ลองกลับไปรื้อฟื้น บรรยากาศเก่าๆหายหมดแล้ว เหลือแต่สิ่งใหม่ และสังคมกลุ่มใหม่ เหลือเพียงแต่ความทรงจำ จะเล่าให้ใครฟัง ก็ไม่สนใจ
เชียงใหม่เป็นจังหวัดหนึ่ง ที่มีอากาศเย็นสบาย ในสมัยก่อนเป็นเมืองที่มีวัดวาอารามอยู่ทั่วไป ผู้คนเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส อู้คำเมืองอ่อนหวาน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่สวยงาม ประกอบด้วยภูมิประเทศที่เป็นทุ่งนาเวิ้งว้าง ปลูกถั่วเหลืองหลังการทำนาในฤดูแล้งเป็นแสนไร่ นอกจากนั้น ก็มีพื้นที่ปลูกผักสด และพืชไร่ชนิดอื่น ผู้คนต่างถิ่นก็อยากมาแอ่วกันนัก ในปัจจุบัน เชียงใหม่มีตึกสูงๆหลายแห่ง เป็นศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยว ผู้คนอพยพมาจากหลายถิ่น คำเมืองยังพอได้ยินอยู่บ้าง แต่ลดน้อยกว่าในสมัยก่อน สภาพการเกษตรไม่ค่อยมีการทำนา เพราะเมืองและระบบเศรษฐกิจขยายออกไป มีสวนลำไย และลิ้นจี่แพร่กระจายอยู่ทั่วไปบ้าง ถ้าจะถามคนเชียงใหม่รุ่นก่อน ที่ยังคุ้นเคยกับถั่วเน่า (ถั่วเหลืองหมัก ใช้ทำน้ำพริก) เขาเหล่านั้น คงจะอดคุยเรื่องแต่เก่าก่อนไม่ได้
ที่เอ่ยถึงเชียงใหม่ขึ้นมา เพราะขณะนี้นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของจังหวัด เป็นมุมที่สมัยก่อนเป็นทุ่งนาและถั่วเหลือง ตอนนี้เป็นบ้านคนและศูนย์การค้า มีหอพัก อพาร์ตเม้นให้เช่าหลายแห่ง ผู้คนพร้อมด้วยจักรยานยนต์ และรถยนต์วิ่งกันไปมา และหลายคันจอดที่ตลาดศูนย์การค้าหน้าบ้าน มีร้านสรรพสินค้าทั่วไป ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ศาลาศูนย์อาหาร รวมทั้งแผงลอยขายอาหาร รถสามล้อขายน้ำเต้าหู้ (จากถั่วเหลือง) ปาท่องโก๋ ไก่ย่าง ส้มตำและอีกหลายอย่าง ผมชอบเดินไปซื้อไอศกรีมโบราณจากตู้แช่แข็งหน้าร้านสรรพสินค้า ๒-๓ แห่ง
เมื่อวันที่ ๒๐ มิย. ๖๕ เป็นวันที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนลดน้อยลงที่เชียงใหม่ ผมก็เบาใจ ไปเดินตอนเย็นๆที่สวนป่าด้านหน้าห้วยตึงเฒ่า ซึ่งสวัสดิการทหารจัดให้เป็นสถานที่ขี่รถจักรยาน วิ่ง และเดิน ดูสภาพเมฆมาก ไม่มีแดด แต่ก็ไม่ได้คิดกลัวฝน เพราะไว้ใจข่าวพยากรณ์อากาศ ออกเดินไปสักระยะหนึ่ง ฝนเทลงมาหนัก ถึงจะไม่มากแบบที่กรุงเทพฯ แต่ทั้งลมและฝนทำให้หนาวเย็นพอสมควร ต้องเดินกรำฝนเป็นเวลาประมาณ ๔๐ นาทีกว่าๆ จึงจะครบ ๑ รอบ ประมาณ ๔.๗ กม. ในเวลาที่ท่องไปตามสายฝนนั้น นึกถึงตอนยังเด็ก ชอบเล่นน้ำฝนสนุกดี บางครั้งออกมาเดินวิ่งให้เปียกเล่นๆ บางครั้ง เตะฟุตบอลกัน เตะบอลกลางฝนเป็นเรื่องธรรมดา ฝนตกเป็นเรื่องที่สนุกสนาน คิดถึงหลานตาที่มีอยู่ ๓ คน อายุตั้งแต่ ๑๒, ๑๐ และ ๖ ขวบ ถ้าอยู่ด้วยกัน จะพาออกเล่นกลางสายฝน แต่หลานอยู่ต่างประเทศ เคยมาเยี่ยมแค่ ๒-๓ ครั้ง แต่สงสัยว่าเด็กเดี๋ยวนี้ พ่อแม่จะปล่อยออกมาเล่นน้ำฝนกับตาของเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะกลัวเป็นไข้หวัด เพราะไม่คุ้นเคย อย่างไรก็ตาม ช่วงที่เดินกรำฝนอยู่ ก็คิดถึงหลานไปเรื่อย จะได้ไม่หนาว
เดินกลางสายฝนที่ห้วยตึงเฒ่ามาหลายครั้งแล้ว เพราะฝนตกกลางทางระหว่างเดิน แปลกที่บางที ฝนตกที่ห้วยตึงเฒ่า แต่ในเชียงใหม่ไม่ตก และบางครั้ง เชียงใหม่ฝนตก แต่ห้วยตึงเฒ่าไม่ตก ห้วยตึงเฒ่านี้อยู่เชิงดอยขุนช่างเคี่ยน (ไม่แน่ใจ) ตรงสถานที่ออกกำลังกาย เป็นพื้นที่ปลูกต้นไม้หนาแน่น คล้ายสวนป่าแห่งหนึ่ง น่าจะสามารถสะสมความชื้น เป็นแกนดึงดูดฝนให้ตกได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าใครอยู่กรุงเทพฯ เจอฝนจากเมฆดำทะมึนหนา สะสมจนลอยมาต่ำ เป็นมรสุมจากทะเล ต้องคิดว่าฝนที่เชียงใหม่ชิดซ้ายแน่นอน คิดถึงพี่ๆ เพื่อน และน้องๆ
บู๊ คนเคยหนุ่ม
๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๕ เชียงใหม่







