INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

“ชินโซะ อาเบะ”เหยื่อ”แค้นที่ต้องชำระ”

สบาย สบาย สไตล์เกษม

เกษม อัชฌาสัย

“ชินโซะ อาเบะ”เหยื่อ”แค้นที่ต้องชำระ”

ขึ้นชื่อเรื่องอย่างนี้ ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนกำลังภายในคงจะหัวเราะ ที่ผมใช้สำนวนนิยายจีน

ใช่เลยละครับ ในเมื่อชำระแค้นกับต้นตอแห่งความแค้นไม่ได้ ก็ต้องลงมือกับคนที่เกี่ยวข้อง(ก็ยังดี) เพราะแค้นนี้ใหญ่หลวงนัก

เป็นความแค้นของ”เทตสึยะ ยะมะงะมิ”หนุ่มใหญ่วัย ๔๑ มือปืนสังหาร”ชินโซะ อาเบะ”อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น วัย ๖๗  กลางวันแสกๆ ขณะปราศรัยหาเสียงช่วยผู้ลงสมัครสังกัดพรรคเสรีประชาธิปไตย เพื่อช่วงชิงตำแหน่งสมาชิกสภาสูงที่เรียกว่า Sangiin(“ซางจีง”) บนท้องถนนเมืองนารา เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ซึ่งถูกจับกุม ณ สถานที่เกิดเหตุในทันที จากนั้นก็เอาตัวไปสอบปากคำ เพื่อค้นหาสาเหตุการฆ่าที่แท้จริง

ข่าวค่อยๆคลี่คลายออกมา ตามที่ตำรวจเมืองนาราแถลงแก่ผู้สื่อว่าว่า “ฆ่าเพราะความแค้น”ทั้งนี้ตามคำให้การชั้นแรกของเขา

แถมยังเผยด้วยว่าเป็นความแค้น ที่มีต่อขบวนการแห่งลัทธิศาสนาสายหนึ่ง ซึ่งมือสังหารเชื่อว่า”อาเบะ”เข้าไปเกี่ยวข้อง

แต่ตำรวจรูดซิปปากสนิท ไม่ยอมแฉในรายละเอียด เข้าใจว่าจะถูก”การเมือง”เบื้องบนบีบคั้นอยู่

เลยทำให้ดูว่า เป็นคดีฆาตกรรมตามปกติธรรมดา

แม้จะค้นพบว่า ที่อพาร์ทเมนต์ผู้ต้องสงสัย (ซึ่งเคยถูกเกณฑ์เข้ากองกำลังป้องกันประเทศฝ่ายกองทัพเรือ) นอกจากมีร่องรอยการผลิตปืน”ญี่ปุ่นประดิษฐ์”แล้ว ก็ยังมีร่องรอยการผลิตระเบิดแสวงเครื่อง (ญี่ปุ่นมีกฎหมายที่ห้ามมีอาวุธปืนอย่างเข้มงวด) และไม่พบเบาะแส ที่บ่งชี้ว่าสมคบคิดกับคนอื่นๆ

แต่กระนั้น บรรดาสื่อมวลชนทั้งในญี่ปุ่นและต่างชาติ ก็พยายามเจาะลึกหาข้อเท็จจริง จนได้เค้าว่า ลัทธิศาสนาที่ว่านั้น น่าจะได้แก่”โบสถ์แห่งความสามัคคี” (Unification Church) ซึ่งสาธุคุณ”ซัน เมียง มูน”สถาปนาขึ้นมาเองเมื่อปี ๒๔๙๗

ได้ยินชื่อสาธุคุณนี้แล้ว ท่านผู้อ่านคงจะนึกออกเลยใช่ไหมครับว่า เคยเป็นเจ้าภาพใหญ่จัดการแต่งงานหมู่หรูหราตามประเทศต่างๆ จนโด่งดังไปทั่วโลก มาหลายหน ตามความเชื่อและคำสอนของลัทธิที่ว่า “คู่บ่าวสาว คือผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงปลดพ้นจากบาปแล้วมาเจอกัน”

“ซัน เมียง มูน”ผู้นี้ เคยอ้างว่าได้รับแรงบรรดาลใจจากพระเยซูคริสต์เจ้า ขณะที่เขาเองอายุได้ ๑๕ ปี แต่โบสถ์โปรเตสแตนต์เกาหลีไม่ยอมรับ เขาจึงก่อตั้งลัทธิขึ้นมาเอง จนกระทั่งมีสาวกทั้งในเกาหลีและต่างประเทศนับล้าน สาวกเหล่านี้ ล้วนเป็นแหล่งที่มาของการบริจาคเงินเข้าโบสถ์

ตอนที่เขาเสียชีวิตเมื่อปี ๒๕๕๕ ขณะที่อายุได้ ๙๒ ปีนั้น สื่อมวลชนเปิดเผยว่า โบสถ์ของเขาเป็นเจ้าของธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งแต่บริษัทผลิตรถยนตร์ไปจนถึงร้านซูชินั่นเลยเทียว

แต่กลับไม่มีตัวเลขชัดๆ ว่าโบสถ์ร่ำรวยขนาดไหน

“โบสถ์แห่งความสามัคคี”ที่ว่านี้ แม้ยึดถือคำภีร์ไบเบิล แต่ก็ตีความต่างออกไป

ถึงกับหาญกล้าระบุว่า”มูน”คือ “เมสสิอาห์”หรือ”พระศรีอาริย์”ที่จริงแท้และสุดท้าย ที่บังเกิดมาเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้นจากภาวะวิบัติ

แต่ก็ถูกวิจารณ์อย่างเสียหายว่า เป็นเพียงลัทธิล้างสมองเท่านั้น โดยมีข้อเท็จจริงอยู่ว่า โบสถ์นี้นอกจากถูกดำเนินคดีฐานเรี่ยไรหาทุนแล้ว ก็ยังถูกบรรดาผู้ปกครองดำเนินคดีฐาน”ล้างสมอง”เด็กๆ ด้วย”

มีรายงานว่า โบสถ์นี้สามารถสร้างศรัทธาในหมู่สาวกได้ชะงัดนัก เก่งกาจมากในการถ่ายกระเป๋าจากทุกคนโดยเฉพาะคนรวย เข้ากระเป๋าของโบสถ์ ซึ่งจะได้รับการตอบแทนด้วยสวรรค์

ดังนั้น จึงไม่แปลกที่โบสถ์จะร่ำรวยและสามารถนำความั่งคั่งนี้ไปลงทุนในกิจการต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง

อีกอย่างก็คือ มักจะติดต่อสัมพันธ์กับพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในรประเทศต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่นักการเมืองญี่ปุ่นหลายคนจะสนิทชิดเชื้อด้วย รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี “โนะบูสุเกะ คิชิ ”(ผู้เป็นตาของอดีตนายกรัฐมนตรี”ชินโซะ อาเบะ”)

จะพบว่าโดยทั่วไปแล้ว”โบสถ์แห่งความสามัคคี”แทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากลัทธิ”ธรรมกาย”ในบ้านเราเลย ทั้งในแง่การหาเงินและคบหาสมาคมกับนักการเมือง

โดยเฉพาะในเรื่อง”สูบ-รีด”ที่”ธรรมกาย”ถนัด จนกระทั่ง”ลูกศิษย์”ที่เคยรวย(บางคน)ทุกวันนี้ ยังต้องไปพึ่งพาข้าววัดในการ”เลี้ยงชีพอยู่เลย” ทั้งนี้ ด้วยความอิ่มใจ เนื่องด้วยอยากได้สวรรค์ ในภพภูมิถัดไป ใคร(นักบวช)ที่เพิ่งสำนึกรู้ว่าเผลอ ลงลึกเกินไป จะถอนตัว ก็ไม่ทันเสียแล้ว

รายงานข่าวระบุว่า”เทตสึยะ ยะมะงะมิ”เกิดความรู้สึกคับแค้นอย่างลึกซึ้งกับลัทธินี้ เพราะปล้นเอาทรัพย์สินเงินทองไปจากครอบครัวที่บิดาของเขาสร้างไว้ จนหมดเกลี้ยง ทำให้ตัวเขาต้องทนทุกข์ยากมาตลอดชีวิต เพราะมารดาในฐานะสาวก ประเคนทรัพย์สินเงินทองให้โบสถ์หมด ไม่สนใจเลี้ยงดูเขาอย่างครอบครัวทั่วไป เขาจบการศึกษาแค่ระดับเตรียมอุดมเท่านั้น

ตัวเขาต้องทำงานเลี้ยงชีพในโรงงาน(ที่ไม่ระบุชื่อ) แต่แล้วในที่สุด เมื่อป่วยบ่อยเข้า ก็ต้องออก กลายเป็นคนตกงาน จึงบ่มเพาะความแค้นมา จนกระทั่งเกิดเรื่อง

หนังสือพิมพ์ “เจแปน ไทมส์”รายงานว่า “เทตสึยะ ยะมะงะมิ”ไม่มีพฤติกรรมใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าสนใจการเมืองเป็นการพิเศษ เมื่อจบการศึกษาระดับเตรียมอุดม ก็ไม่ได้เขียนระบุในรายงานประจำปีว่า เขาต้องการให้อนาคตต่อไปเป็นอย่างไร

ปรากฏว่าสาขา”โบสถ์แห่งความสามัคคี”ในญี่ปุ่น ทันทีที่รู้ว่าสื่อมวลชนพาดพิงถึง ก็ร้อนตัว รีบออกมาแถลงชี้แจงเท่าที่จะทำได้ โดยยอมรับว่า มารดาของมือสังหาร”เทตสึยะ ยะมะงะมิ”เป็นสาวกของลัทธินี้จริง แต่ห่างเหินไปมากเพิ่งกลับไปมาหาสู่อีกเมื่อปีที่แล้วเอง

พร้อมกับปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า บังคับเธอบริจาคเงินเป็นจำนวนมากให้โบสถ์

ทีนี้มาพูดถึงประเด็นที่ว่า “ชินโซะ อาเบะ”เข้าไปเกี่ยวข้องกับ”โบสถ์แห่งความสามัคคี”ได้อย่างไร

รายงานจากหนังสือพิมพ์”นิวยอร์ก ไทมส์”เปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้ว( ๒๕๖๔) “อาเบะ”และนักการเมืองจากหลายประเทศ รวมทั้งจากสหรัฐ ได้ไปปราศรัยต่อที่ชุมนุมซึ่งจัดขึ้นโดยสาขา”โบสถ์แห่งความสามัคคี”ในเกาหลีใต้ แต่”อาเบะ”ไม่ได้ไปจริง เพียงแต่ส่งคำปราศรัยผ่านวิดีโอ ยกย่องโบสถ์ว่า”มุ่งและเน้นคุณค่าแห่งครอบครัว”

สำหรับการชุมนุมที่กรุงโซลในปี ๒๕๖๕ (ไม่ระบุวันเดือนชัดเจน) เพื่อส่งเสริมสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีนั้น โบสถ์ได้เปิดเผยข้อเขียนของ”อาเบะ”ในที่ประชุม แสดงความหวังว่า การประชุม ”จะนำไปสู่แนวทางใหม่เพื่อการผ่อนปรนอย่างมีสันติระหว่างเกาหลีทั้งสองฝ่ายได้”

ปรากฏว่า พรรคคอมิวนิสต์ญี่ปุ่นและกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งสมาคมทนายความไม่พอใจการแสดงออกของ”อาเบะ”ต่อโบสถ์ ในปีที่แล้ว เพราะไม่ชอบ”โบสถ์แห่งความสามัคคี”โดยต่อต้านพฤติกรรมต่างๆของโบสถ์ในญี่ปุ่น มาเนิ่นนานนับสิบๆปี

นี่กระมัง ที่ทำให้”เทตสึยะ ยะมะงะมิ”เชื่อว่า “อาเบะ”มีส่วนเกี่ยวข้องกับ”โบสถ์แห่งความสามัคคี”ที่เขาจงเกลียดจงชัง

จึงเลือกเขา เป็นเป้าสังหารเพื่อแก้แค้น เพราะเข้าถึงตัวได้ง่าย

และคงจะได้เป็นข่าวดัง สมความตั้งใจ ที่ได้แก้แค้น ให้บรรลือโลกไปเลย ว่า”โบสถ์แห่งความสามัคคี”นั้น เลวร้ายเพียงไร กระทำกับสาวก(มารดาเขา)อย่างเลือดเย็นแค่ไหน

แม้กระทั่งตัวเขาเอง ก็ต้องตกเป็นเหยื่อตามไปด้วย โดยไร้อนาคต

ความรู้สึกของ”เทตสึยะ” เช่นนี้  สะท้อนสภาวะของจิตที่เบี่ยงเบนไปสู่อาการป่วยหนัก จนไม่สามารถระงับได้ ยกเว้นแต่ใช้การฆ่า มาเยียวยาเท่านั้น

“ชินโซะ อาเบะ”จึงต้องตกเป็นเหยื่อลอบสังหารโดยไม่รู้ตัว

สร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว ตามที่”เทตสึยะ”อยากเห็น

ปรากฎว่า ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาสูง(เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม) พรรคร่วมรัฐบาลนำโดยพรรคเสรีประชาธิปไตยมีชัย กุมเสียงข้างมากเอาไว้ได้ แต่หาข้อมูลไม่ได้ว่า ผู้ลงสมัครซึ่ง”อาเบะ”หาเสียงให้ ได้รับเลือกตั้งหรือเปล่า

 

 

 

 

 

 

 

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *