ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (22)
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (22)
ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์
วันซึ่งเราเรียกมนุษย์ทุกคนพร้อมกับผู้นำ (อิมาม) ของพวกเขา…ดังว่า “ท่านศาสดา มิได้เป็นอิมามของมวลประชาชาติดอกหรือ” “ใช่แล้ว! ฉันเป็นอิมามจนถึงวาระแห่งการมีชีวิตอยู่ของฉันบนโลกนี้ และภายหลังจากฉันฮิมามก็จะเป็นของอะลี บิน อบีฎอลิบ และตามมาด้วยกับผู้ที่ถูกเลือกสรรแล้ว ผู้ซึ่งเป็นบุตรหลานของเขา ผู้คนที่ยึดอยู่กับพวกเขาจะได้รับความปลอดภัยและจะได้รับการโถโทษ (ชะฟาอะฮ์) และบรรดาผู้หลงผิดและแยกตัวของพวกเขาเองออกจากพวกเขา จะประสบกับความหายนะ”
ภายหลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้ ‘พวกเขา’ สะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริงแล้ว ในฐานะอะฮ์ลุลบัตย์ (33:33) ต่อมาพรงค์จึงทรงวิวรณเพื่อเป็นการยืนอันถึงหนทางอันเที่ยงตระไนบทที่ 76 โองการที่ 3 ดังมีความว่า
แท้จริงเราได้ชี้นำแก่เขาซึ่งหนทาง (ชะบีล) ที่เที่ยงแท้ จึงให้เขาตามมัน จะด้วยความขอบคุณหรือจะปฏิเสรมันด้วยความอกตัญญู
สรุปก็คือ ในการศึกสงครามที่มนุษย์กำลังต่อกรกับพญามารอยู่ในขณะนี้ เขาไม่สามารถจะต่อสู้กับมันอยู่อย่างโดตเดียวเดียวย หรือถึงแม้จะรวมกลุ่มกันป็นชุมชนป็นประเทศชาติโดยขาดแม่ทัพหรือ ‘อิมาม’ ที่แจ้งชัด (อิมามิมเบ็นา 36:12) ได้เลย หาไม่แล้ว ! เขาก็จะสบกับความระส่ำระสายพ่ายแพ้อย่างยับเยินและย่อมได้รับนรกเป็นเครื่องตอบแทน
ดังนั้นหนทางแห่งชัยชนะจึงมีอยู่เพียงหนทางเดียวเท่านั้น และย่อมไม่มีหลายแนวทางโดยเด็ดขาด นั้นก็คือการนำตัวของเราเองเข้าไปสู่กลุ่มของบรรดาผู้ศรัทธาและประพฤติแต่ความดีที่มาจาก พวกเขา’ ผู้ซึ่งเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง (ยุเตาะฮิเราะกุมตัตฮีรอ) ผู้ซึ่งเป็นผู้อยู่ร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับท่านศาสดาของอัลลอฮ์ และกลุ่มชนนี้เพียงกลุ่มชนเดียวเท่านั้นที่สามารถพิชิตพญามารให้อยู่หมัดได้ ถึงแม้ตัวของพญามารเองก็ได้ยอมรัสารภาพแต่โดยดีมาแล้ว ก่อนที่มันจะลงมาอาละวาดฟาดงวงฟาดงาบนพื้นพิภพนี้ กลุ่มชนที่มันยอมแพ้ศิโรราบฤทธิ์หมดเดชต่อหน้าพวกเขาก็คือ “ยกเว้น ‘บ่าวของพระองค์บางกลุ่ม” จาก ‘พวกเขา’ ซึ่งเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว” (อัล กุรอาน 15:40) ซึ่งบรรดา พวกเขา’ ดัง ที่กล่าวไว้ ณ โองการข้างต้น ย่อมจะเป็นผู้ได้ไม่ได้นอกจากจะมาจาก ‘บรรดานามชื่อ’และ’ด้วยถ้อยคำ’ที่พระองค์ทรงสอนให้กับอาดัมในวันที่พระองค์ทรงเป่าวิญญาณของพระองค์เข้าไปในร่างของเขาณ ธลัมยะบารูต
ซึ่งสัจธรรมความจริงนี้ ได้ถูกยืนยันไว้แล้วโดยตัวของท่านศาสดาเอง ดังวจนะของท่านที่มีความว่า
“เจ้าปีศาจร้ายชัยตอนที่อยู่ในตัวของฉัน ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นการศรัทธาด้วยกับมือของฉัน”
อิมามท่านแรกที่ดำรงตำแหน่ง ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตั้งจากอัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ ได้เริ่มรณรงค์การศึกสงครามกับพญามารในทันทีส่วนพญามารก็ไม่รอช้ามันรีบระดมทหารม้าและทหารราบซึ่งเป็นพวกมุนาฟิกีน(กลับกลอก) พวกมชรีกัน(ตั้งภาคี) พวกฎอลิมึน(อรรม) (ขอพระองค์ทรงสาปแข่งพวกเขาด้วยเถิด) เข้าประจำการอย่างเต็มอัตราศึก จัดทัพเพื่อทำสงครามเขย่าบัลลังก์แห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน เพื่อทำให้ประชาติของท่านศาสดาแตกแยกออกเป็นพวกต่างๆ อย่างมากมาย ซึ่งในรายละเอียดของเรื่องนี้จะได้กล่าวถึงในบทต่อไป ‘อินชาอัลอฮ์(หากพระเจ้าทรงประสงค์)
อิมามอะลี ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งของท่านศาสดามฮัมมัด ได้ระดมสรรพกำลังบรรดาสาวก ผู้ชื่อสัตย์ต่อท่านศาสดาไว้ได้จำนวนหนึ่งถึงแม้จะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่ท่านอิมามอะลีและบรรดาผู้ศรัศรัทธาและประพฤติแต่ความดีเหล่านี้ ก็ได้ยืนหยัดรักษาแนวทางของท่านศาสดาไว้อย่างซื่อสัตย์สุจริตยิ่ง ถึงแม้จะถูกบีบคั้น กดขี่ อยุติธรรม หักหลังและถึงกับเนรเทศและสังหาพวกเขาก็ยอมพลี บรรดาสหายผู้ชื่อสัตย์ของอิมามอะลีเหล่านี้คือผู้ได้รับสมญานามว่า ‘ชีอะฮ์อะสี’ และเป็นบุคคลเพียงกลุ่มเดียวของท่านศาสดาที่ได้รับความปลอดภัย นอกนั้นต้องประสบกับความพ่ายแพ้ต่อพญามารจนหมดสิ้น
คำสอนของอิมามอะลึ ในฐานะประตูแห่งวิชาการของท่านศาสดาจึงกลายเป็นตำราพิชัยณรงค์สงคราม เพื่อใช้เป็นแม่บทในการวางแผนการทำศึกขั้นเบ็ดเสร็จกับกองทัพอันอหังการและชั่วร้ายของพญามาร ตำราอันทรงคุณค่ายิ่งนี้ก็คือ นะฮ์ญสบะลาเฆาะฮ์” อันมีชื่อเสียงเดียงคู่กับอัล กุรอาน เพียงแต่ว่าเล่มหนึ่งเป็นพจนารองอัลลลอฮ์ และอีกเล่มหนึ่งเป็นวจนะของผู้เป็นวลียุลอล์(ผู้ใกล้ชิดอัลลอล์) ผู้เป็นนร(รัศมี(เดียวกับท่านศาสดามธัมมัด ผู้เป็น บะระชะคุนกะมีร หรือนุรของท่านอะลีซึ่งเคยสถิดอยู่ ณ อลัมมะลาภูค ซึ่ง อยู่ใน อลัมลาฮูต อันเป็นที่สถิตของ นูรลลอฮ์ซึ่งเป็นทีมาของ อรัช และ กุรซี (บัลลังก์แห่งอำนาจ) ของพระองค์
สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและประพฤติแต่ความดีที่เป็นชาวไทยนั้นสามารถศึกษาตำราดังกล่าวนี้ได้จาก ‘สุนโทรวาทของอิมามอะลี ‘ เพื่อใช้เป็นคู่มือในการทำศึกกับมารร้ายชัยตอนศัตรูที่ร้ายกาจของมนุษย์ต่อไป”โลกนี้ประดุจดังอสรพิษ สัมผัสของมันนิ่มนวล แต่การกัดของมันถึงตาย” (สุนโทรวาทของอิมามอะลี )
สรุปก็คือ ในทุกคราที่อำนาจ วิลายะฮ์ (การใช้อำนาจการปกครองของคอลีฟะฮ์ของอัลลอธ์บนหน้าแผ่นดิน) ที่ถูกนำมาไร้ปฏิบัฏิบัติบนหน้าแผ่นดินจากผู้สูงศักดิ์สามกลุ่มที่อยู่ฝ่ายธรรม อำนาจหรือกองทัพของพญามารจึงถูกบำราบจนอ่อนกำลังลง แต่ทันทีที่บรรคาผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวคัมภีร์ซึ่งหมายรวมถึงบรรดามุสลิมด้วย เริ่มปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจวิลายะ์ของบรรดาผู้สืบทอดฯดังกล่าว และหันไปจัดตั้งอำนาจการปกครองของของตนขึ้นมาเอง เมื่อนั้นอำนาจบารมีของพญามารก็จะกลับทวีขึ้นมาอีก และ