jos55 instaslot88 Pusat Togel Online Shindler's List เรื่องราวชีวิตจริงของโฮโลคอสท์ - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

Shindler’s List เรื่องราวชีวิตจริงของโฮโลคอสท์

Shindler’s List เรื่องราวชีวิตจริงของโฮโลคอสท์

Schindler’s List เป็นภาพยนตร์สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยสร้าง ณ เวลาที่มันได้ถูกถ่ายทำ บุคคลจำนวนมากทั่วโลกไมได้มีความรู้เกี่ยวกับโฮโลคอสท์ หรือสงสัยมันได้เกิดขึ้นหรือไม่ ในขณะที่ภาพยนตร์สารคดีเช่นโชอาห์ ได้ครอบคลุมความโหดร้ายที่ได้เกิดขึ้น ภาพยนตร์กระเเสหลักไม่ได้กล่าวอย่างเเท้จริงถึวความน่ากล่าวของสงครามโลกครั้งที่สอง สตีเวนสปิลเบิรก ได้รู้สึกความต้องการที่จะเล่าเรื่องราวโฮโลคอสท์ตามความจริง Chindler’s List จะเป็นภาพยนตร์ดัดเเปลงจากหนังสือเกี่ยวกับออสการ์ ชินด์เลอร์ นักอุตสาหกรรมชาวเยอรมัน เขาได้ช่วยชีวิตชาวยิวจำนวนมากระหว่างโฮโลคอสท์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ชนะรางวัลออสการ์เจ็ดตัว รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่สุด
ฟอร์ด มอเตอร์ ผู้ก่อตั้ง เฮนรี ฟอร์ด เป็นผู้ต่อต้านยิวที่มีชื่อเสียง สปอนเซอร์การออกอากาศ Shindler’s List บนเอ็นบีซีไร้โฆษณาอย่างไม่เคยมีมาก่อนขัดจังหวะ บุคคลหกสิบห้าล้านคนได้ชมภาพยนตร์ระหว่างการออกอากาศ 1997 ทำให้บุคคล 25 ล้านคนเล็กลงทันที่ที่ชมการเปิดตัวอเมริกันภายในโรงภาพยนตร์สี่ปีก่อนหน้านี้ มากกว่าหนึ่งในสามของครัวเรือนได้ดูโทรทัศน์ภายในอเมริกาคืนวันอาทิตย์นั้นได้ไปที่ Schindler’s List ผมได้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อรุ่นนี้และอนาคต สตีเวน สปิลเบิรกได้กล่าวต่อผู้ชมโทรทัศน์ที่ชมการออกอากาศเครือข่ายทีวีของ Scindler’s Listดังนั้นพวกเขาจะรู้และไม่ลืมว่าชาวยิวหกล้านคนถูกฆ่าภายในโฮโลคอสท์และประวัติศาสตร์นั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่กระนั้นมันสามารถถูกลืมได้ง่ายเหมือนมันเป็นในกรณีของสปอนเซอร์การออกอากาศของฟอร์ดมอเตอร์ ที่ได้ถูกยกย่องภายในหนังสือพิมพ์ต่อวิถีทางที่มีชื่อเสียงไม่เห็นแก่ตัวต่อสปอนเซอร์การออกอากาศไม่โฆษณาเฮนรี ฟอร์ด อเมริกันไอคอนที่รู้จักกันดีต่อการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์ ได้ใช้อำนาจและอิทธิพลยิ่งใหญ่ของเขายกเลิกสหภาพ ควบคุมคนงานอพยพ และใส่ร้ายชาวยิว เขาได้สนับสนุนต่อต้านชาวยิว มุมมองต่อต้านยิวของเขาเสียงสะท้อนความกลัวและสมมุติฐานของชาวอเมริกันจำนวนมาก การต่อต้านยิวภายในอเมริกาได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงต่อการแสดงออกและความรุนเเรง เมื่อการอพยพเพิ่มขึ้นจากยุโรปได้นำชาวยิวหลายล้านคนมาสู่อเมริกาเพื่อนใกล้ชิดคนหนึ่งของเฮนรี ฟอร์ดจำได้ถีงการเดินทางตั้งเเคมป์เมื่อ ค.ศ 1919. ฟอร์ดได้บรรยายแก่กลุ่มรอบแคมป์กองไฟ เขาได้กล่าวถึงความชั่วร้ายทุกอย่างแก่ชาวยิว หรือนายทุนชาวยิว ชาวยิวได้ทำให้เกิดสงคราม ชาวยิวทำได้ให้เกิดการขโมยทั่วประเทศ ชาวยิวทำให้กองทัพเรือขาดประสิทธิภาพเมื่อ ค.ศ 1918 เฮนรี ฟอร์ด ได้ซื้อหนังสือพิมพ์บ้านเกิดของเขา The Dearborn Independent ต่อมาเขาได้เริ่มต้นพิมพ์ลำดับของบทความรวมแล้ว 91 ตอน ยืนยันการสมรู้ร่วมคิดของยิวอย่างกว้างขวางติดเชื้ออเมริกา ฟอร์ดได้เข้าปกบทความเป็นสี่เล่มชื่อ The International Jew และได้กระจายครึ่งล้านฉบับไปยังเคริอข่ายที่กว้างขวางของเขา
ตามประวัติ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และเฮนรี่ ฟอร์ด เป็นเพื่อนและพันธมิตรที่ใกล้ชิดกัน ฮิตเลอร์ได้เเขวนรูปของฟอร์ดบนกำแพงข้างหลังโต๊ะของเขา และเเต่ละปีของวันเกิดของฮิตเลอร์ เฮนรี่ ฟอร์ด ได้ส่งเงิน 50000 ไรช์มาร์ค เฮนรี ฟอร์ดไม่ยอมสร้างเครื่องยนต์เครื่องบินแก่อังกฤษแต่เขาได้สร้างวัตถุดิบเพื่อรถบรรทุกทหารห้าตันเป็นกระดูกสันหลังของการขนส่งกองทัพเยอรมัน ภายในท่ามกลางของการขาดยางรถยนต์ยามสงคราม 30% ของอุปทานยางรถยนตร์ของฟอร์ดส่งไปที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โรงงานรถยนต์ของฟอร์ดอยู่ใกล้ปารีสได้สร้างรถบรรทุกและรถยนต์เพื่อกองทัพเยอรมันเฮนรี ฟอร์ด เป็นผู้ต่อต้านชาวยิวอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความชื่นชมฟอร์ดของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ชาวอเมริกันคนเดียวเท่านั้นกล่าวถึงภายใน”Mein Kampf” และฟอร์ดได้แกรนด์ ครอส ของเยอรมัน เหรียญที่ให้แก่ ชาวต่างชาติที่เห็นอกเห็นใจลัทธินาซี แม้ว่าผู้บริหารฟอร์ดทำให้ดูสำคัญน้อยลงของประวัติศาสตร์ของนักอุตสาหกรรม เขาได้กล่าวว่าทีมรู้สึกมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำนำเสนอเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของ Shindler’s List ของความกล้าหาญของชายคนหนึ่ง ไม่ได้มองเจตนาการเลือกภาพยนตร์อย่างไร ข้อเท็จจริงว่าบริษัทก่อตั้งโดยผู้ต่อต้านยิวสปอนเซอร์ภาพยนตร์เกี่ยวกับโฮโลคอสท์เป็นบางสิ่งบางอย่างของจุดพลิกผัน ที่ได้เป็นไปตาม Schindler’s List Shindler’s List เปิดตัวครังแรกเมื่อ ค.ศ 1993 และยังคงเป็นภาพยนตร์โฮโลคอสท์ที่ได้รับรู้สูงที่สุดเรื่องหนึ่งเกือบสามสิบปีต่อมาอยู่บนพื้นฐาน Schindler’s Ark เขียนโดยโทมัส เคเนียลลี นักเขียนชาวออสเตรเลีย การซื้อกระเป๋าถือภายในบีเวอร์ลี ฮิลล์ นำไปสู่ Schindler’s List อย่างไรโทมัส เคเนียลลีอาจจะไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ ถ้ากระเป๋าถือของเขาไม่ได้ชำรุดภายในลอสแนเจลิส เเละเขาไม่ได้พบตัวเขาเองได้มุ่งหน้าไปที่ร้านกระเป๋าที่จะซื้อกระเป๋าถือใบใหม่ ที่นี่เขาได้พบเจ้าของร้านลีโอโพลด์เพจ ผู้อพนพชาวโปแลนด์ที่ได้ถูกช่วยชีวิตพร้อมกับชาวยิวคนอื่นเกือบ 1300 คนโดยออสการ์ ซินด์เล่อร์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองภายในคราโคว์ โปแลนด์ เขาได้บอกเคเนียลลี ผมรู้เรื่องราวที่อัศจรรย์ มันไม่ได้เป็นเรื่องราวต่อชาวยิว แต่ต่อบุคคลทุกคน เรื่องราวของมนุษย์ธรรม มันจะเป็นเรื่องราวเพื่อคุณ โทมัส มันเป็นเรื่องราวเพื่อคุณ ผมสาบานได้ และด้วยการชักจูงอย่างไม่ย่อท้อ ในที่สุดโทมัส เคเนียลลีได้ตกลงเขียนหนังสือโทมัส เคเนียลลี ได้เขียนหนังสือที่มีชื่อเสียงเล่มนี้ ภายหลังที่เขาได้ไปร้านขายกระเป๋า ณ บีเวอรี ฮิลล์ เเคลิฟอร์เนีย และมีโอกาสได้เผชิญกับเลียวโพลด์ เพจ ผู้รอดชีวิตโฮโลคอสท์ชาวโปแลนด์ ลีโอโพลด์ เพจ เป็นเจ้าของร้านกระเป๋า เขาได้ใช้เวลาหลายปีพยายามชักจูงบุคคลให้สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชายที่ได้ช่วยชีวิตเขาและภรรยาของเขาจากพวกนาซี
ลีโอโพลด์ เพจ หมายเลข 73 บน “Schindler’s List” ได้รณรงค์อย่างไม่ย่อท้อยกย่องออสการ์ ชินด์เลอร์ที่ได้ช่วยชีวิตของเขาและชีวิตชาวยิวคนอื่น 1300 คนระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ในที่สุดได้นำไปสู่หนังสือและภาพยนตร์ เขาได้เสียชีวิตเมื่ออายุ 87 ปีภายในลอสแอนเจลิส Schindler’s List ได้ถูกพิจารณาเป็นสัญลักษณ์ภายในประวัติศาสตร์ของการเล่าเรื่องโฮโลคอสท์ เพราะว่ามันได้บันดาลใจผู้รอดชีวิตเล่าเรื่องมากขึ้น และโลกได้รับฟังมากขึ้น จนกระทั่ง ค.ศ 1990 มันยากที่เราจะได้พบตำราที่ดีเกี่ยวกับ โฮโลคอสท์ เมื่อภาพยนตร์ของสตีเวน สปิลเบิรกได้ออกมาปีเดียวกัน เรามีการระเบิดภายในความสนใจของโฮโลคอสท์ ปรากฏการณ์นั้นได้ขยายไปสู่บุคคลจริงที่มีชีวิตอยู่ ผ่านเรื่องราวชีวิตจริงที่สปิลเบิรกได้เล่า บุคคลมากขึ้นต้องการเรียนรู้ มันดูเหมือนกับกำเเพงเเห่งความเงียบได้พังทลายลง แต่ถ้าคุณค่าของภาพยนตร์เพื่อการศึกษาแล้ว บทเรียนที่มันได้สอนถูกต้องแค่ไหน ต่อมาภาพยนตร์ได้ถูกมองเป็นการบรรยายที่เป็นจริงของชีวิตระหว่างโฮโลคอสท์ ในเเง่ของความโหดร้ายของนาซีพายุของความรุนเเรงต่อต้านยิวหย่อนลงมาโดยนาซี เยอรมันภายใต้ความเป็นผู้นำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จาก ค.ศ 1933 ถึง 1945 พวกเขาได้มองชาวยิวไม่เพียงแต่สมาชิกของเชื้อชาติต่ำกว่ามนุษย์เท่านั้น แต่เป็นมะเร็งอันตรายที่จะทำลายชาวเยอรมันด้วย แสวงหาข้อแก้ปัญหาสุดท้ายต่อปัญหาชาวยิว ฆ่าชาวยิวทุกคน ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก และการทำลายพวกเขาจากเชื้อชาติมนุษย์ภายในอุดมการณ์ของนาซีรับรู้ความเป็นยิวเป็นชีววิทยา การกำจัดยิวสำคัญต่อการทำให้บริสุทธ์ และแม้แต่การช่วยชีวิตของชาวเยอรมันภายในเยอรมันการต่อต้านยิวกลายเป็นนโยบายรัฐบาลที่เป็นทางการ พวกเขา ต้องการขับไล่ยิวจากเยอรมัน ระหว่าง ค.ศ 1933 ถึง ค.ศ1933 นาซีทำให้ชีวิตภายในเยอรมันเป็นไปไม่ได้เพิ่มขึ้นต่อขาวยิว ชาวยิวได้ตกเป็นเหยื่อต่อการเลือกปฏิบัติ การแยกออกไป การขะโมย และความรุนแรง ณ จุดนั้น เป้าหมายของนาซีคือไล่ยิวออกไปจากเยอรมันด้วยการยอมให้พวกเขาอพยพ เพื่อการกระตุ้นให้พวกเขาทำดังนี้ นาซีได้เอาการดำรงชีวิตของพวกเขาออกไป ชาวยิวไม่ถูกยอมให้ทำงานภายในอาชีพบางอย่างต่อไปพวกเขาไม่ถูกยอมให้อยู่ภายในร้านเหล้า หรือสวนสาธารณะบางเเห่งเมื่อ ค.ศ 1935 กฏหมายเชื้อชาตินูเรมเบิรกได้ออกมาบังคับ ชาวยิวได้ถูกห้ามแต่งงานกับไม่ใช่ชาวยิวชาวยิวได้สูญเสียความเป็นพลเมืองของพวกเขาด้วย ทำให้พวกเขากลายเป็นพลเมืองขั้นสองอย่างเป็นทางการ ด้วยสิทธิน้อยกว่าไม่ใช่ชาวยิวเมื่อ ค.ศ 1938 นาซีได้สร้างการทำลายทั่วทั้งเยอรมัน : คริสทัลลนัชท์คืนกระจกแตก ระหว่างคริสทัลล์นัชท์ รัฐบาลนาซีได้สั่งตำรวจจับกุมชาวยิวเยอรมันประมาณ 30000 คน พวกเขาไม่ได้ทำอาชญกรรมอย่างใดเลย ตำรวจจับพวกเขาเพียงแค่เป็นชาวยิว ผู้นำนาซี ได้ปล่อยลำดับของการสังหารหมู่ชาวยิวอย่างโหดร้ายภายในเยอรมันเหตุการณ์นี้ได้ถูกเรียกกันว่าคริสทัลล์นัชท์
คริสทัลล์นัชท์ ตามตัวอักษร คืนแห่งกระจก มักจะถูกอ้างเป็น คืนแห่งกระจกแตก เนื่องจากกระจกที่ได้แตกกระจายบนถนน ภายหลังการทำลายทรัพย์สิน การทำลายธุรกิจ สุเหร่า และบ้านของชาวยิว ชื่อได้อ้างถึงคลื่นของการสังหารหมู่ต่อต้านชาวยิว คลื่นของความรุนแรงนี้ได้เกิดขึ้นทั่วทั้งเยอรมันเอสเอและเยาวชนอิตเลอร์ได้ทุบกระจกของร้านและธุรกิจของชาวยิวประมาณ 7,500 แห่ง บ้านเรือนของชาวยิวทั้งหมดได้ถูกรื้อค้นและปล้นทั่วทั้งเยอรมัน

โฮโลคอสท์ เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิวยุโรประหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างเวลาสงครามโลกครั้งที่สอง นาซีได้ฆ่าชาวยิวยุโรปประมาณหกล้านคน ถ้อยคำ โฮโลคอสท์ มาจากกรีกโบราณและหมายถีง การเผาไหม้บูชายันต์ เเม้แต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง บางครั้งถ้อยคำได้ถูกใช้อธิบายการเสียชีวิตของกลุ่มบุคคลจำนวนมากเเต่นับตั้งแต่ ค.ศ 1945 มันได้กลายเป็นอย่างเดียวกับการฆ่าชาวยิวยุโรประหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวได้อ้างถึงมันด้วยถ้อยคำโชอาห์ด้วย เป็นภาษาฮิบรู หมายถึงภัยพิบัติ ประยุกต์ใช้อย่างเข้มงวดต่อชาวยิวยุโรปที่ถูกฆ่าโดยนาซีความโหดร้ายของโฮโลคอสท์มักจะถูกแสดงเป็นตัวเลขถ่ายทอดจำนวนของความพยายามของนาซีทำลายล้างชาวยิวของยุโรปเมื่อ ค.ศ 1933 ชาวยิวประมาณเก้าล้านคนมีชีวิตอยู่ภายในทุกประเทศยุโรป บางประเทศรับประกันความเสมอภาคของยิวภายใต้กฏหมาย แต่ประเทศอื่นโดยเฉพาะภายในยุโรปตะวันออกได้เเยกชีวิตชาวยิวเเยกออกมาอย่างเข้มงวดยุคของโฮโลคอสท์เริ่มต้นภายในค.ศ 1933 เมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคนาซี มาสู่อำนาจภายในเยอรมัน มันได้จบลงภายใน ค.ศ 1945 เมื่อฝ่ายพันธมิตรชนะนาซี เยอรมันภายในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อพวกเขามาสู่อำนาจภายในเยอรมัน นาซีไม่ได้เริ่มต้นทันทีดำเนินการการฆ่าหมู่ชาวยิว แต่กระนั้นพวกเขาได้เริ่มต้นอย่างรวดเร็วใช้รัฐบาลมุ่งเป้าหมายและเเยกชาวยิวออกไปจากสังคมเยอรมัน ท่ามกลางวิธีการต่อต้านยิวอื่น รัฐบาลนาซี เยอรมัน ได้ออกกฏมายเลือกปฏิบัติ และรวบรวมความรุนเเรงมุ่งเป้าหมายที่ชายยิวของเยอรมัน การสังหารชาวยิวได้กลายเป็นความรุนเเรงมากขึ้นระหว่าง ค.ศ 1933 และ ค.ศ 1945 การทำให้รุนเเรงขึ้นได้สะสมภายในแผนที่ผู้นำนาซีอ้างถึงเป็น “Final Solution to the Jewish Question”

การบุกโปแลนด์ของเยอรมันเมื่อ ค.ศ 1939 ได้นำมาระยะใหม่ที่รุนแรงมากขึ้นภายในการสังหารยิว สงครามทำให้การอพยพเป็นไปไม่ได้ การยึดครองโปแลนด์หมายความว่าชาวยิวโปแลนด์ 1.7 ล้านคนอยู่ภายใต้การปกครองของเยอรมัน พวกเขาจะต้องอาศัยอยู่่ภายในสลัม บ้านของชาวยิวดูเหมือนเป็นคุกหลายครอบครัวมักจะต้องใช้บ้านหลังเดียวร่วมกันพวกเขาอดอยากและขาดการดูแลทางการเเพทย์ ชาวยิวจะไม่ถูกยอมให้ออกไปจากสลัมโดยไม่อนุญาติ และบางครั้งพวกเขาได้ถูกใช้เป็นแรงงานบังคับยิ่งกว่านั้นระหว่างเดือนเเรกของการยึดครองโปแลนด์ เยอร์มันได้สังหารชาวยิวและไม่ใช่ชาวยิวจำนวนมาก
เมื่อปลาย ค.ศ 1941 นาซีได้เริ่มต้นการตระเตรียมเพื่อการฆ่าชาวยิวมากกว่าสองล้านคน นาซีได้ทดลองกับการสังหารหมู่ และแนะนำการใช้แก้สสร้างโดยเครื่องยนต์ฆ่าชาวยิว วิธีการนี้รวดเร็วมากขึ้น และถูกพิจารณาต่อทหารเอสเอสรุนเเรงน้อยกว่าการยิงบุคคลปฏิบัติการไรน์ฮาร์ด เป็นชื่อรหัสของแผนลับเยอรมันภายในสงครามโลกครั้งที่สองที่จะสังหารชาวยิวภายในโปเเลนด์ที่เยอรมันได้ยึดครอง มันเป็นส่วนสุดท้ายของโฮโลคอสท์ การทำลายล้างชาวยิวอย่างสิ้นเชิงภายในโปเเลนด์ เพื่อการบรรลุเป้าหมายปฏิบัติการไรน์ฮาร์ด เยอรมันได้สร้างศูนย์กลางฆ่าชาวยิวสามแห่งเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำนี้ : เบลเซค โซบิบอร์ และเทรบลิงกา ตั้งอยู่ภายในโปแลนด์เยอรมันยึดครอง ไม่เหมือนค่ายกักกันที่รู้จักกันได้ถูกใช้เพื่อเเรงงานทาสและการทำลาย ค่ายเหล่านี้ดำรงอยู่เพื่อการฆ่ายิวเท่านั้นปฏิบัติการไรน์ฮาร์ดระยะร้ายแรงที่สุดของโฮโลคอสท์ได้ถูกแสดงโดยการแนะนำห้องแก้ส ปฏิบัติการดำเนินไประหว่าง ค.ศ 1942 และ ค.ศ 1943 ชาวยิวประมาณ 1.47 ล้านคนหรือมากกว่าถูกฆ่าภายในเพียงแค่100 วัน ปฏิบัติการไรน์ฮาร์ดได้ถูกริเริ่มเมื่อ ค.ศ 1941 และได้ถูกเรียกชื่อตามนายพลเอสเอส ไรน์ฮาร์ด เฮย์ริช เขาจะเป็นสถาปนิกที่สำคัญคนหนึ่งของ “Final Solution”อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และเฮอร์มานน์ เกอริง ได้มอบหมายส่วนบุคคลเเก่เขา ด้วยการร่างแผนเพื่อข้อแก้ปัญหาของปัญหาชาวยิว เขาได้ถูกฆ่าเมื่อต้น ค.ศ 1942 เมื่อ ค.ศ 1941 ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ ผู้บัญชาการตำรวจเยอรมัน
ได้ให้อำนาจหน้าที่แก่นายพลเอสเอส โอดิโอ โกลบอคนิคที่จะดำเนินการแผนการฆ่าอย่างมีระบบชาวยิวอาศัยอยู่ภายในรัฐบาลทั่วไป พื้นที่ของโปแลนด์ที่ถูกควบคุมโดยเยอรมันภายหลังการบุกเมื่อ ค.ศ 1939 ภายในพื้นที่ นาซีได้สร้างสลัม และค่ายกักขังหลายเเห่งโครงการนี้ได้รับชื่อรหัส ปฏิบัติการไรน์ฮาร์ด

ผลงานที่รู้จักกันดีที่สุดของโทมัส เคเนียลลี นักเขียนชาวออสเตรเลียคือShindler’s Ark 1982 นิยายเรื่องนี้ถูกเผยเเพร่เป็นภาพยนตร์ Shindler’s List 1993 โดยสตีเวน สปิลเบิรก Schindler’s List ได้ถูกพิจารณาเป็นภาพยนตร์คลาสสิค และย่อมจะมีคุณค่าต่อการชมอย่างแน่นอน ถ้าคุณสนใจภายในประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่สอง นิยายได้เล่าเรื่องราวจริงของออสการ์ ชินเลอร์ นักอุตสาหกรรมเยอรมันที่ได้ช่วยชีวิตชาวยิวมากกว่า 1000 จากความตายที่น่ากลัวจากนาซี ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองอย่างไร มันเป็นเรื่องราวจริงที่น่าประทับใจมากออสการ์ ชินด์เลอร์ เป็นนักอุตสาหกรรมชาวเยอรมันได้ตัดสินใจเริ่มต้นโรงงานด้วยคนงานยิวส่วนใหญ่ และได้ช่วยชีวิตพวกเขาจากการถูกส่งไปค่ายมรณะเหมือนเช่นเอาสชวิทซ์ เขาได้ช่วยชีวิตชาวยิวจากห้องแก้สมากกว่าใครก็ตามระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เดินทางมาถึงคราโคว์เมื่อ ค.ศ 1939. พร้อมที่จะสร้างโชคชะตาของเขาจากสงครามโลกครั้งที่สองที่เพิ่งจะเริ่มต้น ภายหลังการเข้าร่วมพรรคนาซีเพื่อความได้เปรียบทางการเมืองของเขา เมื่อ ค.ศ 1939 ชินด์เลอร์ได้ซื้อโรงงานบางโรงภายในโปแลนด์ยึดครองโดยเยอรมัน ด้วยการใช้ประโยชน์ของนโยบายของเยอรมันต่อธุรกิจชาวยิวทำให้กลายเป็นธุรกิจเยอรมัน เขาได้ดำเนินโรงงานเครื่องครัวภายในคราโคว์ ระหว่างเยอรมันยึดครองโปเเลนด้ ว่าจ้างคนงานจากสลัมชาวยิวที่อยู่ใกล้ ณ จุดสูงสุด พวกเขาได้ว่าจ้างคนงานประมาณ 1700 คน และ ประมาณ 900 คนเป็นชาวยิวเมื่อนายทหารเอสเอส อามอน เกิท เดินทางมาคราโคว์ควบคุมการสร้างค่ายกักกันพลาโซว์ เมื่อค่ายกักกันเสร็จเรียบร้อย เขาได้สั่งให้ชำระล้างสลัมคราโคว์ ชาวยิวสองพันคนได้ถูกขนส่งไปพลาสซอร์ และชาวยิวส่วนที่เหลืออยู่ได้ถูกฆ่าภายในถนนโดยเอสเอส ชินด์เลอร์มองเห็นการสังหารหมู่และได้ถูกกระทบอย่างลึกซึ้งมาก เขาได้สังเกตุเห็นโดยเฉพาะเด็กหญิงชุดสีแดงซ่อนตัวจากนาซี และต่อมาได่มองเห็นร่างกายของเธอบนกองศพเมื่อสลัมคราโคว์ได้ถูกยกเลิก เขาได้ชักจูงนายทหารนาซียอมให้ย้ายคนงานของเขาไปที่ค่ายแรงงานพลาสซอร์ การรักษาชีวิตพวกเขาถูกส่งไปที่เอาสชวิทซ์ แต่ชินดเลอร์ เสี่ยงภัยตัวเขาเอง ให้สินบนนายทหารนาซียอมให้เขารักษาคนงานของเขาไว้ เพื่อที่จะมั่นใจว่าคนงานได้ถูกว่าจ้างภายในโรงงานของเขาอยู่ต่อไป เขาได้ออกแบบโรงงานของเขาเป็นค่ายย่อยของคราโคว์-พลาสเซาว์ หมายความว่าคนงานสามารถนอนภายในโรงงานได้ ภายใน ค.ศ 1944 เมื่อเยอรมันเริ่มต้นแพ้สงคราม อามอน เกิก ได้สั่งให้ส่งชาวยิวที่เหลืออยู่ ณ พลาสเซาว์ไปค่ายกักกันเอาสชวิทซ์ ชินดเลอร์ได้ขออามอน เกิกเพื่อการอนุญาติย้ายคนงานของเขาไปสู่โรงงานอาวุธที่เขาได้วางแผนสร้างภายในบรินลิตซ์ เชคโกสลาเกีย อามอน เกิกเห็นด้วยอย่างลังเล แต่ได้เรียกสินบนก้อนใหญ่ ชินดเลอร์ และ สเติรนได้ตระเตรียมรายชื่อของบุคคลที่จะย้ายไปยังบรินลิตซ์แทนเอาสชวิทย์ ราอชื่อในที่สุดจะมี 1100 ชื่อเมื่อคนงานยิวได้ถูกขนส่งโดยรถไฟไปบรินลิตซ์ ผู้หญิงเเละเด็กหญิงได้เปลี่ยนเส้นทางอย่างเข้าใจผิดไปสู่เอาสวิทซ์ ดังนั้นชินดเลอร์ได้ติดสินบนรูดอล์ฟ เฮิส ผู้บัญชาการของ เอาสวิทซ์ เพื่อการปล่อยตัวของพวกเขา ณ โรงงานใหม่ ชินดเลอร์ ได้ห้ามยามเอสเอสจากการเข้ามาภายในพื้นที่การผลิตโดยไม่อนุญาติ และได้กระตุ้นให้ชาวยิวประกอบพิธีทางศาสนาของพวกเขา ตลอดเจ็ดเดือนต่อมา เขาได้ใช้ความร่ำรวยของเขาให้สินบนนายทหารนาซี ในฐานะของสมาชิกพรรคนาซีคนหนึ่งและผู้ทำกำไรเกินควรของสงคราม ชินดเลอร์ ต้องหลบหนีการเคลื่อนมาของกองทัพเเดงหลีกเลี่ยงการถูกจับยามเอสเอส ณ โรงงานได้ถูกสังให้ฆ่าคนงานยิว แต่ชินดเลอร์ได้พยายามชักจูงพวกเขาอย่าทำ เขาได้กล่าวคำอำลาแก่คนงานของเขา ตระเตรียมมุ่งหน้าไปทางตะวันตก คนงานยิวได้ให้คำแถลงลงนามเพื่อที่จะยืนยันต่อบทบาทของเขาภายในการช่วยชีวิตชาวยิวและนำเสนอเขาด้วยแหวนสลักคำพูด “ใครก็ตามช่วยชีวิตบุคคลหนึ่งคนเท่ากับได้ช่วยชีวิตบุคคลทั้งโลก” ชินดเลอร์ น้ำตาไหล รู้สึกว่าเขาควรจะทำได้มากกว่านี้ ยิวของชินด์เลอร์ได้ปลอบใจเขา เขาหยุดร้องให้และสบายใจขึ้นโดยคนงาน ภายหลังจากเขาและภรรยาจากไปแล้ว ชาวยิวได้ตื่นขึ้นวันรุ่งขึ้น ทหารรัสเซียได้เข้ามาประกาศว่าพวกเขาเป็นอิสรภาพแล้ว ชาวยิวได้ออกไปจากโรงงานและเดินทางไปที่เมืองใกล้เคียงเอสเอสได้เริ่มต้นปิดค่ายกักกันส่วนใหญ่ทางตะวันออก และส่งนักโทษที่เหลืออยู่ไปทางตะวันตก นักโทษหลายคนได้ถูกฆ่าภายในค่ายกักกันออสชวิทซ์ และกรอสส โรเซน ดังนั้นเมื่อคนงานของเขาเข้าไปสู่อันตรายมากขึ้น ชินเดอร์ได้ขออนุญาติย้ายโรงงานและคนงานของเขาไปที่เชคโกสโลวาเกีย และได้สร้างโรงงานภายในสถานที่ปลอดภัยภายในเชคโกสโลวาเกียที่เยอรมันได้ยึดครอง ตรงที่มันได้กลายเป็นค่ายย่อยของพลาสเซาว์ การรักษาชีวิตคนงานของเขาจากการเสียชีวิตภายในห้องแก้สของเอาส์ชวิทซ์ รายชื่อของชาวยิวที่ดึงไปทำงานภายในโรงงานกลายเป็นที่รู้จักกันเป็นรายชื่อของชินดเลอร์โรงงานเครื่องครัวของชินด์เลอร์ทีรู้จักกันดีที่สุดวันนี้คือ โรงงานอีนาเมลภายในคราโคว์ ก่อนที่ชินดเลอร์ซื้อโรงงานนี้ มันจะเป็นเจ้าของโดยชาวยิว ชินดเลอร์ได้ว่าจ้างเเรงงานยิวบังคับจากค่ายกักกัน ชินดเลอร์ได้ว่าจ้างชาวยิว เเละคุ้มครองพวกเขาจากความโหดร้ายประจำวันภายในค่ายกักกันเขาได้ใช้คนงานยิวภายในโรงงานของเขาเพื่อเหตุผลทางปฏิบัติ เมื่อเอสเอสได้เริ่มต้นทำลายล้างชาวยิวภายในสลัมคราโคว์ ชินดเลอร์ตระเตรียมที่จะป้องกันโรงงานของเขาภายในการผลิต และเขาได้รับรู้ภายในการทำสิ่งเหล่านี้ เขาได้ช่วยชีวิตชาวยิวที่บริสุทธิ์ด้วย ภายในโปเเลนด์ยึดครองโดยเยอรมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ชินด์เลอร์ ได้ค่อยกลายเป็นห่วงใยต่อคนงานยิวของเขา ภายหลังได้มองเห็นการสังหารพวกเขาโดยนาซีชินด์เลอร์เป็นนักธุรกิจชาวเยอรมันที่ทะนงตัวและละโมบ ได้กลายเป็นผู้มีมนุษยธรรมอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ท่ามกลางการปกครองของนาซีที่ทารุณ เมื่อเขารู้สึกถูกผลักดันให้เปลี่ยนแปลงโรงงานของเขาไปสู่ผู้อพยพชาวยิวชินด์เลอร์ได้เดินทางมาจากเชคโกสโลวาเกีย ด้วยความหวังการใช้คนงานยิวราคาถูกผลิตเครื่องครัวเพื่อกองทัพเยอรมัน เขาฟุ่มเฟือนและติดสินบนนายทหารเอสเอสเขาได้ซื้อโรงงานเพื่อการผลิตเครื่องใช้ส่วนตัวทำอาหารและเครื่องครัวสนามรบของกองทัพ ด้วยความไม่รู้มากเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจเช่นนี้ให้เหมาะสมอย่างไร เขาได้ติดต่ออิตชาค สเติรน นักบัญชีชาวยิวมาช่วยเขาดำเนินโรงงานชินด์เลอร์ได้เผชิญปัญหาหลายอย่างบนเส้นทาง และบุคคลที่หลากหลายพยายามหยุดเขา แต่ชินด์เลอร์สามารถชักจูงให้พวกเขาทุกคนได้คิดถึงความสำคัญของโรงงานมันเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษ ความเศร้าสลด ความรุนแรง และความหวัง ครอบครัวชาวยิวได้ถูกแยกจากกันโดยโฮโลคอสท์ และชินดเลอร์ อยู่ที่นี่ป้องกันชินด์เลอร์ยูเดิน ยิวของชินด์เลอร์ของเขาจนกระทั่งจนจบ Schindler’s List เป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจของบุคคลหนึ่งสามารถสร้างความแตกต่างต่อชีวิตจำนวนมากภายในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างไร มันเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ตัดสินใจต่อต้านกฏของนาซีและได้ทำอะไรที่เขาคิดว่ายุติธรรม นิยายเรื่องนี้ได้กลายเป็นตำราที่ยอมรับของวรรณกรรมของโฮโลคอสท์ ต่อมาได้ถูกใช้เป็นพื้นฐานของภาพยนตร์ Scindler’s List ของสตีเวน สปิลเบิรก ผู้รอดชีวิตของ Schindler’s List ชีวิตจริงเจ็ดสิบห้าคนได้ร่วมกันเรื่องราวของโฮโลคอสท์ส่วนบุคคลของพวกเขา การเผชิญหน้าของพวกเขากับชินด์เลอร์ ประสบการณ์ของพวกเขาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองและการรวมตัวกันใหม่ของพวกเขากับบุคคลที่ได้ช่วยชีวิตของพวกเขาฉากที่ดรามามากที่สุดภายในภาพยนตร์ Shindler’s List ไม่ได้เกิดขึ้นภายในรถบรรทุกสัตว์หรือห้องแก้ส แต่ภายในสำนักงาน เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดของนักบัญชีชาวยิว อิตชาค สเติรนกระทบกันภายในแบคกราวด์ของภาพยนตร์ รายชื่อของคนงานโชคดีที่ชินด์เลอรฺ ได้ช่วยชีวิตไว้ในที่สุดปรากฎบนกระดาษเปล่าที่เติมภายในฉาก ตอนสุดท้ายอิตชาค สเติรนฝ ได้ยกกองกระดาษซ้อนกัน และกล่าวว่า “รายชื่อคือชีวิต”
เมื่อ ค.ศ 1962 ชินด์เลอร์ได้ถูกประกาศเป็นคนต่างชาติที่ชอบธรรมโดยตัวเเทนทางการของอิสราเอล เพื่อการรำลึกถึงโฮโลคอสท์ ฉากสุดท้ายของ Schindler’List เป็นความรู้สึกที่สวยงาม ช่วงเวลาที่ผู้รอดชีวิตโฮโลคอสท์ตัวจริงไปเยี่ยมหลุมศพชินด์เลอร์เคียงข้างนักแสดงที่ได้แสดงเป็นพวกเขาภายในภาพยนตร์ ทหารรัสเซียคนหนึ่งเข้ามาภายในค่ายกักกัน และบอกชาวยิวว่าพวกเป็นอิสระเเล้ว และได้ชี้พวกเขาภายในทิศทางของเมืองที่อยู่ใกล้ ฉากชาวดำได้กลายเป็นบทส่งท้ายสี กลุ่มของผู้รอดชีวิตโฮโลออคอสท์เดินข้ามทุ่งนา เดินเรียงแถวผ่านหลุมศพของชินด์เลอร์วางก้อนหินบนหลุมศพ สัญลักษณ์ของความเคารพต่อความตายของประเพณียิว บุคคลสุดท้าย ณ หลุมศพคือเลียม นีสัน – ออสการ์ ชินด์เลอร์ วางดอกกุหลาบสองดอกด้วย การวางก้อนหินบนหลุมศพหรืออนุสรณ์เป็นประเพณีโบราณภายในความศรัทธาของยิว การเเสดงความเคารพต่อความตายชาวยิวได้วางก้อนหินบนหลุมฝังศพของชินด์เลอร์ มันเป็นสัญลักษณ์ของความเคารพของชาวยิวทิ้งก้อนหินบนหลุมฝังศพ ประเพณีที่เริ่มต้นภายในยุคโบราณเมื่อหลุมฝังศพเป็นเนินของก้อนหินที่บุคคลได้เพิ่มเมื่อบุคคลได้ไปเยี่ยม หมายความว่าหลุมฝังศพนั้นต่อความตายไม่เคยได้ถูกสร้างเสร็จแล้ว ก้อนหินแสดงความยั่งยืนของวิญญาน ตรงกันข้ามความไม่ยั่งยืนของชีวิต คุณไม่เห็นดอกไม้ ณ การฝังศพชาวยิว และคุณไม่เห็นดอกไม้วาง ณ หลุมฝังศพของชาวยิ บุคคลชีวิตจริงเหล่านี้ได้เตือนความจำว่าเบื้องหลัง Schindler’s List. เป็นเรื่องราวชีวิตจริงอย่างมากของโฮโลคอสท์

(หมายเหตุจากกองบก.)

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายที่ชาวยิวนั้นมีประสบการณ์ในการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากจากนาซีเยอรมัน จึงควรใช้ประสบการณ์ในเรื่องนี้ในการสร้างสันติภาพและความสงบสุข ไม่ใช่การมาเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์อย่างป่าเถื่อนโหดร้ายถึงที่สุด และเมื่อความจริงเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเรียกร้องความสงสารเห็นใจจากเหตุการณ์ในอดีตจึงใช้ไม่ได้ผลในปัจจุบัน

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *