jos55 instaslot88 Pusat Togel Online สาเหตุความเสื่อมใน 30 ปีแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

สาเหตุความเสื่อมใน 30 ปีแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน

สาเหตุความเสื่อมใน 30 ปีแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน

เหตุแห่งความเสื่อมของเศรษฐกิจจีนในช่วงแรกของการเป็นสาธารณรัฐ

หลังจากสถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ใน30 ปีแรก สภาพเศรษฐกิจของจีนไม่ค่อยดี มีคนอดอยากล้มตายเป็นจำนวนมาก มีอะไรบ้างที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศจีนต้องประสบความเสียหายทางเศรษฐกิจ ในช่วง 30 ปีแรกนี้?

สาเหตุความล้มเหลวของการพัฒนาเศรษฐกิจและ 30 ปีแรกหลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนคือ

ก. มีนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องกับสภาพทรัพยากรและความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของประเทศ

ข. ความคิดและการกระทำของผู้นำประเทศที่สร้างความเสียหาย

ค. ความโกลาหลวุ่นวายของเหตุการณ์การปฏิวัติวัฒนธรรม

ก นโยบายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ

ในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลอนุญาตให้นักธุรกิจเอกชนมีส่วนร่วมในการทำธุรกิจโดยบริหารร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน(公私合营) แต่ต่อมา รัฐบาลได้ยึดอำนาจการดำเนินธุรกิจ ยึดกิจการต่างๆ เป็นของรัฐ เป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทั้งหมด โดยมีผู้บริหารเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งไม่มีความรู้ความสามารถในการทำธุรกิจ ทำให้การบริหารธุรกิจภาคต่างๆไม่มีประสิทธิภาพ ต้องประสบกับการขาดทุนและรัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือ

ภาคการเกษตร

ในไม่กี่ปีแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้การปฏิรูปที่ดิน และการปราบปรามนายทุนและเจ้าของที่ดิน จนมีความรุนแรงอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้น เมื่อชาวไร่ชาวนามีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ผลผลิตทางภาคการเกษตรก็มีมากขึ้น ต่อมา มีการจัดตั้งคอมมูนประชาชน(人民公杜) แบ่งปันผลผลิตทางการเกษตรแก่ทุกคนเท่าเทียมกัน โดยไม่ตรวจสอบว่า แต่ละคนทำงานมากน้อยเพียงใด ทำให้มีคนอู้งานจำนวนมาก ประสิทธิภาพการผลิตในภาคการเกษตรจึงลดน้อยลงไปมาก

การกำหนดให้ครอบครัวเกษตรกร ส่งมอบผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคให้แก่รัฐบาล โดยการจ่ายค่าชดเชยในราคาต่ำ ก็มีส่วนทำให้เกษตรกรไม่มีกำลังใจในการทำงาน และไม่ยอมทำงานหนัก

ภาคอุตสาหกรรม

ในการพัฒนาอุตสาหกรรม ประเทศจีนเจริญรอยตามสหภาพโซเวียต มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพทรัพยากรและความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของประเทศในขณะนั้น ทำให้สูญเสียเงินออมและเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมาก รัฐมีนโยบายกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ และมีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศต่ำ การห้ามเคลื่อนย้ายทรัพยากรในท้องที่ต่างๆ และระบบสำมะโนครัว ที่ห้ามประชาชนย้ายถิ่น ก็สร้างความเสียหายต่อการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพของประเทศจีนในสมัยนั้น

ข) ความคิดของผู้นำที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศ

ในช่วงแรกหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่พอใจกับการโค่นล้มรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งที่ทุจริตและสร้างความเสียหายต่อประเทศ คิดว่าต่อไปนี้ ประเทศจีนจะมีความสงบสุข มีการพัฒนาที่ดี ประชาชนจะอยู่ดีกินดีกว่าเดิม ในเวลานั้น ผู้มีความรู้ความสามารถหลายคนที่ทำงานในต่างประเทศ ได้ละทิ้งงานที่มีตำแหน่งและรายได้ดี กลับมาประเทศจีน โดยมีความมุ่งมั่นรับใช้ชาติ แต่ต่อมาไม่นาน ประเทศจีนเกิดความวุ่นวาย จาก การรณรงค์กำจัดฝ่ายขวา(反右运动)และการปฏิวัติวัฒนธรรมยิ่งใหญ่(文化大革命)ผู้กลับจากต่างประเทศจำนวนมากถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกลงโทษ

ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจสังคม ของประเทศจีนในช่วงสามสิบปีแรก ส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดและนโยบายของผู้นำประเทศที่มีความคิดเน้น การการต่อสู้ทางชนชั้น(阶级斗争) และการปฏิวัติตลอดเวลา (不断革命论)ในการรักษาอำนาจการปกครองประเทศ

ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ขึ้นปกครองประเทศ เมื่อเขามีอำนาจสูงสุดในพรรคคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตง(毛泽东)ก็สนใจเรื่องควบคุมความคิด รณรงค์ให้สมาชิกพรรคมีจิตวิญญาณเอี๋ยนอัน(延安精神)หมั่นศึกษาเอกสารพรรค และอ่านบทความที่เขาเขียน ในปีค.ศ. 1942 มีการรณรงค์เรื่องปรับความคิดให้ถูกต้อง (整风运动) วิพากษ์วิจารณ์ลงโทษผู้ที่มีความคิดที่ไม่บริสุทธิ์และที่เป็นปรปักษ์ต่อพรค เหมาเห็นว่า วรรณกรรมต้องรับใช้ชนชั้นกรรมาชีพ คือ กรรมกร ชาวไร่ชาวนา และทหาร(工农兵) การรณรงค์ความคิดครั้งนี้ กินเวลาหลายปี มีผู้ถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกลงโทษจำนวนมาก

เมื่อเหมามีอำนาจในการปกครองประเทศ การควบคุมความคิดนี้ก็มีความเข้มข้นมากขึ้น ตลอดเวลา 27 ปีที่เหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ การต่อสู้ทางความคิดที่เกิดจากความริเริ่มของเขา มีอยู่ไม่เว้นแต่ละปี ในที่นี้จะกล่าวเพียงบางเรื่องเท่านั้น

ระหว่างปีค.ศ. 1949-1951 มีการปฏิรูปที่ดินและปราบปรามผู้ที่เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ การรณรงค์เรื่องความคิดที่ถูกต้อง ก็มีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ในปีค.ศ. 1951 มีการวิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องชีวประวัติอู่ซวิ่น (武训传) ซึ่งเป็นขอทานในสมัยปลายราชวงศ์ชิง(清)ที่เห็นความสำคัญของการเรียนหนังสือ ใช้เงินที่เขาได้จากการขอทานตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กยากจน กราบไหว้อ้อนวอนข้าราชการที่มีความรู้ มาช่วยสอนหนังสือ คนมีเงินที่ชื่นชอบการกระทำของอู่ซวิ่น ก็ช่วยกันบริจาคเงินให้เขาสร้างโรงเรียน ต่อมา อู่ซวิ่นได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากรัฐบาลชิง ผู้นำประเทศหลายคนเมื่อได้ชมภาพยนตร์นี้แล้ว ต่างชื่นชมว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดี ไม่กี่าันต่อมา หนังสือพิมพ์ของรัฐบาล ลงบทนำที่สะท้อนถึงความคิดของเหมาเจ๋อตง วิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า เป็นการโฆษณาชวนเชื่อความคิดสังคมศักดินา นอบน้อมต่อผู้มีเงินและอำนาจ การวิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์ชีวะประวัติอู่ซวิ่นนี้ มีต่อเนื่องกันเป็นเวลาแรมปี และคณะผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ถูกลงโทษ

การลงโทษกลุ่มที่ถูกเรียกว่า“พวกปรปักษ์ต่อการปฏิวัติ” (反革命)รณรงค์ใน“สามต่อต้าน” (三反) คือ ต่อต้านการทุจริต ความสิ้นเปลือง และความคิดศักดินา(反贪污 反浪费 反官僚主义)ในปีค.ศ. 1951 และ“ห้าต่อต้าน” (五反)คือ ต่อต้านการให้สินบน หนีภาษี ไม่ทำงานเต็มที่และลดวัตถุดิบในการผลิตสินค้า ลักขโมยสินทรัพย์และข่าวสารเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ (反行贿偷税漏税 偷工减料 盗骗国家财产 盗窃国家经济情报ในสองปีต่อมา

การรณรงค์ต่อต้านทั้งสองนี้ นัยว่า เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้ควบคุม แต่ก็สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจไม่น้อย มีผู้ถูกจับกุมคุมขัง ถูกทรมาน ถูกประหารชีวิต และมีบางคนฆ่าตัวตาย ต่อมา ในปีค.ศ. 1963 ก็มีการรณรงค์สามต่อต้านและห้าต่อต้านอีกรอบหนึ่ง

ในปีค.ศ. 1956 เหมาเจ๋อตง รณรงค์ขบวนการ“ร้อยบุบผา” มีคำขวัญว่า“ ดอกไม้บานพร้อมกัน ความคิดพร้่งพรู”(百花齐放 百家争鸣) เรียกร้องให้ทุกคนออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองการปกครองอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร ทำให้ผู้เห็นต่างกับรัฐบาลพากันแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างเปิดเผย แต่ต่อมาในค.ศ. 1957-1958 ก็มีขบวนการ“ ต่อต้านฝ่ายขวา”(反右运动) ลงโทษพวกที่ไม่เห็นด้วยและออกมาเปิดเผยความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในเวลาก่อนหน้านั้น ในครั้งนั้น มีผู้ถูกจับกุม ลงโทษเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญญาชนที่มีความกล้าในการแสดงความคิดเห็น ต่อมา เหมา ยอมรับว่าการรณรงค์ให้ออกมาวิจารณ์รัฐบาลนั้น เป็นกลอุบายล่องูออกจากถ้ำ(引蛇出洞)ของเขาหลอกล่อผู้ที่เห็นต่างกับการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ออกมาแสดงตน เพื่อทำการลงโทษได้สะดวก

นโยบายคอมมูนประชาชน(人民公社) การก้าวกระโดดไปข้างหน้าที่ยิ่งใหญ่(大跃进) การถลุงเหล็กโดยประชาชนทุกคน(全民炼钢)ซึ่งสร้างความเสียหาย แก่การเกษตรเป็นอย่างมาก ทำให้มีคนอดอยากล้มตายหลายสิบล้านคน เรื่องนี้ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อน จะไม่กล่าวซํ้าอีก

พรรคคอมมิวนิสต์จีน มักกระตุ้นให้ประชาชนทำงานหนัก มีความกล้าหาญ ไม่กลัวความยากลำบาก และไม่กลัวตาย(不怕苦、不怕死)

ตั้งแต่ค.ศ. 1963 เป็นต้นมา มีการรณรงค์ให้ประชาชนทำตามแบบอย่างเหลยฟง(学雷锋)ซึ่งเป็นคนที่ทำงานหนัก ยินดีช่วยเหลือคนอื่น จนได้รับคัดเลือกเป็นคนงานตัวอย่างหลายครั้ง ที่สำคัญคือ เขามีความศรัทธาต่อพรรคคอมมิวนิสต์และเคารพเหมาเจ๋อตง เหลยฟงประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตลงในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1962 เมื่ออายุเพียง 21 ปี

ในปี 1963 เหมาเจ๋อตงกล่าวยกย่องเหลยฟงว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของนักต่อสู้คอมมิวนิสต์ เขียนว่า“เรียนรู้และทำตามสหายเหลยฟง”(向雷锋同志学习)และรณรงค์กระบวนการเรียนรู้เหลยฟงตั้งแต่นั้นมา

ค) ความเสียหายที่เกิดจากการปฏิวัติวัฒนธรรม

ระหว่างปีค.ศ. 1966-1976 ในประเทศจีนเกิดเหตุการณ์“ ปฏิวัติวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ (文化大革命)ที่สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างใหญ่หลวง เศรษฐกิจหยุดชะงักและถดถอยไปมาก บ้านเมืองอยู่ในภาวะวุ่นวาย เหตุการณ์การปฎิวัติวัฒนธรรมนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ จนบัดนี้ ยังมีการถกเถียงกันถึงสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ครั้งนั้น ความเสียหายทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ก็มีการประเมินที่แตกต่างกัน

ในระหว่างปีค.ศ. 1962-1965 รัฐบาลจีนนำโดยประธานาธิบดีหลิวเซ่าฉี(刘少奇) พยายามแก้ไขข้อผิดพลาดในนโยบาย“ก้าวกระโดดไปข้างหน้า” ให้ทีมผลิต ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อยของคอมมูนควบคุมการผลิต ยกเลิกระบบการกินข้าวในโรงอาหารรวม ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ควบคุมเกษตรกร และให้ความสนใจต่อการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร มีการใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงและเครื่องจักรกลการเกษตรมากขึ้น นโยบายเศรษฐกิจในภาคอื่นก็มีการปรับปรุง เศรษฐกิจจีนจึงมีการฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง

เหมาเจ๋อตง ลาออกจากการเป็นประธานาธิบดี จากความผิดพลาดของนโยบายก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นประธานพรรคคอมมูนิสต์จีน ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศ เหมาไม่เห็นด้วยกับแนวนโยบายของ หลิวเซ่าฉี คิดว่าขัดแย้งกับอุดมการณ์ของลัทธิสังคมนิยม แต่ไม่สามารถแทรกแซงและควบคุมหน่วยงานของรัฐบาลได้ เพราะหลิวเซ่าฉีควบคุมกลไกภาครัฐบาลได้ เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)เลขาธิการพรรค ซึ่งโดยนิตินัยแล้วควรอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของบ่ระธานพรรคคือเหมา แต่ได้กลายมาเป็นผู้ช่วยของหลิวเซ่าฉี ในการปรับปรุงเศรษฐกิจจีนที่เสียหายมากจากนโยแต่บายก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ เหมาจึงใช้กลอุบายต่างๆ ให้ตนเองกลับเข้ามามีอำนาจควบคุมหน่วยงานของรัฐบาล และสร้างศรัทธาของตนในหมู่ประชาชน โดยได้รับการสนับสนุนจาก หลินเปียว(林彪)ที่ขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมแทนเผิงเต๋อหวาย(彭德怀) ซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง ที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายการก้าวกระโดดไปข้างหน้าของเหมาว่าสร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่เศรษฐกิจจีน

หลิเปียวยกย่องว่า เหมาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่มีความคิดล้ำเลิศ และในปีค.ศ. 1961 ได้จัดพิมพ์คติพจน์ของเหมาเจ๋อตง(毛泽东语录)แจกจ่ายให้กับประชาชน

จนถึงกลาง ปีค.ศ.1966 ด้วยการสนับสนุนของแก๊งค์สี่คน(四人帮)ซึ่งมีแนวความคิดซ้ายจัด ซึ่งมีภรรยาของเหมารวมอยู่ด้วย ออกมาปลุกระดมมวลชน ยุยงให้เยาวชนที่ไร้เดียงสาก่อความวุ่นวายทั่วประเทศ ในที่สุด เหมา ก็สามารถ ควบคุมกลไกของรัฐบาลได้ทั้งหมด และหลิวเซ่าฉี ถูกปลดออกจากตำแหน่ง

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 10 ปีของการปฏิวัติวัฒนธรรมมีมาก ในช่วงแรกมีเหตุรุนแรงที่เกิดจากการประทะกันจำนวนมาก จนถึงทศวรรษ 1970 สถานการณ์ความไม่สงบจึงได้เบาบางลงบ้าง ในที่นี้ จะไม่เล่ารายละเอียดในเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น แต่จะสรุปผลเสียของเหตุการณ์ครั้งนี้โดยสังเขป

ก. ทำลายวัฒนธรรม

เหตุการณ์ครั้งนี้ เรียกชื่อว่า“ปฎิวัฒนธรรม” แต่ที่แท้เป็นการทำลายวัฒนธรรม มีการรณณรงค์ในเรื่อง“ทำลายสี่เก่า”(破四旧)คือ ความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ประเพณีเก่า และนิสัยเก่า (旧思想、旧文化、旧风俗、旧习惯) ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม โบราณสถาณ โบราณวัตถุ สุสานของฮ่องเต้ ขุนนาง และคนมีชื่อเสียงในสมัยโบราณ วัดวาอาราม สิ่งปลูกสร้างและจิตรกรรมที่สวยงาม ถูกทำลายไปมาก ผู้มีความรู้ มีชื่อเสียงในสังคมจำนวนมาก ถูกประจาน ถูกคุมขัง ถูกทรมาน บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย

ข.ทำลายประเพณีที่ดีงามของจีน

ตั้งแต่สมัยโบราณ ประเทศจีนมีวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม สอนให้คนมีความเมตตา กรุณา รักความเป็นธรรม มีมารยาท มีสติปัญญา ซื่อสัตย์สุจริต รักษาวาจาสัตย์(仁义礼智信) คุณสมบัติที่ดีเหล่านี้ได้ถูกทำลายลงมากในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ความเมตตากรุณาของคนจำนวนมากหดหายไป สังคมไม่เป็นธรรม คนจำนวนมากไม่มีมารยาท ไม่เคารพผู้ใหญ่ ไม่นับถือครูบาอาจารย์ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ปัญยาชนถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกลงโทษ นักวิชาการกลายเป็นคนชั้นต่ำของสังคม คนจำนวนมากไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่รักษาสัจจะวาจา

เกิดการต่อสู้ ประทะกัน ระหว่างประชาชนกลุ่มที่เห็นต่าง กับ “ทหารพิทักษ์แดง”หรือ“เรดการ์ด”(红卫兵) กับมวลชนและเจ้าหน้าที่รัฐนับครั้งไม่ถ้วน บางคนถูกทารุณกรรมจนทุพพลภาพ มีสติวิปลาส และถึงแก่ชีวิต พวกเรดการ์ดแสดงตนว่าเป็นผู้รักชาติ เป็นสาวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อประธานเหมา แต่ได้ก่อกวน ทำร้ายคนที่เขาเห็นว่าเป็นพวกปฏิกิริยาอย่างทารุณโหดร้าย และทำลายข้าวของอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่มีต่อประเทศชาติและสังคม

ค. คนเลว คนชั่ว มีอำนาจในการปกครองประเทศ

เหมาเจ๋อตงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลจีน เขาอาจเป็นคนเก่งที่มีส่วนสำคัญในเอาชนะรัฐบาลก๊กมินตั๋ง แต่เขามีความคิดและพฤติกรรมหลายอย่างที่ทำให้ประเทศชาติต้องประสบกับความเสียหายมาก ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เขาได้สนับสนุนให้แก๊งค์สี่คน(四人帮) ออกมา สร้างความวุ่นวาย แกงค์สี่คนนี้ ประกอบด้วยภรรยาของเหมา ซึ่งเมื่อทำอะไร ก็บอกว่า ทำตามความคิดของเหมา คนหนึ่งมีกลอุบาย สามารถสร้างเรื่องราวทำลายผู้ที่เป็นปรปักษ์กับรัฐบาล คนหนึ่งเก่งในด้านเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น โดยอ้างอิงทฤษฎีของลัทธิมาร์ค-เลนิน คนสุดท้ายเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นคนงานที่มาจากครอบครัวยากจน สี่คนนี้ถนัดในทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้นของพรรคคอมมิวนิสต์ และมีความจงรักภักดีต่อเหมาเจ๋อตง แต่ไม่มีความรู้ความสามารถในการปกครองประเทศ

นอกจากแก๊งค์สี่คนแล้ว ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่นอกจากทำตามคำสั่ง แล้ว ยังคอยซ้ำเติมผู้ถูกกล่าวหาลงโทษ เพื่อพยายามรักษาตัวรอด ทำงานอะไรที่เป็นประโยชน์ไม่ได้ ส่วนข้าราชการดีๆที่มีความรู้ความสามารถ จำนวนมากถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกปลด ถูกลงโทษ ถูกทรมาน จากการมีความคิดที่ไม่สอดคล้องกับผู้นำของประเทศ

การคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการและเข้ารับการศึกษาระดับต่างๆ ไม่ได้พิจารณาถึงความรู้ความสามารถ และจริยธรรม พิจารณาแต่“ความคิดที่ถูกต้องทางการเมือง”ที่เน้นการต่อสู้ทางชนชั้น การบริหารในส่วนต่างๆของรัฐบาล จึงไม่มีประสิทธิภาพ

ง) นโยบายการพัฒนาประเทศที่ไร้ประสิทธิภาพ

ความคิดในการพัฒนาประเทศในสมัยนั้น เน้นการต่อสู้ทางชนชั้น ละเลยการพัฒนาเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และกำลังคน ไม่ส่งเสริมการค้า อุตสาหกรรม ไม่ได้พัฒนาสิ่งสาธารณูปโภค ไม่เห็นความสำคัญต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ไม่สนใจสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และให้ความสำคัญต่อความเท่าเทียมกันในการกระจายรายได้ของประชาชนมากกว่าประสิทธิภาพ

กล่าวโดยสรุป ความล้าหลังของเศรษฐกิจจีนในช่วง 30 ปีแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน ไม่มีศึกสงคราม ไม่มีการรุกราน และการต่อต้านจากต่างประเทศ แม้ประเทศที่มีสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศจีนในช่วงแรกมีไม่มาก แต่ก็มีหลายประเทศในค่ายสังคมนิยมในยุโรปที่เป็นมิตร มีบางประเทศในเอเชียและแอฟริกาที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน หลังปีค.ศ. 1972 สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และหลายประเทศในยุโรปตะวันตก ก็มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศจีน ระหว่างค.ศ. 1949 – 1976 แม้มีภัยธรรมชาติหลายครั้ง แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจจีนมากนัก ปัญหาความล้าหลังของเศรษฐกิจจีนใน 30 ปีแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน เกิดจากนโยบายเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ผิดพลาดเป็นส่วนใหญ่ ช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม กล่าวได้ว่าเป็นยุคมืดของประเทศจีนในศตวรรษที่ 20 ที่ความดีความชั่ว ความถูกความผิดถูกบิดเบือนไปมาก เหตุการณประเทศจีนสมัยนั้น สอดคล้องกับสุภาษิตจีนที่กล่าว่า“ โลกนี้ไม่มีเรื่องอะไร แต่คนไร้สติก่อกวนให้เกิดวุ่นวายขึ้นมาเอง”(天下本无事,庸人自扰之)

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *