jos55 instaslot88 Pusat Togel Online เนโร ดีครี - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

เนโร ดีครี

เนโร ดีครี

นโยบายเผาแผ่นดินจะเป็นยุทธวิธีทางทหารของการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำให้ศัตรูทำสงคราม มันจะมีทั้งพืชผล ปศุสัตว์ อาคาร และโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายเผาแผ่นดินอาจจะถูกดำเนินการโดยกองทัพเดินหน้าผ่านพื้นที่ของศัตรู เพื่อที่จะลงโทษการต่อต้านและความสามารถของศัตรูหรือการล่าถอยของกองทัพที่ไม่ยอมปล่อยทิ้งอะไรเลยที่มีคุณค่าทางทหารต่อกองกำลังตรงกันข้ามแนวคิดของนโยบายเผาแผ่นดินอาจจะย้อนหลังไปยังยุคโบราณภายในโรมโบราณและเปอร์เชียโบราณ กลุ่มบางกลุ่มได้ใช้ยุทธวิธีนี้ระหว่างช่วงเวลาของสงคราม แต่กระนั้นถ้อยคำนี้ได้ถูกใช้ครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษภายในรายงาน 1937 เกี่ยวกับสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองและเราเชื่อว่าเป็นการแปลจากภาษาจีน กองกำลังจีนที่ล่าถอยได้เผาพืชพันธุ์ และได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานรวมทั้งเมือง การทำลายการขนส่งของกำลังญี่ปุ่นนโยบายเผาแผ่นดินได้ถูกใช้ ระหว่างสงครามกลางเมืองอเมริกันด้วย นายพลของสหาพ เดินทัพไปที่ทะเล ระหว่างนั้นเขาได้หวังที่จะทำลายความสามารถและความตั้งใจที่จะต่อสู้ของสมาพันธรัฐ ด้วยการทำลายเครื่องมือทำสงครามของมัน มันจะเป็นความพยายามครั้งแรกภายในสงครามสมัยใหม่ การขยายสนามรบไปสู่โครงสร้างพื้นฐานของศัตรู เป้าหมายที่สำคัญของเขาคือ การยึดเมืองแอตเเลนต้ามันเป็นศูนย์กลางรถไฟที่สำคัญคลังสเบียง และศูนย์การผลิต เมื่อพวกเขาได้เดินทางไป อะไรก็ตามที่สามารถช่วยสมาพันธรัฐทำสงครามอยู่ต่อไปจะถูกทำลายไม่ว่าจะเป็นรถไฟ อุโมง สายการสื่อสาร พืชพันธุ์ และปศุสัตว์ นโยบายเผาแผ่นดินได้พิสูจน์ความมีประสิทธิภาพต่อการทำลายขวัญของพลเมืองและทหารสมาพันธรัฐภายสงครามโลกครั้งที่สองนโยบายเผาแผ่นดินได้ถูกใช้ทั้งพันธมิตรและอักษะ ณ ระยะเริ่มแรกของการปฏิบัติการบาร์บาร์รอสสา การสู้รบของเยอรมันภายในรัสเซีย กองทัพรัสเซียที่ล่าถอยได้เผาหรือทำลายสะพาน รถไฟ พืชพันธุ์ หรืออะไรก็ตามที่สามารถถูกใช้ได้ต่อกองกำลังเยอรมัน ภายในสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ 1941 กองทัพแดงมีการตระเตรียมไม่ดี ตกตะลึงโดยความฉับพลันของการปฏิบัติการบาร์บาร์รอสสาของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กองทัพแดงไม่มีทางเลือก แต่ได้ถอยไปทางทิศตะวันออกเผาพืชพันธุ์ ทำลายสะพาน และอพยพโรงงาน เมื่อเยอรมันได้เดินหน้าเข้ามาการทิ้งให้ประชาชนป้องกันตัวพวกเขาเอง กองทัพแดงได้รื้อโรงงานเหล็กและโรงงานอาวุธทั้งหมด และขนส่งมันโดยรถไฟไปยังภูเขาอูราลตรงที่พวกเขาได้กลับมาสู่การผลิตอีกครั้งหนึ่งกองทัพเยอรมันได้บุกพื้นที่ 850,000 ตารางกิโลเมตรอย่างรวดเร็ว การ ยึดครองมินสค์ และสโมแลนสค์ภายในวันเเรกของสงคราม บนเส้นทางไปสู่มอสโกและสตาลินกราด โจเซฟ สตาลินที่ได้ลงนามสนธิสัญญากับนาซีและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เพื่อการเเบ่งยุโรปตะวันออกหายตัวไปจากสายตาของสาธารณะ
ณ จุดสูงสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง อาณาจักรของฮิตเลอร์ได้ยืดจากเทือกเขาพีเรนีสของฝรั่งเศสทางใต้ภายในตะวันตก ไปสู่ประตูของมอสโกภายในตะวันออก จากทะเลทรายของอัฟริกาเหนือภายในทางใต้ไปสู่วงกลมอาร์กติกภายในทางเหนือ ยุโรปทั้งหมดได้ล้มลง หรือเป็นพันธมิตรกับนาซี เยอรมัน และรัฐเผด็จการดูเหมือนไม่สามารถหยุดได้นักประวัติศาสตร์ได้นำเสนอจุดพลิกผันหลายอย่างภายในสงครามที่ได้นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แต่ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ การบุกรัสเซียเมื่อ ค.ศ 1941 ฮิตเลอร์ได้ทำเลยเถิดไปการบุกรัสเซียส่งสัญญานสี่ปีของความยากลำบากที่สุด การต่อสู้อย่างโหดร้ายที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น รัสเซียได้เรียนรู้บทเรียนของพวกเขาจากประวัติศาสตร์การเลียนแบบบรรพบุรุษของพวกเขาที่ได้ต่อต้านนโปเลียน 130 ปีก่อนหน้านี้ จุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของรัสเซียคือ ดินแดนที่ใหญ่โตของมัน ให้โอกาสอยู่เสมอที่จะล่าถอยและรวมกลุ่มใหม่ มันบังคับให้ศัตรูรักษาสายสเบียงที่ขยายบางลงมากขึ้นด้วยทุกไมล์ที่เดินหน้าไปเนื่องจากสายสเบียงได้ถูกขยายมาก กองบัญชาการสูงสุดของเยอรมันได้สั่งการเเวร์มัคท์ให้มีชีวิตอยู่บนพื้นที่ ขโมยอาหารและสิ่งจำเป็นจากชาวรัสเซียที่ไหนก็ตามที่พวกเขาสามารถ ทำกับฮิตเลอร์เหมือนกับนโปเลียน ขาวชนบทรัสเซียได้เริ่มต้นเผาหมู่บ้านและพืชผล ฮิตเลอร์ได้ชื่นชมนโยบายเผาแผ่นดินของรัสเซีย แม้ว่ากองทัพของเขาต้แงทุกข์ทรมานจากผลกระทบของมันเมื่อ ค.ศ 1945 อาณาจักรของฮิตเลอร์ได้หดตัวลงอย่างสำคัญ กองกำลังพันธมิตรได้ยกพลขึ้นบกภายในนอร์มังดี ฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ 1944 และได้ปลดปล่อยประเทศอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันรัสเซียได้บุกครั้งยิ่งใหญ่ที่ขับไล่แวร์มัชท์จากรัสเซีย และได้มองเห็นกองทัพเเดงเดินหน้าไปสู่ประตูวอร์ซอว์ เนโร ดีครี ไม่ได้เป็นคำสั่งออกโดยจักรพรรดิ์โรมัน เนโร เมื่อ 2000 ปีที่แล้ว มันได้ถูกออกโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เมื่อ ค.ศ 1945 หลายวันก่อนที่เยอรมันยอมแพ้ เมื่อมันกลายเป็นขัดเจนต่อฮิตเลอร์ว่าไรช์ที่สามกำลังพังทลายเขาได้สั่งการการทำลายเต็มที่ของโครงสร้างพื้นฐานของเยอรมัน คำสั่งทางการถูกเรียกชื่อว่า “Demolitions on Reich Territory” แต่มันกลายเป็นรู้จักกันเป็นเนโร ดีครี ตามชื่อของจักรพรรดิ์โรมัน เนโร ที่ถูกชื่อว่าได้กระตุ้นอย่างเจตนาไฟไหม้ครั้งใหญ่ของโรมเมื่อ 64 เอดีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ออกเนโร ดีครี เมื่อ 19 มีนาคม ค.ศ 1945 ถ้ามันได้ถูกดำเนินการคำสั่งจะทำให้เกิดการทำลายอย่างมากมายของการติดตั้งทางทหาร การสื่อสาร อุตสาหกรรม และสเบียงที่ไม่ได้ถูกทำลายโดยพันธมิตร และการทำลายล้างอะไรก็ตามที่อาจจะมีคุณค่าต่อศัตรู โรงงาน พืชผล อาหาร ทางรถไฟ สะพาน บ่อน้ำ และเขื่อน ได้ถูกระเบิด ศัตรูืที่ใกล้เข้ามาจะไม่พบอะไรเลยแต่เป็น “เผาแผ่นดิน”เมื่อผู้เผด็จการรัสเซีย โจเซฟ สตาลิน ได้ใช้นโนบายเผาแผ่นดินบรรลุความสำเร็จหยุดการเดินหน้าของกองทัพเยอรมาสู่มอสโกเมื่อค.ศ 1941 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พยายามจดจำประโยชน์ของมันและตัดสินใจเลียนแบบวิธีการตั้งรับนี้ภายใน ค.ศ 1945 เมื่อ ค.ศ 1945 กระเเสน้ำของสงครามได้หันกลับอย่างโต้เถียงไม่ได้นาซีเยอรมัน – ไรช์ที่สาม – กำลังพังทลาย เยอรมันกำลังพ่ายเเพ้แก่อเมริกาและอังกฤษภายในตะวันตก และรัสเซียภายในตะวันออก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้พยายามการรุกกลับอย่่างสิ้นหวังต่อสู้พันธมิตรภายในยุโรปตะวันตกเรียก
กันว่าการบุกแห่งอาร์เดน หรือยุทธการตอกลิ่ม แต่มันได้ล้มเหลวในที่สุด ยิ่งกว่านั้นบนแนวรบด้านตะวันออก กองทัพแดงได้ยึดครองประเทศและ
ปลดปล่อยประเทศที่เคยยึดครองโดยนาซี เยอรมัน
การสู้รบตอกลิ่มรู้จักกันเป็นการรุกแห่งอาร์เดนด้วย มันจะเป็นการโจมตีกลับที่สำคัญครั้งสุดท้ายบนแนวรบด้านตะวันตกระหว่างสงครามโลกครั้ง
ที่สอง มันได้เปิดตัวผ่านภูมิภาคอาร์เดนที่เป็นป่าทึบระหว่างเบลเยี่ยมและลุกเซมเบิรก การบุกมุ่งหมายที่จะหยุดพันธมิตรใช้ท่าเรือเบลเยี่ยมแห่งแแอนต์เวิร์ป และเเยกแนวรบของพันธมิตรออกจากกัน ทำให้เยอรมันโอบล้อมและทำลายกองทัพพันธมิตร การกดดันให้พันธมิตรตะวันตกต้องเจรจาต่อรองสนธสัญญาสันติภาพกับพวกเขา แต่ในที่สุดเยอรมันได้เผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงดังนั้นเมื่อ 19 มีนาคม ค.ศ 1945 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ออกคำสั่งชื่อเป็นทางการว่า “Demolitions on Reich Territory Decree” ที่ได้กลายเป็นรู้จักกันเป็น เนโร ดึครีแน่นอน จักรพรรดิ์เนโร ได้ถูกกล่าวโทษต่อไฟที่ได้ทำลายโรมโบราณนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า เนโรกำลังเล่นซอในขณะที่เมืองของเขาลุกเป็นไฟ นักประวัติศาสตร์คนอื่นกล่าวว่าเนโรต้องการทำลายเมืองดังนั้นเขาสามารถสร้างพระราชวังใหม่ เนโรตัวเขาเองกล่าวโทษลัทธิใหม่ที่ขบถ
– คริสเตียน แต่นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ตำหนิเนโรต่อไฟไหม้ใหญ่แห่งโรมเมื่อ 18 กรกฎาคม ค.ศ 64 ไฟได้เริ่มต้นภายในสลัมของทางใต้ของเนินเขาพาลาติเตำนาน ร้านค้ารอบสนามกีฬาแข่งรถม้า เซอร์คัสเเมกซิมัสและไฟได้ดับลงหกวันต่อมามากกว่า 70% ของเมืองได้หายนะโรมโบราณเป็นเมืองของบุคคลหนึ่งล้านคน เนโรได้แสวงหาแพะรับบาปชุมชนคริสเตียนของโรมต่อไฟไหม้ ไฟไหม้ใหญ่แห่งโรมจะเป็นภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งภายในประวัติศาสตร์ของอาณาจักร ณ ตอนกลางคืนที่อบอุ่น ไฟได้ลุกไหม้และได้ทำลายเมืองอย่างรุนเเรงพื้นที่บ้านได้ไหม้อย่างรวดเร็วมาก และไฟได้แพร่กระจายไปทางเหนือ ลุกไหม้ด้วยลมแรง บุคคลหลายร้อยคนเสียชีวิตภายในไฟ และหลายพันคนไร้ที่อยู่อาศัยในขณะนั้น ผู้อยู่อาศัยของโรมส่วนใหญ่อยู่ภายในบ้านไม้และกระท่อมเป็นเหยื่อต่อไฟได้ง่าย เรื่องราวจะมาจากนักประวัติศาสตร์โรมัน ทาซิตัสเป็นเด็กน้อย ณ เวลานั้น เขาได้กล่าวว่า ไฟได้เริ่มต้นใหม้ภายในร้านค้า ณ เซอร์คัส เม็กซิมัส สนามกีฬาแข่งม้า แม้ว่าเป็นเรื่องราวที่มีชื่อเสียง ไม่มีหลักฐานว่าจักรพรรดิโรมัน เนโร เริ่มต้นไฟ หรือเล่นซอในขณะที่มันไฟไหม้ แต่เขายังคงใช้ความหายนะเป็นวาระทางการเมืองของเขาต่อไป ตามข่าวลือ เนโรได้เฝ้าดูภัยพิบัติจากพระราชวังของเขา ในขณะที่เล่นซอ เมื่อไฟได้กลืนกินเมืองใหญ่ ตำนานได้กล่าวโทษมายาวนานต่อเนโรด้วยเหตุผลบางอย่าง เนโรจะไม่ชอบความสวยงามของเมือง และได้ใช้การทำลายล้างของไฟภายในการเปลี่ยนแปลงมันอย่างมาก และสร้างข้อบังคับอาคารใหม่ตลอดเมือง เนโรได้ใช้ไฟควบคุมการเจริญเติบโตของอิทธิพลของคริสเตียนภายในโรมเขาได้จับ ทรมาน และประหารชาวคริสเตียนจำนวนมากบนข้ออ้างที่พวกเขาได้ยุ่งเกี่ยวกับไฟไหม้คำสั่งของฮิตเลอร์ชัดเจนและตรงอะไรก็ตามสามารถถูกใช้เป็นประโยชน์ต่อกองกำลังพันธมิตร เมื่อพวกเขาได้เดินทัพมาสู่พื้นที่เยอรมันจะต้องถูกทำลาย คำสั่งการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของเยอรมันที่จะป้องกันการใช้ของมันโดยกองกำลังพันธมัตร เมื่อพวกเขาบุกลึกเข้ามาภายในเยอรมันดังนั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้ตัดสินใจว่าถ้าเขาพังทลายลง ทั้งประเทศต้องพังทลายกับเขาด้วย ตามบันทึกความจำของสเปียร์ “Inside the Third Reich” อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้กล่าวว่า ถ้าแพ้สงคราม ประชาชนจะแพ้ด้วยมันไม่จำเป็นที่จะกังวลต่ออะไรที่ชาวเยอรมันจะต้องการเพื่อความอยู่รอดตรงกันข้าม มันดีที่สุดต่อผมทำลายอะไรเหล่านี้ ฮิตเลอร์ได้ให้เหตุผลของเนโร ดีครี ว่าเป็นความจำเป็นทางทหาร แต่เจตนาของเขาคือ การทำลายชาวเยอรมันเป็นการลงโทษต่อความพ่ายแพ้ของมันความรับผิดชอบเพื่อดำเนินการเนโร ดีครี ตกอยู่ที่อัลเบิรต สเปียร์ เขา เป็นหัวหน้าสถาปนิกของอดอล์ฟฮิตเลอร์ และได้กลายเป็นรัฐมตรีอาวุธยุทโธปกรณ์ ณ เวลาที่ฮิตเลอร์ออกเนโร ดีครี สเปียร์ รับรู้ว่าสงครามได้พ่ายแพ้ เขาได้ตัดสินใจหลบเลี่ยงคำสั่งที่จะรักษาชีวิตประชาชน เขาได้ใช้อิทธิพลของเขาชักจูงนายพลละเลยคำสั่ง ฮิตเลอร์ยังคงไม่่รู้งานที่ปกปิดของสเปียร์ จนกระทั่งสงครามจบสิ้นแน่ ตอนนั้นฮิตเลอร์ได้วางแผนการฆ่าตัวตายของเขา และไม่สนใจต่อไป เมื่อ ค.ศ 1945 ฮัตเลอร์ได้ฆ่าตัวตายภายในหลุมหลบภัยของเขา ณ เบอร์ลิน และอัลเบิรต สเปียร์ ได้ถูกจับตัวโดยพันธมิตรเมื่อ ค.ศ 1945 กองกำลังพันธมิตรเข้ามาใกล้เบอร์ลินจากทุกด้านอดอล์ฟฮิตเลอร์ ได้ออกคำสั่งนโยยายเผาแผ่นดินต่อประเทศของเขาเอง ภายในความพยายามที่จะลงโทษ ต่ออะไรที่เขามองว่าชาวเยอรมันที่พ่ายแพ้ เขาได้สั่งการกองทัพเยอรมัน ทำลายโรงงานอุตสาหกรรม รถไฟ เรือ สะพานไฟฟ้า การสื่อสาร และอย่างอื่น แต่นายทหารกองทัพนาซี ไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขากลยุทธ์เฟเบียนได้ถูกใช้กันทั่วโลก ต่อสู้นโปเลียน และฮิตเลอร์ภายในรัสเซีย ต่อสู้ซานตา แอนนา ภายในเท็กซัส ต่อสู้อเมริกาภายในเวียตนามเป็นต้น การบุกรัสเซียของนโปเลียนเป็นช่วงเวลาจุดสำคัญภายในอาชีพของเขาและประวัติศาสตร์ยุโรป การสู้รบป็นความล้มเหลวอย่างร้ายแรงทำให้ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากเสียชีวิต และได้สร้างจุดเปลี่ยนภายในโชคชะตาของนโปเลียนชาวรัสเซียได้ดำเนินการนโยบายเผาแผ่นดิน พวกเขาทำลายทรัพยากรและสเบียงเมื่อพวกเขาได้ล่าถอย ในขณะที่ใช้กลยุทธ์เฟเบียนของการต่อสู้กันเล็กน้อย และการทำให้กองทัพฝรั่งเศสอ่อนแอลง การขับเคลื่อนโดยความต้องการเพื่อการยึดครอง นโปเลียนได้เปิดตัวการบุกรัสเซียเมื่อ ค.ศ 1812 การประเมินต่ำจนเกินไปของความกว้างใหญ่ของประเทศ และความรุนแรงของภูมิอากาศของมัน

ระหว่างสงครามจีน- ญี่ปุ่นครั้งที่สอง กองทัพจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น มีนโยบายเผาแผ่นดินรู้จักกันเป็น นโยบายสามทั้งหมด : ฆ่าให้หมด เผาให้หมด ปล้นให้หมด ทำให้เกิดความเสียหายทางสภาพแวดล้อมและโครงสร้่างพื้นฐานอย่างมากมายที่ได้ถูกบันทึกมันได้มีส่วนต่อการทำลายอย่างสิ้นเชิงของหมู่บ้านทั้งหมด และการทำลายบางส่วนของเมืองทั้งหมด ประชาชนจีนมากกว่า 2. 7 ล้านคนได้สูญเสียชีวิตระหว่างการบุกจีนของญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นได้ยุ่งเกี่ยวกับสงครามทางเคมีและชีววิทยา ดำเนินการนโยบายสามทั้งหมด บังคับผู้หญิงบำเรอจำนวนมาก และทำการสังหารหมู่นานกิง ชาวจีนไม่เคยลืมอาชญกรรมที่รุนเเรงเหล่านี้เลยการแสดงออกของจีน สามทั้งหมด ถูกเเพร่หลายครั้งแรกภายในญี่ปุ่นเมื่อ ค.ศ 1957 เมื่อทหารญึ่ปุ่นก่อนหน้านี้ได้เขียนหนังสือเรียกว่า “The Alls : Japanese Confessions of War Crimes in Chaina” ทหารผ่านศึกญี่ปุนได้สารภาพต่ออาชญกรรมสงครามกระทำ ภายใต้ความเป็นผู้นำของนายพลยาซูจิ โอกามูระ ผู้จัดพิมพ์ได้ถูกบังคับหยุดการพิมพ์เผยเเพ่หนังสือ ภายหลังที่พวกเขาได้รับการคุกคามความตายจากผู้นิยมมทหารริวคิชิ ทานากะ ได้ริเริ่มนโยบาย สามทั้งหมด การดำเนินการอย่างโหดร้ายที่สุดและเต็มขนาดของนโยบายเกิดขึ้นภายในจีนภาคเหนือผู้บัญขาการญี่ปุ่นยาซูจิ โอกามูระได้ดำเนินการนโยบายแบ่งจีนทางเหนือที่ได้ยึดครองเป็นพื้นที่สงบ กึ่งสงบ และไม่สงบ ประชาชนภายในพื้นที่ไม่สงบเป็นเป้าหมาย เมื่อพวกเขาถูกสันนิษฐานสนับสนุนพวกเดียวกันทหารญี่ปุ่นไม่กี่คนได้พูดอย่างเปิดเผยการกระทำของพวกเขาภายหลังสงคราม ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งได้กล่าวว่า เขาได้ดำเนินการคำสั่งอย่างไรเขาได้รายงานว่าสโลแกน ฆ่าทั้งหมด เผาทั้งหมด ปล้นทั้งหมด ได้ถูกใช้เขาได้อธิบายว่ามันหมายความ……ถ้ามีบุคคล ฆ่าพวกเขา ถ้ามีบ้าน เผาบ้าน ถ้ามีวัวหรือแกะ ฆ่ามัน…ผมได้ไล่ต้อนผู้หญิงและเด็กภายในหมู่บ้านยิงพวกเขาภายในอาคาร ซ้อนไม้ฟืนเป็นกอง และเผาไฟพวกเขาผมได้ทำสิ่งที่น่ากลัวหลายอย่าง ยาซิจู โอกามูระ ได้เผาหมู้บ้านทั้งหมด ยึดเมล็ดข้าวกำจัดอาหารแก่ผู้ต่อต้าน และใช้ชาวชนบทจีนเป็นเป็นกำลังงานทาสที่จะสร้างหมู่บ้านเล็ก โครงการอื่นจะมีทั้ง แนวรบสนามเพลาะ กำเเพงกักกัน คูเมือง ถนน และหอคอยยาม โครงการก่อสร้่างเหล่านี้ได้ถูกดำเนินการบนขนาดใหญ่การปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อคนงานจีนทำให้เสียชีวิตจำนวนมาก กองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์อย่างบังคับชาวจีนมากกว่า 10 ล้านคนได้ถูกระดมโดยกองทัพญี่ปุ่นเป็นแรงงานทาสภายในจีนทางเหนือและเเมนจูกัว นโยบาย “สามทั้งหมด” เป็นนโยบายเผาแผ่นดินของญี่ปุนได้ถูกนำมาใช้ภายในจีนระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สามทั้งหมดจะเป็น : ฆ่าทั้งหมดเผาทั้งหมด เเละปล้นทั้งหมด ภายในเอกสารของญี่ปุ่น นโยบายได้ถูกอ้างถึงเริ่มแรกเป็น กลยุทธ์เผาให้เป็นเถ้าถ่าน นโยบายนี้ได้ถูกออกแบบเพี่อแก้เเค้นจีนต่อ “Hundred Regiments Offensive” นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมืองที่ต่อต้าน เหมือนเช่นนานกิงเมื่อ ค.ศ 1937 เจ็บปวดกับผลที่ตามมา ด้วยกองทัพญี่ปุ่นได้สังหารหมู่ประชาชนบริสุทธ์จำนวนมากญี่ปุ่นภายในจีนภายหลังการยึดครองพื้นที่ได้กว้างใหญ่ของประเทศแต่ล้มเหลวทีจะชนะอย่างเด็ดขาดกองทัพจีน ได้นำนโยบายสามทั้งหมดมาใช้ที่จะปราบปรามประเทศแผลเป็นที่ลึกมากได้ถูกปล่อยทิ้งไว้บนแผ่นดินจีนภายหลังเปลวไฟของสงครามโกรธแค้นผ่านชาติโบราณการทำลายเมืองและการสังหารบุคคลอย่างโหดเหี้ยม เมื่อพูดเกี่ยวกับการรุกรานของญี่ปุ่น ทหารผ่านศึกจีนคนหนึ่งกล่าวว่า เราไม่ยอมถูกยึดครอง เราต้องกำจัดผู้รุกรานญี่ปุ่นเราทุกคนต่อสู้ด้วยความตั้งใจเป็นหรือตายเมื่อญี่ปุ่นได้บุกจีน กองทัพของพวกเขาได้ใช้”นโยบายสามทั้งหมดแก่จีน เผาที่ดินทั้งหมด ฆ่าบุคคลทุกคน และปล้นทรัพย์สินทุกอย่างนโยบายสามทั้งหมด เป็นนโยบายเผาแผ่นดินของญี่ปุ่น ได้ถูกใช้ภายในจีนระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองตั้งแต่ ค.ศ 1938 – 1939 ภายมณฑลเดียว ชาวจีนมากกว่า 40,000 คนได้ถูกฆ่า และแม้แต่การสังหารหมู่อย่างนองเลือดได้กลายเป็นที่รู้จักกันเป็น การสังหมู่แห่งนานกิง ญี่ปุนได้ยึดเมืองหลวงจีนก่อนหน้านี้ ผู้รุกรานญี่ปุ่นได้ฆ่าและข่มขืนหมู่ และฆ่าประชาชนมากกว่า 400,000 คนและจับทหาร หนึ่งในสามของเมือได้ถูกทำลาย ผู้รอดชีวิตนานกิงคนหนึ่งได้กล่าวว่า ผมอายุเเปดปีเท่านั้นเมื่อตอนนั้น ชาวญี่ปุนได้เเทงผมถึงสามครั้งข้างหลัง ผมได้สลบไป และเมื่อผมตื่นขึ้นมาภายหลังเวลาที่ยาวนานมากผมมองเห็นเลือดท่วมตัวของผมเอง ผมไม่รู้อะไรเลยได้เกิดขึ้นกับผมภายหลังที่ผมได้สลบไป”Japanese Devils” เป็นภาพยนตร์สารคดีที่แสดงทหารผ่านศึก 14 คนของกองทัพญี่ปุ่นให้การยืนยันการมีส่วนร่วมอย่างโหดร้ายของพวกเขาภายในสงคราม 15 ปีของญี่ปุ่นต่อสู้กับจีน “Japanese Devils” ได้เเปลตามตัวอักษรของชื่อต้นกำเนิดของภาพยนตร์”Riben Guizi” เป็นถ้อยคำใช้โดยชาวจีนในขณะนั้น แสดงความเกลียดชังต่อผู้กดขี่ต่างชาติ ต่อชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก ถ้อยคำเเละข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสงครามญี่ปุ่นต่อสู้จีนจะไม่คุ้นเคย สงครามญี่ปุ่นกับจีนได้ถูกลดความสำคัญลงภายในการเปรียบเทียบต่อความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของสงครามเพิรล ฮาร์เบอร์ และฮิโรชิมาจากการการสารภาพเหล่านี้ มันชัดเจนว่าความรุนแรงที่เกิดขี้นระหว่างสงครามเป็นความโหดร้ายอย่างมาก เช่น ทหารคนหนึ่งได้เล่าว่าผู้หญิงจีนคนหนึ่งได้ถูกกินโดยกองทัพญี่ปุ่น ทำนองเดียวกัน การทดลองทางแพทย์ได้ถูกดำเนินการมุ่งเน้นที่ชาวจีนไม่ถูกรับรู้เป็นมนุษย์โดยกองทัพญี่ปุ่นเมืองฉางชุนของจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพยานต่ออาชญกรรมของทหารญี่ปุ่น ห้องทดลอดเชื้อโรคได้ใช้ชาวจีนศึกษาผลกระทบของแบคทีเรียปศุสัตว์ต่อมนุษย์ พวกเขาได้กล่าวว่า อาวุธเชื้อโรคของห้องทดลองได้มุ่งเป้าหมายโดยตรงที่มนุษย์ การใช้ทั้งมนุษย์และสัตว์วิจัยอาวุธที่ร้ายแรงนอกจากสงครามเชื้อโรค ทหารญี่ปุ่นได้ใช้ผู้หญิงจีนมากกว่า 200,000คนเป็นทาสทางเพศระหว่างสงครามด้วย และผู้หญิงเหล่านี้ได้ถูกข่มขืน ทรมาน และมักจะถูกฆ่า เมื่อสุขภาพของผู้หญิงเหล่านี้ได้ย่อยยับทั้งหมดพวกเธอจะถูกวางลงภายในพื้นเจาะ ทหารจะใช้พวกเธอ เพี่อการปฏิบัติดาบปลายปืนเมื่อ ค.ศ 1938 ญี่ปุ่นได้เปิดตัวการทิ้งระเบิดทำลายบนฉงชิ่ง การโจมตีทางอากาศยาวนานที่สุดภายในประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่สองเมืองเกือบจะเช็ดออกจากแผนที่ และชาวจีนมากกว่า 16,000 สูญเสียชีวิตของพวกเขาภายในการทิ้งระเบิดสารคดีได้พิจารณาช่วงเวลาจากเหตุการณ์แมนจูเรียเมื่อ ค.ศ 1931ไปสู่การยอมแพ้ของญี่ปุ่นเมื่อ ค.ศ 1945 เมื่อ ค.ศ 1940 ญี่ปุ่นได้เปิดตัวการรณรงค์ทางทหารถูกเรียกชื่อโดยชาวจีนเป็น สามทั้งหมด การสังหารหมู่พลเรือน การทำลายหมู่บ้าน การทดลองทางเเพทย์ การทรมาน และการข่มขืนได้กลายเป็นการกระทำทุกวันนโยบายสามทั้งหมดมุ่งหมายที่จะกำราบการต่อต้าน และกำจัดการสนับสนุนทางการเมืองใดก็ตามต่อนักสู้กองโจรของจีน และความโหดร้ายของนโยบายนี้จะมีผลตามมาทำลายล้่างต่อประขาชนที่บริสุทธ์และโครงสร้างพื้นฐานภายในพื้นที่ยึดครอง
*ฆ่าทั้งหมด มันจะเกี่ยวพันกับการฆ่าตามอำเภอใจต่อชาวชนบทและต่อประชาชนที่สงสัยกองกำลังญี่ปุ่นมักจะประหารผู้ชาย ผู้หญิง เด็กภายในพื้นที่สงสัยของนักต่อต้านได้ซ่อนเร้นอยู่
*เผาทั้งหมด หมู่บ้านเเละเมืองที่ถูกเชื่อว่าเป็นอกเห็นใจต่อการต่อต้านของจีนมักจะถูกเผาราบเป็นหน้ากลองยุทธวิธีนี้มุ่งหมายที่จะทำลายชีวิตความเป็นอยู่และบ้านอาศัยของชาวท้องที่ ทำลายขวัญของพวกเขาและป้องกันการสนับสนุนต่อกองทัพจีน
*ปล้นทั้งหมด กองทหารญี่ปุ่นปล้นทรัพยากร อาหาร และของมีค่าจากพื้นที่ยึดครอง มันไม่เพียงแต่ปล้นของจำเป็นของชาวท้องที่แต่ได้ใช้เป็นทุนสนับสนุนการทำสงครามด้วยนโยบายสามทั้งหมดทำให้ประชาชนจีนต้องเสียชีวิตจำนวนมาก การประมาณแตกต่างกัน นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าชาวจีนหลายล้านคนได้ถูกกระทบจากความรุนแรงและการทำลายล้างของนโยบายสามทั้งหมด ความโหดร้ายที่แพร่กระจาย ได้สร้างความกลัวท่ามกลางชาวท้องที่ และขัดขวางการต่อต้านรูปแบบใดก็ตามต่อกองกำลังญี่ปุ่น

ภายในฤดูหนาวจัดของ ค.ศ 1944 ป่าอาร์เดนได้กลายเป็นระยะเวลาที่ไม่น่าเป็นได้ต่อสงครามโลกครั้งที่สอง มันได้กบายเป็นการสู้รบที่เข้มข้นและเด็ดขาดที่สุดคือ ยุทธการตอกลิ่ม การโจมตีกลับของเยอรมันอย่างน่าประหลาดใจต่อกองกำลังพันธมิตรได้ทดสอบกบยุทธ์ทางทหารและข้อจำกัดทางกายภาพของทั้งสองฝ่าย วินสตัน เขอร์ชิล เรียกว่า การสู้รบอเมริกันยิ่งใหญ่ที่สุดของสงคราม มันเป็นการสู้รบเลวร้ายที่สุดในแง่ของผู้เสียชีวิตต่ออเมริกา มันได้ใช้ทรัพยากรทำสงครามของเยอรมันอย่างมากมายด้วยนายกรัฐมนตรีอังกฤษ วินสตัน เชอร์ชิล กล่าวถึงยุทธการตอกลิ่มเป็นการสู้รบอเมริกันยิ่งใหญ่ที่สุดของสงครามอย่างไม่ต้องสงสัยพันธมิตรสามารถชดเชยความสูญเสียเหล่านี้ แต่เยอรมันได้สิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพยากรวัตถุ พันธมิตรได้กลับคืนใหม่เดินหน้าของพวกเขาและภายในต้นฤดูใบไม้ผลิ ข้ามไปสู่กลางใจของเยอรมันพันธมิตรได้ยกพลขึ้นบก ณ นอร์มังดี ภายในฝรั่งเศสเมื่อ 6 มิถุนายน ค.ศ 1944 รู้จักกันเป็น ดี เดย์ ด้วย และการบุกที่บรรลุความสำเร็จนี้ได้สร้างการเริ่มต้นการสิ้นสุดการปกครองของ นาซี เยอรมันภายในยุโรปตะวันตก ในขณะที่การสู้รบอย่างโหดร้ายบนชายหาดและต่อมาได้ผ่านภูมิประเทศอันตรายของป่าที่ล้อมรั้ว ภายใต้ความเป็นผู้นำของนายพลไอเซนฮาวด์ และนายพลจอร์จ แพตตัน เยอรมันได้เผชิญกับการสูญเสียอย่างมาก ความเชี่ยวชาญของกองพลรถถังของจอร์จ แพตตัน ได้ช่วยทำลายการโจมตีกลับภายในอาร์เดนของยุทธการตอกลิ่ม
ยุทธการตอกลิ่มจะเป็นการบุกทางทหารที่สำคัญครั้งสุดท้ายที่อดอล์ฟฮิตเลอร์สู้รบกับกองทัพพันธมิตร พยายามขับเคลื่อนลิ่มระหว่างกองทัพตะวันตก เยอรมันได้รวบรวมสิบสี่กองพลทหารราบ และคุ้มครองโดยห้า กองพันแพนเซอร์ ยุทธการตอกลิ่มภายในพื้นที่อาร์เดนของเบลเยี่ยมจะเป็นการบุกที่สำคัญภายในสงครามโลกครั้งที่สองต่อสู้กับแนวรบทางด้านตะวันตก ชื่อรหัสของยุทธการตอกลิ่มคือ “The Watch on the Rhine” แต่การบุกแท้จรืงถูกใช้ชื่อรหัสว่า “Operation Autumn Mist” The Watch on the Rhine เป็นเพลงชาติของเยอรมัน ต้นกำเนิกของเพลงจะอยู่บนรากฐานความเป็นศัตรูกันของฝรั่งเศส – เยอรมัน ภายในภาพยนตร์ “Casablanca” ณ ริคส์ คาเฟเมื่อชาวเยอรมันร้องเพลงชาตินี้ ลาสซโล ได้ยืนขึ้นและเริ่มต้นร้องเพลงชาติฝรั่งเศส “La Marseillise” ภายในการกระทำของการต่อต้านต่อนาซี มันได้กระตุ้นลูกค้าคนอื่นภายในร้านกาแฟร่วมกันร้องเพลงชาติฝรั่งเศส กลบเสียงเพลงชาติเยอรมัน และมันได้เเสดงการต่อต้านของลาสซโลต่อการยีดครองของนาซีความมุ่งหมายของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์คือ การแบ่งเเยกพันธมิตรจากการขับเคลื่อนของพวกเขาไปสู่เยอรมัน เป้าหมายของเยอรมันคือ การแยกเเนวรบของอังกษและอเมริกาเป็นครึ่งหนึ่ง ยึดครองเเอนต์เวิร์ปและล้อมและทำลายสี่กองทัพพันธมิตร พวกเขาหวังว่ามันจะบังคับให้พันธมิตรทำสัญญาสันติภาพกับเยอรมัน ถ้าพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์จะสามารถมุ่งที่แนวรบด้านตะวันออกของสงคราม แต่เยอรมันได้ล้มเหลวเเบ่งแยกอังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกาด้วยการบุกของอาร์เดน มันได้ปูเส้นทางไปสู่ชัยชนะของพันธมิตรเมื่อ ค.ศ 1944 กองกำลังพันธมิตรได้ปลดปล่อยส่วนใหญ่ของฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมตามมาจากการยกพลขึ้นบกของดี เดย์ ภายในนอร์มังดีที่บรรลุความสำเร็จ การก้าวไปอย่างรวดเร็วข้ามยุโรปได้นำไปสู่การขยายสายสเบียงมากเกินไป และการช้าลงชั่วคราวภายในการเดินหน้าของพวกเขา การช้าลงนี้ให้โอกาสที่สำคัญแก่เยอรมันรวมกลุ่มใหม่และการวางแผนโจมตีกลับกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมันภายใต้คำสั่งโดยตรงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เริ่มต้นวางแผนการบุกอย่างน่าประหลาดใจมุ่งหวังที่จะพลิกสถานการณ์ของสงคราม เป้าหมายคือ การเเยกเเนวรบของอังกฤษและอเมริกา การกดดันให้พันธมิตรตะวันตกเจรจาต่อสนธิสัญญาสันติภาพ แผนนี้เป็นเดิมพันที่ส่วนได้เสียสูงต่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์เขาเชื่อว่าชัยชนะเด็ดขาดสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเยอรมันได้เเม้ว่าสถานการณ์ทางทหารโดยส่วนรวมของเยอรมันไม่เอื้ออำนวยมากขึ้น พื้นที่อาร์เดนได้ถูกเลือกต่อการโจมตี เนื่องจากการป้องกันที่อ่อนแอถูกรับรู้ของมัน ประกอบด้วยกองทหารอเมริกันที่ขาดประสบการณ์หรือเหนื่อยจากการสู้รบก่อนหน้านี้ ป่าที่หนาทึบและภูมิประเทศที่ขรุขะของอาร์เดนได้ถูกใช้เป็นการเดินทัพของเยอรมันที่บรรบุความสำเร็จระหว่างการบุกฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ 1940 การนำเยอรมันไปสู่ความเชื่อว่าความสำเร็จซ้ำเป็นไปได้การบุกอาร์เดนจะเกี่ยวพันกับการรวบรวมกองทัพและยานพาหนะจำนวนมากที่เป็นความลับอย่างมาก ความลับได้ถูกรักษาผ่านทางความเงียบของวิทยุที่เข้มงวด และเยอรมันเคลื่อนที่กองทัพและอุปกรณ์ภายใต้ความมืด พวกเขาได้โจมตีในขณะที่ภูมือากาศไม่ดี เพราะว่าพันธมิตรไม่สามารถจะใช้เครื่องบินถ้าภูมิอากาศไม่ดี การต่อต้านอย่างรุนแรงได้ขัดขวางเยอรมันเข้าสู่ถนนที่สำคัญ ป่าที่ทึบได้ช่วยเหลือผู้ตั้งรับ มันทำให้การเดินหน้าของเยอรมันช้าลง และพันธมติรได้เพิ่มกองทัพใหม่ สภาวะอากาศที่ดีขึ้นทำให้พันธมิตรโจมตีทางอากาศต่อกองกำลังเยอรมันได้ยาวนานหกสัปดาห์ที่โหดร้าย การโจมตีเรียกกันว่ายุทธการแห่งอาร์เดนด้วย เกิดขึ้นระหว่างสภาะอากาศที่เยือกเย็น ด้วย 30 กองพลของเยอรมันโจมตีกองทัพอเมริกันที่เหนื่อยอ่อนข้าม 85 ไมล์ของป่าอาร์เดนต้นไม้หนาทึบ เมื่อเยอรมันขับเคลื่อนไปสู่อาร์เดน การสู้รบได้พิสูจน์เป็นการสู้รบสูญเสียมากที่สุดของกองทัพอเมริกา ผู้เสียชีวิตมากกว่า 100,000 คนการบุกอาร์เดนนำโดยกองทัพกลุมบี บัญชาการโดยนายพล วอลเตอร์ โมเดล ผู้บัญซาการเก่ารู้จักกันดีต่อความเชี่ยวชาญการตั้งรับของเขา แต่กระนั้นการวางแผนกลยุทธ์และทิศทางโดยส่วนรวมต้องมาจากอดอล์ฟฮิตเลอร์ตัวเขาเองที่ยังคงยุ่งเกี่ยวกับรายละเอียดของการสู้รบ กองกำลังเยอรมันได้ถูกแบ่งเป็นสามกลุ่มหลัก กองทัพแพนเซอร์ที่หก กองทัพแพนเซอร์ที่ห้า และกองทัพที่เจ็ด กองทัพเหล่านี้ประกอบด้วยรถถัง ทหารราบและปืนใหญ่เมื่อ ค.ศ 1945 กระเเสน้ำของสงครามได้หันกลับอย่างโต้เถียงไม่ได้ นาซีเยอรมัน – ไรช์ที่สาม – กำลังพังทลาย เยอรมันกำลังพ่ายเเพ้แก่อเมริกาและอังกฤษภายในตะวันตก และรัสเซียภายในตะวันออก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้พยายามการรุกกลับอย่่างสิ้นหวังต่อสู้พันธมิตรภายในยุโรปตะวันตก แต่มันได้ล้มเหลวในที่สุด ยิ่งกว่านั้นบนแนวรบด้านตะวันออก กองทัพแดงได้ปลดปล่อยประเทศที่เคยถูกยืดครองโดยเยอรมัน และได้เดินหน้ามาสู่เบอร์ลินการสู้รบตอกลิ่มเป็นการบุกของเยอรมันที่สำคัญครั้งสุดท้ายบนแนวรบด้านตะวันตกระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ความพยายามที่ไม่บรรลุความสำเร็จที่จะผลักดันพันธมิตรจากพื้นที่เยอรมัน โป่งออกมา อ้างถึงลิ่มที่เยอรมันขับเคลื่อนไปสู่แนวรบพันธมิตร แผนที่จะแสดงโป่งออกมาภายในแนวรบของพันธมิตร ภายหลังจากการบุกอาร์เดนของเยอรมันเมื่อ 1944 ได้ให้ชื่อของมัน” The Battle of Bulge”ภาษาไทยจะรู้จักกันเป็น “ยุทธการตอกลิ่ม”เมื่อแผนที่ได้ถูกปล่อยเเนวรบพันธมิตร มันง่ายที่จะมองเห็นรูปร่างที่น่าประหลาด ลูกโป่งที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนได้อธิบายกว้างประมาณ 50 ไมล์ และลึก 70 ไมล์ เมื่อการบุกของเยอนมันได้ผลักดันแนวรบกลับไป และนักข่าวสงครามอเมริกัน แลร์รี นิวแมนได้ถูกแสดงแผนที่นั้นโดยนายพลจอร์จ แพตตัน เขาได้พบกับนายพลจอร์จ แพตตัน ได้พูดคุยเกี่ยวกับการโจมตีกลับของเยอรมัน แลร์รี นิวแมนต้องการให้ชื่อดึงดูดใจแก่การสู้รบ นั้นต้องไม่เป็นทางการเกินไป ในขณะที่กำลังดูแผนที่สงคราม เขาได้ติดอยู่กับการทำให้โป่งออกมาของกองทัพเยอรมัน และเขาได้สร้างถ้อยคำ”Battle of the Bulge” ขึ้นมา ถ้อยคำ ” Bulge” แปลว่า โป่งหรือนูนออกมาเนื่องจากมันสร้างโป่งออกหรือนูนขึ้นภายในแนวหน้าของพันธมิตร คุณสามารถมองเห็นกองกำลังเยอรมันเจาะตลอด 30 ไมล์ เลยพ้นตรงที่แนวหน้าอยู่ ณ ตอนเริ่มต้นของการสู้รบอย่างไร โป่งออกภายในการสู้รบตอกลิ่ม อ้างถึงรูปร่างแสดงบนแผนที่สร้างโดยกองทหารเยอรมันที่ตอกลิ่มไปทางตะวันตกภายในอาร์เดน ถ้อยคำได้ถูกสร้างโดยแลร์รี นิวแมน นักข่าวอเมริกันเยอรมันได้เปิดตัวการโจมตีขนานใหญ่ต่อกำลังพันธมิตรบนพื้นที่รอบป่าอาร์เดนภายในเบลเยี่ยมและลักเซมเบิรก และกองกำลังพันธมิตรภายในอาร์เดนจะประกอบด้วยกองทัพอเมริกันเป็น ส่วนใหญ่ ทหารบางคนใหม่และขาดประสบการณ์ทหารบางคนเหนื่อยและเบื่อหน่ายสงครามเยอรมันได้บรรลุ ความสำเร็จเริ่มแรก พวกเขาทำให้ประหลาด และได้ผลักดันไปทางตะวันตก ผ่านตรงกลางของแนวรบอเมริกัน สร้างการโป่งออกที่ให้ชื่อการสู้รบ แต่ความสำเร็จครั้งนี้อายุสั้น

เมื่อ ค.ศ 1945 กระเเสน้ำของสงครามโลกครั้งที่สองได้หันกลับอย่างโต้เถียงไม่ได้ เยอรมันกำลังพ่ายเเพ้แก่อเมริกาและอังกฤษภายในตะวันตก และรัสเซียภายในตะวันออก ดังนั้นเมื่อ 19 มีนาคม 1945 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ออกคำสั่งเรียกชื่อเป็นทางการว่า “Demolitions on Reich Territory Decree” มันได้กลายเป็นรู้จักกันเป็น “เนโร ดึครี”แน่นอนจักรพรรดิ์เนโร ได้ถูกกล่าวโทษต่อไฟที่ได้ทำลายโรมโบราณคำสั่งของฮิตเลอร์ชัดเจนและตรง อะไรก็ตามสามารถถูกใช้เป็นประโยชน์ต่อกองกำลังพันธมิตร เมื่อพวกเขาได้เดินทัพมาสู่พื้นที่เยอรมันจะต้องถูกทำลาย ภายในคำสั่ง อดอลฺฟ ฮิตเลอร์ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และได้เสนอแผนเมื่อกองกำลังของเขาได้เรียกคืนดินเเดนที่พวกเขาสูญเสียไป มันได้กล่าวว่า ศัตรูจะไม่ปล่อยทิ้งอะไรเลยแก่เรา เว้นแต่เผาแผ่นดินเมื่อเขาถอนออกไป โดยไม่เคารพต่อประชาชนแม้แต่น้อย ดังนั้นฮิตเลอร์ได้สั่งการว่าวัตถุทางทหารทุกอย่าง รวมทั้งการติดตั้งการสื่อสารและการจราจรทุกอย่างต้องถูกทำลาย ก่อนที่กองทัพของเขาอพยพจากพื้นที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้สั่งการผู้นำทางภูมิภาคของเขาทำลายการติดตั้งทางอุตสาหกรรมและสเบียง และวัตถุอื่นที่มีคุณค่าด้วย และนั่นคือตรงที่มอนิวเมนท์ แมนได้เข้ามามอนิวเม้นท์ แมน เป็นกลุ่มของนักศิลปะ นักวิชาการ นักประวัติศาสตร์สรรหาโดยกองทัพ เพื่อที่จะค้นหาและป้องกันงานศิลปะที่หาค่าไม่ได้นับจำนวนไม่ถ้วนที่ได้ถูกยึดไปโดยนาซี ภายในการเดินทัพข้ามยุโรปของพวกเขา มอนิวเม้นท์ เมน ระบุผลงานชิ้นเอกและโบสถ์ทาสถาปัตยกรรมที่จะป้องกันระเบิดจากการทำลายมันระหว่างการโจมตีทางอากาศ และมอนิวเม้นท์ แมน ได้เดินหน้า และบางครั้งอยู่บนแนวหน้าของกองทหาร เมื่อพวกเขาเข้าไปสู่พื้นที่ปลอดปล่อยยึดงานศิลปะที่ได้ถูกขโมยก่อนที่เยอรมันสามารถเผามันโมนิวเม้นท์ เมน ทำงานด้วยกันคุ้มครองอนุสาวรีย์และสมบัติทางวัฒนธรรมอื่นจากการทำลายของสวครามโลกครั้งที่สอง โมนิวเมนท์ เมนบางคนกล้าหาญไปสู่เเนวหน้าติดตาม ค้นหา และกลับคืนวัตถุที่ได้ถูกขโมย งานของพวกเขาอันตราย โมนิวเม้นท์ เมน สองคนถูกฆ่าภายในการสู้รบภายในปีสุดท้ายของสงคราม พวกเขาได้ติดตาม และค้นหา ภายในปีที่ตามมา พวกเขาได้ส่งกลับคืนงานศิลปะมากกว่าห้าล้านชิ้นแก่ประเทศที่มันได้ถูกขโมยภาพยนตร์บนพื้นฐานหนังสือของโรเบิรต เอดเซล “The Monuments Men” ได้ส่องแสงบทที่น่าทึ่งของประวัติสงครามโลกครั้งที่สองมันมักจะถูกละทิ้งภายในการศึกษาอเมริกันเกี่ยวกับสงคราม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้ออกเนโร ดีครี สั่งการให้สมบัติ – และวัตถุที่มีคุณค่าทุกอย่างภายในมือนาซี – ต้องถูกทำลายเมื่อกองทัพของเขาได้อพยพไปนาซีมีเป้าหมายสองอย่างภายในงานศิลปะ อย่างเเรกเป็นการปล้นทรัพย์ธรรมดาภายในสงคราม แต่นาซีจะมีเหตุผลที่ลึกลงไปอย่างที่สองคือ การกำจัดอะไรที่พวกเขามองเป็นยิวที่เสื่อมทราม และสัญลักษณวัฒนธรรมคอมมิวนิสต์ มันจะเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ของการทำลายล้างโชคชะตาของเหยื่อสิบเอ็ดล้านคนของการทำลายล้างได้ถูกสร้างโดยการโฆษณาชวนเชื่อของนาซี และการสร้างอาวุธของงานศิลปะ ภายในชีวะประวัติของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ “Mein Kampf” เขาโจมตีอย่างมุ่งร้ายศิลปะสมัยใหม่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เสื่อมทรามของสังคมศตวรรษที่ยี่สิบที่เสื่อมโทรม นาซีได้นำลัทธิอารยันไปจนสุดขั้วการทำให้มันเป็นรากฐานของเหตุผลของนาซีต่อการทำลายล้างชาวยิว และบุคคลอื่นที่ไม่สอดคล้องกับการเหมารวมขอวอารยันนโยบายของการทำลายล้างเหล่านี้ได้รวมเอาการทำลายมรดกวัฒนธรรมของกลุ่มเหล่านี้ดูเเล้วต่ำต้อยโดยนาซีงานศิลปะที่สร้างโดยไม่ใช่อารยัน ถูกมองเป็นงานศิลปะเสื่อมทรามโดยนาซี ตลอดไม่กี่ปีต่อมานาซีได้กำจัดและขโมยงานศิลปะเสื่อมทรามจำนวนมากจากประเทศและการสะสมของเอกชนทั่วยุโรปเรื่องราวของบุคคลที่กล้าหาญและผูกพันเหล่านี้ได้เข้ามาสูจอใหญ่ภายใน “The Monuments Men” เป็นครั้งเเรก ภาพยนตร์เขียน กำกับ และแสดงโดยจอร์จ คลูนีย์ เขาได้กล่าวว่า มันยากที่จะทำเรื่องราวใดก็ตามที่บุคคลไม่รู้ มันเป็นภาพยนตร์การปล้น มันเป็นภาพยนตร์สงคราม และในที่สุดมันเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับบุคคลเต็มใจเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างได้รักษาอะไรที่ดีที่สุดแก่เรา ถ้าไม่มีมอนิวเม้นท์ แมน แล้ว ผลงานศิลปะที่หาค่าไม่ได้จำนวนมากเหล่านี้จะหายไปจากโลกตลอดกาลทหารของฮิตเลอร์ได้ทำลายหรือขโมยผลงานศิลปะหาค่าไม่ได้จำนวนมาก และโมนิวเน้นท์ เทน ได้ถูกมอบหมายงานให้ค้นหาและเอากลับคืนมามากที่สุดเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้ ผลงานศิลปะที่ไม่น่าเชื่อเหล่านี้ได้ถูกรักษาไว้โดยโมนิวเม้นท์ เมน ชีวิตจริงของสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาบรรลุความสำเร็จสูงมาก เนื่องจากความพยายามของพวกเขา ผลงานศิลปะมากกวาห้าล้านชิ้นได้ถูกรักษา หรือค้นพบภายในสถานที่ซ่อนของนาซีในขณะที่การคุกคามถูกเปิดเผยต่องานศิลปะหาค่าไม่ได้เป็นความจริง เนโร ดีครี ไม่เคยถูกดำเนินการอย่างแท้จริง คำสั่งได้ถูกให้แก่รัฐมนตรีอาวุธยุทโธปกรณ์ อัลเบิรต สเปียร์ ณ จุดนั้นภายในสงครามเขาไม่ได้บอกความจริงกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อัลเบิรตสเปียร์ได้ชักจูงนายพลนาซีไม่ให้ทำตามคำสั่งของฮิตเลอร์ แต่เขาไม่ได้บอกให้ฮิตเลอร์รู้สี่สิบสองวันต่อมาภายหลังจากออกเนโร ดีครี ฮิตเลอร์ได้ฆ่าตัวตาย และหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเยอรมันได้ยอมแพ้เมื่อ ค.ศ 1945 ฮดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ออกเนโร ดีครี สั่งการการทำลายโครงสร้างพื้นฐานป้องกันการใช้ของมันจากการเดินหน้าของพันธมิตรผ่านยุโรป ส่วนหนึ่งของดีครีอ่านว่า อุปกรณ์การขนส่งและการสื่อสารทุกอย่าง สิ่งก่อสร้างทางอุตสาหกรรมและท่าเรือสเบียง และอะไรก็ตามที่มีคุณค่าภายในพื้นที่ไรช์ สามารถใช้ภายในวิถีทางใดก็ตามโดยศัตรูทันทีหรือภายในอนาคตที่มองล่วงหน้าได้เพื่อการทำสงครามจะถูกทำลาย ดีครีได้รวมอะไรก็ตามที่มีคุณค่าได้ส่งเดิมพันสูงเสียดฟ้าแก่โมนิวเม้นท์ แมน และภารกิจที่สำคัญของพวกเขามันเป็นการแข่งขันกับเวลาทันทีที่จะรักษางานศิลปะหาค่าไม่ได้จากการทำลายภายหลังที่ฮิตเลอร์ได้ออกเนโร ดีครี โมนิวเมนท์ เมนได้เเข่งขันเวลาที่จะค้นหาผลงานศิลปะที่ยังคงอยู่ ภายหลังการค้นหามาอย่างยาวนาน ตามเนโร ดีครี ถ้าฮิตเลอร์ได้เสียชีวิตลง งานศิลปทั้งหมดที่นาซีได้ขโมยต้องถูกทำลายหนี้สินที่โลกเป็นหนี้ต่อโมนิวเมนท์ เมนกลุ่มของผู้ชายและผู้หญิงประมาณ 350 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันจาก 13 ประเทศทำงานภายในโครงการอนุสาวรีย์ วิจิตรศิลป และหอจดหมายเหตุระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ระบุโดยจีไอเป็น วีนัส ฟิกซ์เซอร์ หรือ โมนิวเม้นท์ เมน พวกเขาจะประกอบด้วยนักประวัติศาสตรศิลปะ ภัณฑารักษ์ ผู้เก็บเอกสารที่สำคัญ สถาปนิคโมนิวเมนท์ เมน เหล่านี้ ตามที่พวกเขาถูกเรียกถูกมอบหมายให้คุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมของยุโรป เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้ครอบคลุมยุโรป งานของพวกเขาได้กลายเป็นยุ่งยากเหลือเกิน เมื่อใกล้สิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง กลุมของนายทหารภายในอิตาลี – วีนัส ฟิกซ์เซอร์ – ได้พยายามรักษางานศิลปะที่พวกเขาสามารถภายในเศษอิฐของเมืองใหญ่ที่พังทลาย

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *