ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (25)
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (25)
ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์
จากเจซาเบล และเริ่มต้นการปฏิวัติในทางศาสนา เพื่อปราบปรามความ อยุติธรรมในทางเศรษฐกิจ ซึ่งในที่สุดได้ทำให้ราชวงศ์ของออมรีล่มสลาย ลง และอะฮาซิอะฮ์เถลิงอำนาจแทนอะฮับ (850-849) และต่อมาโจรัมจึง ขึ้นมาสืบราชบัลลังก์แทน (849-842)
842-748 ก่อนคริสต์ศักราช ราชอาณาจักรแห่งเจฮู
ในปี 842 เจฮู ผู้เป็นนักรบได้รับการยุยงส่งเสริมจากเอลิชะฮ์ จึงเป็น ผู้นำการก่อกบฏต่อกษัตริย์ และเหล่าขุนนางที่โง่เขลาป่าเถื่อนและกดขี่ข่ม เหงของพระองค์ โจรัมแห่งยูดาถูกสังหารในการสู้รบแบบล้างเลือดกัน ในปีเดียวกันนี้ซาลมะนีเชิร เข้าโจมตีและทำให้ฮาซาเอลแห่งดามัสกัสต้อง พ่ายแพ้ (842-806) ผู้ซึ่งเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ๆ เจฮูส่งบรรณาการอย่าง เสียไม่ได้ ถึงอย่างไรอำนาจของฝ่ายอัซซีเรียเองก็กำลังจะล่วงลับไป และ ฮาซาเอลฟื้นคืนอำนาจกลับมาใหม่ แล้วจึงก้าวออกไปจนได้รับชัยชนะ ในจักรวรรดิช่วงการปกครองของเจฮู เขายึดเอาจอร์แดนมาไว้ในครอบ ครอ ในสมัยของเยาฮัซ (814-798) เขาได้ลดอิสราเอลลงให้เป็นรัฐเมืองขึ้น เข้ายึดครองฟิลิสเตีย และนำเอายูดามาอยู่ใต้บรรณาการที่ต้องจ่ายอย่าง มโหฬาร ในขณะเดียวกันเขาได้นำเอารัฐต่างๆ ของชาวอัรมาเนียมารวม ไว้เป็นสหรัฐ ฮาซาเอลสิ้นพระชนม์ในปี 806 ก่อนคริสต์ศักราช ก่อนที่ อัซซีเรียจะกลับมาสู้รบกับดามัสกัสเพียงเล็กน้อย การรณรงค์ต่อสู้ของ อะดาดนิรารีที่สาม ในปี 806 ทิ้งให้อะรามอ่อนแอเกินไปที่จะรวมตัวกันเป็น จักรวรรดิได้ โจอัซ (798-782) นำอิสราเอลเข้าสู่สงครามกับเบน ฮะดาดที่ สอง (806-750) ในการศึกครั้งนี้ทำให้พระองค์ได้ดินแดนของอิสราเอลที่สูญ เสียไปกลับคืนมา ต่อมาพระองค์หันกลับมาเป็นศัตรูกับยูดาและทำให้
อมาซีอะฮ์ต้องพ่ายแพ้ (797-769) เข้ายึดเยรูซาเล็ม และลดราชอาณาจักรทางตอนใต้ให้เป็นรัฐในอารักขา ในระหว่างการครองราชอันยาวนานของ
เจโรบ่วมที่สอง (783-748) ผู้เป็นราชบุตรของอมาชีอะฮ์ อิสราเอลเจริญเติบ โตอย่างร่ำรวยและแข็งแกร่ง ดามัสกัสและฮามัชกลับมาอยู่ใต้อำนาจการ ปกครองของชาวอิสราเอล ซึ่งนับเป็นครั้งแรกจากสมัยของกษัตริย์โซโล มอน อะมอสและโฮเซ ทำนายเพื่อเป็นการต่อต้านกับความเสื่อมสลายและ การฉ้อราชบังหลวงในยุคสมัยของเจโรบ่วม เซคคาริยะฮ์ (748) ซึ่งเป็น กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ ถูกซัลลัมลอบปรงพระชนม์
748-722 ก่อนคริสต์ศักราช วาระสุดท้ายแห่งอิสราเอล
ซัลลัม (748) ถูกเมนาเฮม (748-738) ฆ่าสังหารจากการก่อความ ไม่สงบขึ้นในเมือง ในปีสุดท้ายของเขา เมนาเฮมจ่ายบรรณาการให้กับติก ลาษไพล์เซอร์ที่สาม (745-728) พี่กาเฮีย (738-736) ถูกคณะผู้ต่อต้านพวก อัซซีเรียน ซึ่งนำโดยพีกะฮ์ (736-732) ปลงพระชนม์ เรซินกษัตริย์แห่ง อะราม (750-732) กับพี่กะฮ์เข้าร่วมเป็นสันนิบาตเพื่อต่อสู้กับพวกอัซซีเรียน และเมื่ออะฮาชแห่งยูดาปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในแผนการร้าย จึงประกาศ สงครามกับยูดา อะฮาซจึงร้องขอไปยังอัซซีเรียเพื่อการช่วยเหลือ ติกลาษ ไพค์เซอร จึงยกทัพมาทางตะวันตกในปี (734-732) และปราบปรามทั้ง อิสราเอลและดามัสกัสจนราบคาบ (732) แผ่นดินอิสราเอลส่วนใหญ่และ อะรามทั้งหมดถูกเปลี่ยนให้เป็นจังหวัดต่างๆ ของอัซซีเรีย โฮเซอ์ (732-723) ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ ณ แผ่นดินซามาเรียโดยพวกอัซซีเรียน ราวๆ ปี 725 พระองค์ลุกขึ้นก่อกบฏโดยหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือจาก เตฟ นัคเต ผู้ปกครองชาวอียิปต์ผู้หนึ่งแห่งราชวงศ์ที่ 24 ไม่นานนักโฮเซอ์ จึงถูกพวกอัซซีเรียนจับกุมตัวได้ และในปี 722 แผ่นดินซามาเรียจำต้อง ยอมจำนนภายหลังถูกล้อมเมืองอยู่เป็นเวลาสามปี กษัตริย์ซากอนที่สอง (722-706) มีการกล่าวอ้างตนว่า พระองค์ได้จับกุมชาวอิสราเอลจำนวน 27,290 คนไว้เป็นเชลย
922-587 ก่อนคริสต์ศักราช ราชอาณาจักรแห่งยูดา
922-842 รีโฮบ่วม (922-915) สวรรคตหลังจากการโจมตีของชิสฮัก ได้ไม่นาน สงครามกลางเมืองยังคงดำเนินอยู่เป็นระยะๆ ตลอดการครอง ราชย์ของอบียะฮ์ (915-913) และอะซา (913-873) เจโฮชาฟัต สร้างสันติ ภาพกับอะฮับแห่งอิสราเอล และร่วมมือกับเขาทำสงครามกับดามัสกัส มี การปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งนักบันทึกเหตุการณ์กล่าวว่าเจโฮชาฟัตเป็นผู้กระทำ ราชบุตรของเจโฮชาฟัตทรงพระนามว่า เจโฮรัม (849-842) ขึ้นครองราชย์ สืบบัลลังก์ต่อ และสืบต่อโดยราชนัดดาทรงพระนามว่า อะฮ์ชีอะฮ์ (842) ผู้ซึ่งพระองค์ถูกปลงพระชนม์ในระหว่างการก่อการปฏิวัติของเจฮู
842-836 อษาลิอะฮ์ พระราชชนนี ทรงเข้ายึดอำนาจ และทรงพยาม ยามที่จะทำให้ราชบัลลังก์ของพระนางมั่นคงด้วยกับการทำลายล้างศาสนา ของศาสดาดาวูดหรือกษัตริย์เดวิด บุตรชายคนเล็กของอะฮ์ซีอะฮ์ทรงหลบ หนีไปได้ อย่างไรก็ตามเมื่อถึงปี 836 เจโฮซ ได้รับการหนุนหลังจากปุโรหิต ชั้นสูงให้ขึ้นครองราชย์ และในที่สุดอษาลิอะฮ์ถูกปลงพระชนม์
836-769 เจโฮซ (836-797) ขึ้นครองราชในรัชสมัยเดียวกันกับการ ขึ้นสู่อำนาจอันยิ่งใหญ่ของฮาซาเอล พระองค์ถูกบังคับให้ต้องจ่ายบรรณ าการอย่างมากมายกับอะราม อมาซิอะฮ์ราชบุตรของพระองค์ (797-769) ไม่ได้ทำให้ผู้คนแห่งยูดาดีขึ้นแต่ประการใด แต่กลับต้องสูญเสียอิสรภาพ ของพระองค์ในการสู้รบกับโจฮาซแห่งอิสราเอล
769-734 การครองราชของอุซซิอะฮ์ (อซาริอะฮ์) ชะตากรรมของยูดาเปลี่ยนไปในช่วงแห่งการปกครองของอุชซิอะฮ์ การส่งกองทัพเข้าไปในฟิลิสเตีย อีดอม และทางตอนเหนือของอารเบีย นับเป็นการนำเอาเส้นทางการเดินทางของกองคาราวานมาไว้ใต้อำนาจของยูดา ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจโรบ่วม อุซซะอะฮ์ผู้เป็นคู่ต่อสู้อันทรงพลังในอิสราเอลของ
พระองค์ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นหัวหน้าของกองกำลังผสมทางตะวันตก เพื่อต่อสู้กับอัซซีเรีย พระองค์ได้รับความปราชัยต่อติกลาษไพล์เซอร์ ก่อนปี 738 เล็กน้อย แต่ไม่เหมือนกันกับฮามาษและพันธมิตรทางตอนเหนือของ พระองค์ โดยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ในบั้นปลายแห่งชีวิต อุซซาอะฮ์ กลายเป็นโรคเรื้อน จึงละออกจากพระราชวังของพระองค์ไปอยู่อย่างโดด เดี่ยว โจษามพระราชบุตรของพระองค์จึงทรงขึ้นเป็นมหาอุปราช (749-734) โจษามมีชีวิตอยู่หลังการสิ้นพระชนม์ของราชบิดาเพียงเล็กน้อย (734)
734-715 อะฮาซ ขึ้นครองบัลลังก์ในปี 734 ทันเวลากับการเผชิญ หน้ากับการถูกโจมตีจากกองทัพผสมของซีโร-เอฟไรไมทย์ นั้นคือพี่กะฮ์แห่ง อิสราเอลกับราชินีแห่งอะราม อะฮาชกระทำการที่ขัดต่อคำแนะนำของ ศาสดาอิชาอะฮ์ โดยไปขอความช่วยเหลือจากพวกอัชซีเรียน ซึ่งเป็นเหตุ ให้พวกอัซซีเรียนเข้าทำลายกรุงดามัสกัสและอิสราเอล ซึ่งเป็นผลติดตาม มา
715-687 การครองราชของฮีซาไกย์ พระองค์ทรงออกกฎหมายเพื่อ ปฏิรูปศาสนาและการเมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทั่วไปที่จะฟื้นฟูถึง ความเจริญรุ่งเรืองแห่งวันเวลาของกษัตริย์เดวิด ฮีซาไกฮ์เข้าร่วมเป็นกอง ทัพผสมอันมีกำลังอันไพศาล เพื่อสู้รบกับกษัตริย์อัซซีเรียองค์ใหม่ซึ่งทรง พระนามว่า เซนนาซีริบ (705-682) ในปี 701 เซนนาซีริบเดินทัพไปทาง ตะวันตกเพื่อเผชิญทัพกับฮีซาไกซ์และโฟนีเซียน ฟิลิสเตียและอียิปต์ ผู้เป็น พันธมิตรของพระองค์ กษัตริย์ลูลีแห่งชิดโดเนียนหลบหนีอย่างตื่นตระหนก ไปยังไซปรัส กองทัพอียิปต์ภายใต้การนำของชาบากา ถูกตีแตกพ่าย ณ เอลตีเกซ์ และฟิลิสเตียยอมจำนน เซนนาซีริบจึงทำลายกำแพงเมืองยูดา ลงเป็นจำนวน 46 แห่ง ตามที่ตัวเขาได้รายงานไว้เอง และนำเอาฮีซาไกฮ์ ไปคุมขังไว้ในนครเยรูซาเล็ม “ประดุจดังนกอยู่ในกรง” ฮีซาไกฮ์ยอมจำนนโดยยอมจ่ายบรรณาการเป็นจำนวนมาก
มีความสับสนเกิดขึ้นในแหล่งต่างๆ ของคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องการ รณรงค์ต่อสู้ของเซนนาซีริบ มีหลักฐานที่ขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัดว่ามีการ รณรงค์ต่อสู้ของเซนนาซีริบที่แยกจากกันรวมสองครั้ง ครั้งหนึ่งในสมัยของ ชาบากา อีกครั้งหนึ่งในสมัยการครองราชของตะฮารโก (ภายหลังปี 689) ที่มีการเล็งดูอยู่ในเนื้อหาของไบเบิล และในช่วงสุดท้ายของการครองราช ของเซนนาซีริบ นครเยรูซาเล็มถูกฝ่ายอัชซีเรียยึดครองอีกครั้ง แต่ก็รอด พ้นจากการถูกทำลายลงได้อีกครั้งหนึ่ง
687-640 มานัสเซะฮ์ (687-642) และราชบุตรของพระองค์ชื่ออะมอน (640-632) ขึ้นครองราชในฐานะเป็นหุ่นเชิดของฝ่ายอัชซีเรีย ในระหว่างการ ปกครองของอีชารฮัดดอน (681-670) และอซูร บานาปาล (669-627) มานัส เซะฮ์เป็นที่กล่าวขวัญถึงโดยเฉพาะเป็นพิเศษในคัมภีร์ไบเบิล ในเรื่องลัทธิ การรวมเอาความเชื่อที่ต่างกันมาไว้ด้วยกัน ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าก็จะต้อง รวมเอาลัทธิความเชื่อของชาวอัซซีเรียนในทางราชการและการพลีเด็กชาย เพื่อการบูชายัญ
640-609 การครองราชของโจซิอะฮ์ การเสื่อมโทรมที่ดำเนินไปของ อำนาจแห่งอัซซีเรียในช่วงปีสุดท้ายของกษัตริย์อชูร บานาปาล และใน ระหว่างการครองราชของบรรดาผู้สืบสันติวงศ์ของพระองค์ที่อ่อนแอ ถือเป็นผลกระทบอย่างอ่อนไหวต่อการเมืองของฝ่ายยูดา ในช่วงแปดปีแห่ง การครองราชของพระองค์ โจซิอะฮ์ภายใต้การแนะนำของบรรดาพี่ชายคน โตของพระองค์ “เริ่มแสวงหาพระเจ้าแห่งเดวิดผู้เป็นบรรพบุรุษของพระองค์” นั้นก็คือ การบอกปัดบรรดาพระเจ้าต่างๆ ของพวกอัซซีเรียนที่เป็นนาย เหนือหัวของพระองค์ ในปี 627 ราวๆ ช่วงเวลาการสิ้นพระชนม์ของ อซูรบานาปาล โจซิอะฮ์ย้ายเข้ามาอยู่ในดินแดนเดิมของอิสราเอล โดยผนวกเอาจังหวัดต่างๆ ของฝ่ายอัซซีเรียเข้ามา นั้นคือซามาเรีย กิลิด และกาลิลี ในช่วงเวลาเดียวกันนี้พระองค์ได้จัดตั้งกองกำลังทหารไว้ตามแนว เวียมารีส
ในปาเลสเตีย ในปี 622 โจซิอะฮ์เปิดโครงการด้านการเมืองและศาสนาอย่าง เต็มอัตราขึ้น เพื่อการสถาปนาอาณาจักรแห่งเดวิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ได้มีการ จัดพิมพ์หลักคำสอนของดิวธิโรโนมี อันเป็นตำรากฎหมายที่ถูกลืมเลือนไป และสร้างฐานรากของการปฏิรูปศาสนาลัทธิความเชื่อที่แปลกปลอม และ อุตริกรรมต่างๆ ถูกยกเลิกจนหมดสิ้น การเคารพภักดีถูกรวมศูนย์มาไว้ ที่กรุงเยรูซาเล็ม นับเป็นความอับโชคที่การครองราชของโจซิอะฮ์และยุคทอง ยุคใหม่ของยูดาต้องถูกบั่นทอนลง เมื่อปี 609 โจซิอะฮ์ต้องสิ้นพระชนม์ลง ในการสู้รบที่เมกิดโด เพื่อเป็นการถ่วงเวลาต่อต้านกษัตริย์เนคโคที่สอง ไม่ให้มีโอกาสไปขอความช่วยเหลือจากฝ่ายอัซซีเรีย
609-587 การล้มสลายของอาณาจักรยูดา
เจโฮฮัซที่สอง (609) ครองราชอยู่เพียงสั้นๆ ก่อนที่จะถูกเนคโคปลด ออกจากตำแหน่ง และตั้งเจโฮไออ์คิม (609-598) ขึ้นมาเถลิงอำนาจแทน เจโฮไออ์คิม มอบสัตยาบันของพระองค์ต่อให้กับเนบูเซดเรชชาร ภายหลัง จากที่อียิปต์ประสบความพ่ายแพ้ ณ คารซีมิช (605) แต่ก่อกบฏในปี 601 บางทีอาจเป็นช่วงเวลาหลังจากที่เนคโคพ่ายแพ้ต่อกษัตริย์เนบูเซดเรซซาร ณ ชายแดนของประเทศอียิปต์ในปี 601 ในปี 598 เนบูเซดเรชซารนำกอง ทัพของพระองค์เข้าพิชิตยูดา โจโฮไออ์คิมสิ้นพระชนม์ (บางทีอาจเกิดจาก ความรุนแรง) ปล่อยให้ราชบุตรของพระองค์ต้องจ่ายค่าโง่ของพระองค์ เจโฮไอซินครองราชย์เพียงสามเดือน (598-597) ก่อนที่เยรูซาเล็มจะล่มสลาย ลง ตัวพระองค์เองและผู้คนของพระองค์เป็นจำนวนมากถูกนำตัวเป็นเชลย ไปยังนครบาบิโลน เนบูชัดเรซซารทรงแต่งตั้งซีดีเคียฮ์ขึ้นแทน เจโฮไอชิน (597-587) โดยไม่สนใจต่อคำประท้วงอย่างชัดเจนของเจรีเมฮ์ ซีดีเคียฮ์ถูกยั่วยุให้ก่อกบฏ โดยเป็นสันติบาตกับอียิปต์ เนบูเซดเรซซารจึงเข้ายึดกรุงเยรูซาเล็มไว้ได้ในเดือนมกราคม 588 เมืองหลวงถูกตีแตกพ่าย โบสถ์วิหาร