jos55 instaslot88 Pusat Togel Online โอลกา เลงเยล ห้าปล่องไฟ - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

โอลกา เลงเยล ห้าปล่องไฟ

โอลกา เลงเยล ห้าปล่องไฟ

เมื่อจูดี้ การ์แลนด์ ไปเหนือสายรุ้งเป็นโดโรธี เกลจากภาพยนตร์คลาสสิค ค.ศ 1939 “Wizard of Oz” – พ่อมดแห่งเมืองออซ เธอเกือบจะปล่อยทิ้งโดยไม่มีการร้องเพลงที่ได้กลายเป็นเพลงลายเซ็นของเธอ ด้วยความเห็นของการฉายภาพยนตร์ ผู้บริหารเอ็มจีเอ็มได้เอา Over the Rainbow ออกไป เพราะว่าพวกเขารู้สึกทำให้ภาพยนตร์มันช้าลงและเพลงจะเศร้าเกินไปผู้สร้างได้เข้ามา บอกหัวหน้าโรงถ่ายภาพยนตร์ว่า เพลงต้องอยู่ หรือไม่ผมต้องไป ในที่สุดเพลงได้ถูกนำกลับมาภายในภาพยนตร์ คุณสามารถจินตนาการโลกจะเป็นอย่างไรที่ไม่เคยได้ยินเพลงนี้ ขอขอบคุณพระเจ้าต่อจูดี้ การ์แลนด์ เมี่อการแสดง และการแปลความหมายของ Over the Rainbow ของเธอได้ช่วยรักษาเพลงไว้ภายในภาพยนตร์เพลงที่น่าทึ่งนี้จบลงด้วยการชนะรางวัลออสการ์และสมาคมอุตสาหรรมบันทึกเสียงของอเมริกาได้ออกเสียงมันเป็นเพลงลำดับหนึ่งของศตวรรษที่ 20เพลงได้ถูกเขียนโดยฮาร์โรลด์ อาร์เลน และยิป ฮาร์เบิรก อาร์เลนได้คิดทำนองในขณะที่นั่งอยู่ภายในรถยนต์ของเขาข้างหน้าร้านยาของชวอบส์ต้นกำเนิดภายในฮอลลีวูด ฮาร์เบิรกไม่ชอบมันตอนแรก เพราะว่าเขาคิดว่ามันช้าเกินไป ภายหลังที่อาร์เลนได้ปรึกษากับไอรา เกชวิน เเล้ว เขาได้เร่งความเร็วทำนองของเพลงนี้ เพลงนี้ได้รับความสนใจใหม่เมื่อมันได้ถูกนำไปร้องเมื่อ ค.ศ 1993โดยอิสราเอล คามาคาวิโว นักร้องชาวฮาวาย เป็น Somewhere Over the Rainbow เพลง Over the Rainbow ได้กลายเป็นผูกติดกับตำนานใหม่เนื้อร้องของเพลงกลายเป็นเกี่ยวกับประสบการณ์ของยิวระหว่างการปราบปราม การกดขี่ และความรุนแรงจากการทำลายล้าง บางทีมันเป็นเพลงที่มีชื่อเสียงและไอคอนมากที่สุดของศตวรรษที่ 20 เพลงมักจะมีความหมายเดียวกับประสบการณ์สงครามโลกครั้งที่สองของชาวยิว มันได้ถูกเขียนเมื่อ ค.ศ 1939 ด้วยกลุ่มเนื้อร้องที่เข้มเเข็งเกี่ยวกับการหลบหนีเลยพ้นสายรุ้งไปสู่ดินแดน ตรงที่หมู่เมฆตามหลังอยู่ ความดึงดูดของเพลงได้ต่อเนื่องถึงวันนี้ และได้ยึดหัวใจของบุคคลจำนวนมากตามเส้นทางแต่ความเป็นจริงของเรื่องราวเบื้องหลังเพลงซับซ้อนมากขึ้น แม้ว่าด้วยความรู้สึกที่กว้างขึ้น โลกได้ยุ่งยากลึกลงไปด้วยเหตุการณ์ตีแผ่ภายใต้การปกครองของนาซีภายในยุโรป ผู้เขียนเพลงอาจจะหมกมุ่นมากขึ้นด้วยการทำให้จังหวะเบาลงภายในวิถีทางที่มันจะสามารถร้องได้ดีทึ่สุดโดยเด็กหญิงวัยรุ่นเด็กหญิงวัยรุ่นได้ปรากฏขึ้นเป็นจูดี้ การ์แลนด์ภายใน ภาพยนตร์ Wizard of Oz อายุ 16 ปีเท่านั้น ณ เวลานั้น และได่กลายเป็นดาราทันทีจากความสำเร็จของภาพยนตร์The Wizard of Oz ภาพยนตร์จินตนาการเพลงอเมริกัน ค.ศ 1939 สร้างโดยเมโทร-โกลด์วิน-เมเยอร์ – เอ็มจีเอ็ม การปรับจากนิยายจินตนาการของเด็ก 1990 ของเเฟรงค์ บอม The Wonderful Wizard of Oz เป็นนิยายเด็กแต่กระนั้นภาพยนตร์ The Wizard of Oz ได้กลายเป็นที่คุ้นเคยมากกว่าหนังสือที่เป็นรากฐานของมัน หนังสือได้ เล่าเรื่องราวของโดโรธี เกลเด็กหญิงจากแคนซัสและหมาสีดำตัวน้อยของเธอ โตโต นานมาแล้ว ณ ดินเเดนที่ห่างไกลภายในเมืองเเคนซัส บนทุ่งหญ้าแห่งแคนซัส โดโรธีได้อาศัยอยู่บนฟาร์มภายในบ้านห้องเดียวกับลุงเฮนรี และป้าเอม ในขณะที่สิ่งแวดล้อมน่าเบื่อและสลัว โดโรธียังคงพบความสุขอยู่ภายในการเล่นกับโตโตวันหนึ่งทอร์นาโด ได้เคลื่อนที่ผ่านทุ่งหญ้าแคนซัส ได้พัดเอาเธอและบ้านลอยขึ้นฟ้า ตกลงมาทับเเม่มดเเห่งตะวันออกภายในดินเเดงแห่งออซ และ ร่างกายของเเม่มดได้หายไป เหลือแต่เพียงร้องเท้ามหัศจรรย์สีเงินของเเม่มด ผู้คนแห่งดินแดนออซขอบคุณโดโรธีต่อการฆ่าแม่มดที่ชั่วร้าย และได้ให้รองเท้าอัศจรรย์ของเเม่มดแก่เธอ โดโรธี ต้องการหาทางกลับบ้าน และพวกเขาแนะนำเธอให้ถามพ่อมดยิ่งใหญ่แห่งออซ ปราสาทของพ่อมดอยู่ ณ ปลายสุดของถนนอิฐสีเหลือง ดังนั้นเธอเเละโตโตได้เริ่มต้นทันทีไปหาพ่อมดระหว่างทาง เมื่อเธอกำลังเดินผ่านทุ่งนาเธอได้พบหุ่นไล่กา ดังนั้นเธอได้ถามเขา ฉันกำลังอยู่บนเส้นทางไปพบพ่อมดแห่งออซ เธอรู้จักเขาไหมพ่อมดแห่งออซหรือ ฉันไม่รู้จักใครเลย ที่จริงแล้วฉันไม่รู้จักใครก็ตามเพราะว่าฉันไม่มีสมอง ดังนั้นเราควรจะไปพบพ่อมดด้วยกัน บางทีเขาสามารถให้สมองแก่เธอได้ ตกลงไปด้วยกันเลยโดโรธีและหุ่นไล่กาได้มีการเดินทางของพวกเขาต่อไป คืนนั้นภายในกระท่อมเเห่งหนึ่ง เธอได้พบกับมนุษย์กระป๋อง ยืนนิ่งไปไหนไม่ได้ ดังนั้นเธอได้เทน้ำมันบนข้อต่อของเขา จนเขาสามารถเคลื่อนไหวได้ และมนุษย์กระป๋องคิิดว่าพ่อมดอาจจะสามารถให้หัวใจแก่เขา ดังนั้นเขาได้ขอร่วมกับพวกเขาบนการเดินทางไปสู่เมืองมรกต
พวกเขาได้พบสิงโตตัวใหญ่คำรามใส่โตโตบนเส้นทาง แต่มันไม่น่ากลัวเลย โดโรธีได้เรียกมันสิงโตขึ้ขลาดที่ข่มเหงแม้แต่หมาตัวเล็ก มันยอมรับความจริงนี้ และขอเดินทางไปพบพ่อมด พ่อมดอาจจะสามารถให้ความกล้าหาญแก่มันได้ในที่สุดโดโรธีและเพื่อนของเธอได้มาถึงเมืองมรกต ผู้คุ้มกัน ณ ประตูของเมืองสีเขียวแพรวพราวประหลาดใจได้ยินว่าพวกเขาต้องการพบออซ และไม่มีใครได้ขอมาเยี่ยมหลายปีมาแล้วและได้นำพวกเขาไปสู่ปราสาทของออซ ข้าคือพ่อมดแห่งออซ เธอต้องการอะไรชื่อของฉันคือโดโรธี ฉันต้องการกลับบ้านไปสู่เมืองแคนซัสแล้วไงหุ่นไล่กา เธอต้องการอะไรฉันต้องการมีสมอง ดังนั้นฉันสามารถคิด อ่านและจดจำทุกสิ่งทุกอย่างฉันคือมนุษย์กระป๋อง ฉันต้องการหัวใจ ดังนั้นฉันสามารถมีความรู้สึก เหมือนมนุษย์ธรรมดาแล้วไงเธอสิงโตฉันต้องการความกล้าหาญ ดังนั้นบุคคลทุกคนจะกลัวฉันพ่อมดได้บอกจะช่วยเหลือให้โดโรธีกลับบ้าน ให้สมองแก่หุ่นไล่กา ให้หัวใจแก่มนุษย์กระป๋อง และให้ความกล้าหาญแก่สิงโต เเต่จะไม่มีความช่วยเหลือจะถูกให้จนกว่าแม่มดชั่วร้ายแห่งตะวันตกได้ถูกฆ่าพวกเขาได้เดินทางไปพบแม่มดชั่วร้ายแห่งตะวันตก ระหว่างทางแม่มดได้ส่งฝูงหมาป่าฉีกร่างโดโรธีและเพื่อนของเธอ แต่หมาป่าจะตกใจสิงโตและวิ่งกลับ แม่มดได้สั่งอีกาไล่พวกเขาออกไป ด้วยความกลัวหุ่นไล่ากามันได้บินกลับ แม่มมดได้สั่งผิ้งต่อยพวกเขา แต่มันไม่สามารถต่อยมนุษย์กระป๋อง ในที่สุดเเม่มดได้มุ่งมั่นทำร้ายโดโรธีแต่ไม่สามารถทำได้เพราะว่ารองเท้าสีเงินที่เธอใส่มีพลังมหัศจรรย์ แม่มดได้พยายามจะชิงรองเท้าจากโดโรธี ดังนั้นเธอได้สาดน้ำบนแม่มด ทันทีแม่มดชั่วร้ายตัวหดลงเป็นหมาพุดเดิ้ลตัวเล็กเมื่อโดโรธีและเพื่อนของเธอชนะแม่มดแห่งตะวันตก พวกเขาได้รีบเร่งกลับมาสู่พ่อมดแห่งออซ การได้รู้ความจริงว่าพ่อมดหัวยักษ์คือ ชายแก่ร่างเล็กใจดี พวกเขาได้ร้องของรางวัลจากพ่อมดแห่งออซเรามีความสุขที่ชนะแม่มดชั่วร้าย รางวัลของเราอยู่ที่ไหน เรามีความสุขที่ชนะแม่มดชั่วร้าย รางวัลของเราอยู่ที่ไหนมาที่นี่ หุ่นไล่กา มาและรับเอาสมองของเธอ ตรงนี้เป็นเข็มหมุดอันเล็กปักมันบนหัวของเธอ ว้าว ฉันฉลาดแล้วในขณะนี้ ความคิดของฉันชัดเจนทันที ฉันสามารถอ่านและเขียนได้อย่างเต็มที่ เพราะว่าในขณะนี้ฉันมีสมองเหมือนมนุษย์มนุษย์กระป๋อง เธออยากมีหัวใจใช่ไหม ข้าจะให้หมอนหัวใจแก่เธอนี่เป็นหัวใจของฉันหรือ ฉันชอบมันมาก ฉันสามารถรู้สึกรัก และอารมณ์หลายอย่างเปลี่ยนแปลงเหมือนหัวใจมนุษย์สิงโตขี้ขลาด เธอต้องการกล้าหาญใช่ไหม ดื่มน้ำมรกตนี้ และเธอจะพบความกล้าหาญของเธอว้าว ฉันกล้าหาญกว่าใครก็ตาม ตั้งแต่นี้ไปฉันจะไม่กลัวอีกแล้ว ใครก็ตามคุกคามฉัน ฉันจะไม่กลัว ฉันกล้าหาญและไม่กลัวใครก็ตามในกรณีของโดโรธีที่อยากกลับบ้าน พ่อมดได้พาเธอไปขอความช่วยเหลือจากนางฟ้ากลินดา นางฟ้าได้บอกให้เอารองเท้าสีเงินแตะกันสามครั้งและกล่าวถึงสถานที่ที่เธอยากจะไปโดโรธีได้กอดโตโตไว้และได้แตะรองเท้าสามครั้ง แล้วพูดว่าอยากจะกลับบ้านที่เเคนซัสของเธอ ทันใดลมได้พัดเธอและโตโตเป็นเกลียวไปสู่อากาศ ในที่สุดพวกเขาได้กลิ้งลงบนทุ่งหญ้าที่คุ้นเคย ป้าเอมได้วิ่งมาและกอดเธอ โดโรธีดีใจที่กลับมาบ้าน และบอกป้าของเธอเกี่ยวกับเพื่อนของเธอ เเละการเดินทางของพวกเขาภายในดินแดนแห่งออซ

โอลกา เลงเยล เป็นนักโทษยิว ฮังการี ณ ค่ายกักกันเอาสชวิทซที่เธอได้เล่าเรื่องภายในหนังสือขายดีที่สุดของเธอ “Five Chimneys” เธอได้เล่าอย่าจริงใจและไม่ออมชอม เรื่องราวที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งตลอดกาลความจริงนี้ได้บันทึกเหตุการณ์ประจำวันส่วนตัวของผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่รอดชีวิตความฝันร้ายของเอาสชวิทซ์”Five Chimneys” พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ 1946 ภายในฝรั่งเศสชื่อว่า “Souvenirs de I’au-dela” จะเป็นบันทึกความทรงจำของโอลกา เลงเยล เเพทย์ชาวยิว โรมาเนีย เกี่ยวกับช่วงเวลาของเธอเป็นนักโทษภายในค่ายกักกันนาซี เอาสชวิทซ์ ต่อมาฉบับปกอ่อนอเมริกันได้ใช้ชื่อว่า “I SurvivedHitler’s Ovens ” ฉบับใหม่ไม่นานมานี้มากขึ้นใช้ชื่อว่า ” Five Chimneys : A Woman Survivor’s True Story of Auschwitz”สามสิปปีต่อมา การเปิดเผยอย่างชัดเจนของเธอของเอาชวิทซ์ บันดาลใจนิยายได้รางวัลหนังสือแห่งชาติของวิลเลียม สไตรอน “Sophie’s Choice” และได้สร้างเป็นภาพยนตร์นำแสดงโดยเมอริล สตรีป จะแสดงเป็นโซฟี Sophies Choice. อธิยายความโหดร้ายที่เกิดขึ้นภายในค่ายเอาสชวิทซ์ภายใต้อำนาจของนาซีระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เอ้าสชวิทซ์อ้างถึงเครือข่ายของค่ายกักกัน และการทำลายล้างตั้งอยู่ภายในโปเเลนด์ที่ยึดครองโดนาซี ดังที่โซฟี ได้อธิบายภายในนิยายวิลเลียม สไตรอน ทำการวิจัยอยู่หลายปีเพื่อที่จะเขียน Sophie Choiceระหว่างช่วงเวลาของเขาภายในนิวยอร์คเมื่อ ค.ศ 1947 เขาได้พบผู้หญิงชาวโปแลนด์คนหนึ่งรอดชีวิตจากการทำลายล้าง ต่อมาเขาไปเยี่ยมเอาสขวิทซ์ และได้ใช้เวลาหลายปีอ่านเกี่ยวกับการทำลายล้างเป็นส่วนหนึ่งของการตระเตรียมการเขียน ตลอดนิยายของเขา วิลเลียม สไตรอนได้อ้างอิงหนังสืออื่นหลายเล่มเมื่อ ค.ศ 1982 นิยายของวิลเลียม สไตรอน Sophie Choice ได้ฉายเป็นภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ ภาพยนตร์ที่นิยมแพร่หลายมากที่สุดที่เชื่อมโยงกับการทำลายล้าง Sophie’s Choice : ทางเลือกของโซฟี ได้อ้างสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางศีลธรรมกับผลตามมาของการลายล้าง เรียกชื่อตามนิยายของวิลเลียม สไตรอน ภายในเรื่องราว โซฟี ผู้รอดชีวิตการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิว ได้สูญเสียของความบริสุทธิ์เข้ามาจากการถูกบังคับให้ทำการตัดสินใจที่เจ็บปวดโดยนายทหารนาซี นับแต่นั้นมาถ้อยคำได้กลายเป็นการอ้างอิงทางวัฒนธรรมต่อทางเลือกที่ยุ่งยากใดก็ตาม เมื่อบุคคลต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญเมื่อเดินทางมาถึงเอาสวิทซ์ โซฟีได้ถูกบังคับให้เลือกลูกคนไหนของเธอควรจะถูกส่งไปห้องแก้สและฆ่า ถ้าเธอไม่ทำการเลือ ลูกทั้งสองคนจะถูกฆ่า ด้วยความสิ้นหวัง เธอได้เลือกส่ง อีวา ลูกสาวของเธอไปยังห้องแก้สเพื่อการรักษาชีวิตลูกชายของเธอ ลูกชายของโซฟีถูกส่งไปที่ค่ายเด็กและอีวาได้ถูกส่งไปยังห้องแก้สภายในเตาเผาศพที่สองเธอเลือกที่จะเสียสละลูกสาวของเธอที่จะรักษาชีวิตลูกชายของเธอ เธอเลือกลูกชาย เเจน ส่วนหนึ่งเพราะว่าเขาดูเหมือนอารยัน ดังนั้นเธอคิดว่าเขามีโอกาสที่ดีกว่าของความอยู่รอด ดังนั้นเธอได้กล่าวว่าลูกชายของเธอสีบลอนด์เเละดูเหมือนเด็กเยอรมันคนใดก็ตาม โดยทั่วไปเด็กชายแข็งแรงมากกว่าระหว่างช่วงเวลาที่ลำบากโซฟีไม่เคยบอกใครก็ตามเกี่ยวกับการเลือกที่เธอต้องเลือก จนกระทั่งในที่สุดเธอได้บอกแก่สทิงโก ตอนแรกเธอบอกเขาว่าลูกสาวของเธอได้ถูกพาไปฆ่า และลูกชายของเธอถูกยอมให้อยู่กับเธอเท่านั้น จนเขาได้ถูกพาไปที่ค่ายของเด็กโอลกา เลงเยล เกิดภายในฮังการี ชีวิตของเธอภายในฮังการีก่อนจะมีสงคราม เธอได้เล่าความสุขของเธอและการมีชีวิตอยู่อย่างร่ำรวยเป็นภรรยาของแพทย์ภายในเมืองเล็ก สามีของเธอเป็นศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียง และพวกเขามีชีวิตอย่างสุขสบายกับลูกชายสองคน แต่กระนั้นชีวิตของพวกเขาได้พลิกคว่ำเมื่อนาซีได้บุกฮังการีเมื่อ ค.ศ 1944 โอลกา เลงเยลและครอบครัวของเธอได้ถูกบังคับออกจากบ้านของเธอ และถูกส่งไปที่ค่ายกักกันเอาสชวิทซ์ พวกเขาถูกถอดตัวตน ศักดิ์ศรี และความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ในขณะนี้พวกเขาเพียงแค่เป็นนักโทษคนหนึ่งของหลายคน ระบุตัวตนโดยตัวเลขเท่านั้น
ชีวิตภายในค่ายเป็นความฝันร้าย นักโทษขึ้นอยู่กับสภาวะความไม่เป็นมนุษย์ แรงงานบังคับ และกลัวความตายอยู่เสมอ พวกเขาจะขาดอาหารน้ำดื่ม และอนามัยพื้นฐาน โอลกา เลงเยล และนักโทษเพื่อนของเธอได้สัมผัสต่อความโหดร้ายของการฆ่าหมู่ และการมองเห็นปล่องของเตาเผาศพที่เผาใหม้อยู่เสมอเตาเผาศพ 1 ทำงาน ณ เอาสชวิทซ์ ตั้งแต่ ค.ศ 1940 ถึง ค.ศ 1943 ตามการคำนวณโดยผู้มีอำนาจเยอรมันแล้ว 340 ศพจะถูกเผาทุกยี่สิบสี่ชั่วโมง ภายหลังการสร้างเสร็จของเตาเผาศพสี่เตากับห้องแก้สภายในออสชวิทซ์ 2 เบียร์เคเนา การเผาศพภายในเตาเผาศพ 1 ได้ถูกยกเลิกไปโอลกา เลงเยล ได้ถูกส่งไปกับพ่อเเม่ สามี และลูกสองคนของเธอไปที่เอาส์ชวิทซ์ – เบียร์เคเนา เธอได้ถูกสั่งให้ทำงานภายในห้องพยาบาลของเอาสซวิทซ์ ตรงที่เธอได้ถูกติดต่อโดยหน่วยใต้ดินและได้อาสาสมัครกระจายข่าวเป็น สำนักงานไปรษณีย์ ส่งข้อมูลและการสังเกตุเหตุการณ์ การติดต่อของเธอได้กล่าวแก่เธอว่าเราต้องสังเกตุทุกสิ่งทุกอย่างที่มาที่นี่ เมื่อสงครามได้สิินสุดลง โลกต้องรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ มันต้องรู้ความจริง บทบาทของเธอภายในใต้ดินให้เธอเหตุผลที่สดใสต่อชีวิต และเธอได้ทำการสังเกตุรายละเอียดเกี่ยวกับเอาส์ชวิทย์โอลกา เลงเยล ได้กล่าวถึงส่วนที่ใกล้ชิดมากขึ้นของชีวิตค่ายกักกันที่ไม่สามารถเข้าหาได้ต่อนักโทษคนอื่นบางคน ตัวอย่างเช่น เธอได้อธิบายว่าบุคคลของห้องพยาบาลจะฆ่าเด็กเเรกเกิดอย่างไร เยอรมันจะส่งเด็กแรกเกิดและแม่ของพวกเขาไปห้องแก้ส ดังนั้นเพื่อการรักษาชีวิตแม่ไว้ บุคคลของห้องพยาบาล – ภายหลังการถกเถียงมานานจะฆ่าเด็ก และได้บอกว่าพวกเขายังไม่คลอด โดยไม่มีการแทรกแซงของเรา พวกเขามีความทุกข์ที่เลวร้ายคงอยู่ ต่อพวกเขาจะถูกโยนลงไปที่เตาเผาศพในขณะที่ยังคงมีชีวิตอยู่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เธอจะเป็นสมาชิกคนเดียวเท่านั้นของครอบครัวที่รอดชีวิต ด้วยการสูญเสียสามี พ่อเเม่ และลูกชายสองคนของเธอจากผู้ทำลายล้างนาซี โอลกา เลงเยล มีเพียงเล็กน้อยที่จะมีชีวิตเพื่อระหว่างการกักขังเจ็ดเดือนของเธอภายในเอาสชวิทช์ และความต้องการที่จะรักษาการต่อสู้ของเธอเพื่อความอยู่รอดโดยปัญญาและความเข้มแข็งอย่างไม่น่าเชื่อของเธอเมื่อหนังสือของเธอพิมพ์ครั้งแรก สองปีภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลง อัลเบิรต ไอน์สไตน์ ได้ผลักดันเรื่องราวของเธอที่เขาได้เขียนจดหมายส่วนตัวแก่โอลกา เลงเยล การขอบคุณต่อความจริงใจอย่างมาก และหนังสือที่เขียนได้ดีมากของเธอโอลกา เลงเยลได้ให้เรื่องราวที่น่ากลัวของความโหดร้ายคาดคิดไม่ถึงที่เธอได้เห็นจากเอาสชวิทย์ ในฐานะของนักโทษ เธอได้ถูกบังคับให้เผชิญความไม่เป็นมนุษย์ของค่ายกักกันเป็นประจำวันการมองเห็นและบางครั้งได้ถูกบังคับไปสู่การมีส่วนร่วมภายในการกระทำที่น่ากลัวมากด้านหนึ่งที่ปวดร้าวมากของการเล่าของเธฮคือ การพรรณาการทดลองทางการแพทย์ดำเนินการโดยแพทย์นาซี โอลกา เลงเยล ได้เล่านักโทษมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ได้รับความเจ็บปวด และมักจะเป็นวิธีการทางแพทย์ถึงตายโดยไม่ยินยอมนาซี เยอรมัน ได้ใช้ห้องแก้สอย่างกว้างขวาง เพี่อการฆ่ามวลชนระหว่างการทำลายล้าง การใช้ห้องแก้สของเอาสชวิทซ์นำหน้าโดยการทดลองค้นหาสารเคมีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดการศึกษาวิธีการที่เหมาะสมของการใช้มัน นักโทษสงครามขาวรัสเซีย 600 คนและชาวโปแลนด์เจ็บป่วย 250 คน ได้ถูกฆ่าภายในการทดลอง ภายหลังจากนั้นห้องเก็บศพ ณ เตาเผาศพภายในค่ายกักกันเอาสวิทซ์ได้ถูกปรับเพื่อการใช้ห้องแก้สการสร้างห้องแก้สสี่ห้องเเละเตาเผาศพได้เริ่มต้นภายในเอ้าสชวิทซ์ 2
– เบียร์เคเนาเมื่อ ค.ศ1942 ได้ถูกดำเนืนการเมื่อค.ศ 1943 ห้องแก้สจะ เหมือนกับห้องเปลื้องผ้า บุคคลประมาณสองพันคน ณ เวลาหนึ่งได้ถูกฆ่าภายในแต่ละห้องแก้สออสซวิทซ์ต้นกำเนิดเป็นค่ายทหารของกองทัพโปเเลนด์ภายในโปแลนด์ทางใต้ นาซี เยอรมันได้บุกและยึดครองโปเเลนด์เมื่อ ค.ศ 1939 และเมื่อ ค.ศ 1940 ได้เปลี่ยนแปลงสถานที่เป็นคุกของนักโทษการเมือง กลายเป็นรู้จักกันเป็นเอาสชวิทย์ 1 บุคคลแรกทึ่ถูกใช้แก้สเป็นกลุ่มชาวโปเเลนด์และนักโทษชาวรัสเซีย การเริ่มต้นค่ายกักกันใหม่ เอาชวิทซ์ 2 – เบียร์เคเนาจะ เป็นเดือนถัดไป มันได้กลายเป็นที่ตั้งของห้องแก้สใหญ่ ตรงที่บุคคลจำนวนมากได้ถูกฆ่า และเตาเผาศพตรงที่ร่างกายของพวกเขาได้ถูกเผา บุคคลจากทั่วโลกได้ถูกอัดแน่นภายในรถบรรทุกสัตว์ไม่มีหน้าต่าง ห้องน้ำ ที่นั่งหรืออาหาร ถูก ขนส่งไปที่เอาสชวิทซ์ ณ ที่นี่ พวกเขาได้ถูกแยกเป็นกลุ่มที่สามารถทำงาน และกลุ่มที่ถูกฆ่าทันที กลุ่มหลังได้ถูกสั่งให้แก้ผ้าเปลือย และส่งไปอาบน้ำเพื่อการหลอกลวง คำสละสลวยใช้เพื่อห้องแก้ส ยามจะหยดเม็ดเเก้สไปสู่ห้องที่ปิดผนึก และรอบุคคลที่จะตาย มันจะใช้ประมาณ 20 นาที กำแพงที่ทึบไม่สามารถซ่อนเสียงกรีดร้องของบุคคลที่หายใจไม่ออกข้างในได้ ซอนเดอร์คอมมานโด – นักโทษคนอื่น โดยปรกติเป็นชาวยิวถูกบังคับให้ทำงานเพื่อยามหรือถูกฆ่า – ถอดขาเทียม เเว่นตา ผม และฟัน ก่อนลากศพไปที่เตาเผาศพ เถ้าถ่านและกระดูกได้ถูกเผาหรือใช้เป็นปุ๋ยยามเอสเอส ได้พยายามซ่อนอาชญกรรมของพวกเขาเมื่อกองทัพรัสเซียใกล้เข้ามา และพยายามทำลายบันทึกนักโทษอย่างมากมายของพวกเขาการทำให้มันยากที่จะนับจำนวนของเหยื่อ การศึกษาทางวิชาการเห็นด้วยว่าบุคคลเกือบ 1.3 ล้านคนจะมาที่เอาชวิทซ์ พวกเขาประมาณ 1.1 ล้านคนตายที่นี่ ชาวยิวทั่วยุโรปที่ควบคุมโดยนาซีเป็นส่วนใหญ่ของเหยื่อ ชาวยิวเกือบหนึ่งล้านคนได้ถูกฆ่า ณ เอาสชวิทซ์ตัวอย่างเฉพาะคือชาวยิวของฮังการี ภายในเพียงแค่สองเดีอน ฮังการีได้ส่งชาวยิวมากกว่า 400,000 คนถูกส่งไปที่เอาสชวิทซ์ ชาวยิวฮังการีหลายหมื่นคนถูกส่งไปที่ออสชวิทซ์ทุกวัน หนึ่งในสามของพวกเขาถูกฆ่าเมื่อมาถึง ภายในเพียงแค่สีปีครึ่ง นาซีเยอรมันได้ฆ่าอย่างมีระบบอย่างน้อยที่สุดบุคคล 1.1 ล้านคน ณ เอ้าสชวิทซ์ เกือบหนึ่งล้านคนเป็นชาวยิวบุคคลเหล่านี้ได้ถูกขนส่งไปยังค่ายกักกัน ส่งเข้าห้องแก้ส อดอาหารจนตาย ทำงานจนตาย ตายจากการทดลอง บุคคลส่วนใหญ่ได้ถูกฆ่าภายในห้องแก้ส ณ ค่ายเอาสชวิทย์-เบียร์เคเนา ชาวยิวหกล้านคนตายภายในการทำลายล้าง การรณรงค์ของนาซีกำจัดชาวยิวยุโรป ออสชวิทซ์ถูกใช้เป็นศูนย์กลางของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายในประเพณีของชาวยิว สายรุ้งมีความหมายการเเสดงให้เห็นของพระเจ้าผู้ทำนายได้อธิบายจินตนาการที่เขาได้มองเห็นการปรากฏของพระเจ้าเหมือนสายรุ้งภายในเมฆวันฝนตก ด้วยรัศมีรอบมัน เมื่อมองเห็นสายรุ้ง ชาวยิวควรจะหมอบตัวเขาเองต่อหน้าพระเจ้า สายรุ้งที่สดใสและมีสีสันจะปรากฏเป็นลางของการเริ่มต้นของยุคพระเยซูที่รอมายาวนาน ดังนั้นเหนือสายรุ้งเป็นการเปรียบเทียบที่สมบูรณ์ต่อทั้งความต้องการของโดโรธีเพื่อโลกที่ดีขึ้นและความใฝ่ฝันของชาวยิวเพื่อโลกหลังพระเยซูที่สมบูรณ์ของการไถ่บาปและการช่วยชีวิตชาวยิวแห่งยุโรปมีความฝันของพวกเขาเองของดินเเดนที่พวกเขาได้ยิน- เช่น ดินเเดนเเห่งอิสราเอล เกี่ยวกับแม่ของพวกเขาได้ร้องเพลงแก่พวกเขาภายในสองพันปีของเพลงกล่อมเด็ก – ไม่สามารถบินเหนือเส้นรุ้ง หรือไปที่อื่น พวกเขากล้าฝันถึงฮาทิควาเพลงชาติของอิสราเอลของสองพันปีกลายเป็นความจริง ตามคำพูดของผู้ทำนายของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นท่อนนำของเพลง Over the Rainbow ที่ได้ถูกเอาออก – เมื่อทั้งโลกเป็นความวุ่นวายอย่างไร้ความหวัง – ไม่สามารถจะอธิบายสภาวะของโลกได้ดีก่อนการเกิดของการทำลายล้างและสงครามโลกครั้งที่สอง
ในแง่ของเตาเผาศพของค่ายกักันที่ยิป เเฮร์เบิรกไม่สามารถรู้ ถ้อยคำของเขาไปข้างบนของปล่องไฟบนหลังคา น่ากลัวและน่าขนลุก และไม่ถึงทศวรรษต่อมา ความฝันของชาวยิสกลายเป็นความจริงกับการเกิดของอิสราเอลแนวบทเพลงของ Over ได้พบความคล้ายคลึงอย่างประหลาดกับเพลงฮิบรู “Omrim Yesha Aretz – They Say There is a Land – ” เขียนโดยนักกวี ชาอูล เชอรนิชอวสกี สิบหกปีก่อนการปรากฏตควของ Over the Rainbow เมื่อ ค.ศ 1939 ความคล้ายคลึงต่อ Over the Rainbow น่าตะลึง การถอดความของจูดี การ์แลนด์สะท้อนอย่างลึกซึ้งกับผู้ฟังยุคความหดหู่กับความต้องการอย่างจริงใจอยู่ภายในโลกที่ดีขึ้น พวกเขากล่าวมีแผ่นดินอยู่ สะท้อนความใฝ่ฝันของชาวยิวเพื่อบ้านเกิดบรรพบุรุษที่มีแสงเเดดส่องเกี่ยวกับพวกเขาได้ร้องเพลงกล่อมเด็กของสองพันปีของการเนรเทศ

Over the Rainbow เขียนโดยชาวยิวสองคนที่ได้รับรู้ความโหดร้ายของการทำลายล้างชาวยิวกำลังจะเกิดขึ้น ภายในบริบทของยิว พ่อมด และโอเเซด ไม่มีต่อไปอีกแล้ว เเต่มันเกี่ยวกับการอยู่รอดของชาวยิว จูดี้ การ์แลนด์ ได้ร้องเพลงนี้แก่กองทัพอเมริกัน ถ้าเพื่อนได้อ่านเนื้อเพลงข้างล่าง คำว่าปล่องไฟอาจจะหมายถึงปล่องไฟของห้องแก้สฆ่าชาวยิว ณ ค่ายเอาสชวิทซ์ ของฮิตเลอร์


เมื่อจูดี้ การ์แลนด์ ไปเหนือสายรุ้งเป็นโดโรธี เกล ภาพยนตร์คลาสสิค 1939 Wizard of Oz เพลง Over the Rainbow ของเธอจากภาพยนตร์เรื่องนี้ชนะรางวัลออสการ์ และสมาคมอุตสาหรรมบันทึกเสียงของอเมริกาได้ออกเสียงมันเป็นเพลงลำดับหนึ่งของศตวรรษที่ 20 Over the Rainbow เป็นเพลงที่สมบูรณ์ ได้ถูกแนะนำโดยจูดี้ การ์แลนด์ อายุสิบหกปี ตลอดหลายปีเพลงนี้ได้ถูกนำไปร้องโดยนักร้องหลายคน มันไม่ใช่เพียงแค่ฉบับของเธอที่ได้สัมผัสบุคคลตลอดมาหลายปี และมันได้ถูกใช้โดยนาซาที่จะปลุกนักบินอวกาศของพวกเขาไปเหนือสายรุ้งบางทีการนำเพลงนี้ไปร้องนิยมเเพร่หลายมากที่สุดจะเป็นนักร้องชาวฮาวาย อิสราเอล คามาคาวิโวโอเล -ไอเเซด บันทึกฉบับเล่นอูคูเลเลอย่างอิสระเมื่อ ค.ศ 1988 การบันทึกที่อัศจรรย์อย่างเเท้จริง มันเป็นทั้งส่วนตัวและไม่ทางการ เพิ่มต่อความดึงดูดเท่านั้น การแสดงของเขาได้กลายเป็นที่นิยมเเพร่หลายทั่วโลกสิบปีต่อมา ในที่สุดเพลงนี้ขายได้มากกว้าห้าล้านแผ่น ไอเเซด ยักษ์ใหญ่ด้วยเสียงที่หวานและดูดดื่มได้เอาเพลง Over the Rainbow มาร้องด้วยตัวเขาเองด้วยอูคูเลเล – กีต้าร์เล็ก

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *