อเมริกา ๒๕๖๗
อเมริกา ๒๕๖๗
เมื่อตอนเรียนจบใหม่ๆในปี ๒๕๑๑ ผมก็เข้าทำงานเลย เป็นลูกจ้างชั่วคราว ที่กรมการข้าวสมัยนั้น และเมื่อปี ๒๕๑๒ ได้มาบรรจุเป็นข้าราชการเมื่อตั้งกรมส่งเสริมการเกษตรแล้ว ในขณะที่ทำงานทุกวัน เวลาเครื่องบินๆผ่าน ผมแหงนหน้าดูเครื่องบินและนึกหมดกำลังใจ ว่าชาตินี้ คงไม่ได้นั่งเครื่องบินไปเมืองนอก เพราะเรียนไม่เก่ง จบออกมาด้วยคะแนนเฉลี่ยเพียงข้ามเส้นเท่านั้น ในขณะที่เพื่อนๆ ไปเรียนต่อเมืองนอกกันเป็นส่วนใหญ่
แต่ในที่สุด ผมก็ได้ไปต่างประเทศเหมือนกัน เมื่อทำงานไปแล้ว ๓ ปี เป็นทุนแลกเปลี่ยนเยาวชนชนบทกับประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในขณะนั้น ได้เป็นตัวสำรอง พอดี พี่ที่เป็นตัวจริง ไม่ค่อยแข็งแรง สละสิทธิ์ ผมก็เลยได้ไปในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ยุวเกษตรกรไทยไปพักกับครอบครัวเกษตรกรอเมริกัน ถึง ๙ ครอบครัว และต่อมา ได้ย้ายมาทำงานวิชาการรับผิดชอบทางด้านงานส่งเสริมพืชน้ำมัน ทำให้ในระยะต่อไป ก็ได้มีโอกาสไปต่างประเทศ เนื่องจากการประสานงานเรื่องวิชาการกับต่างประเทศหรือในระดับนานาชาติ จนถึงวัยทำงานในช่วงสุดท้าย ได้มาทำงานด้านบริหาร จึงลดโอกาสเดินทางลง ทั้งนี้ เป็นไปตามกิจกรรมที่ร่วมดำเนินการ
สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ไปครั้งแรกตามที่ได้กล่าวแล้ว ยังได้เดินทางไปสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะไปประชุมดูงานโดยตรง หรือไปเพื่อเปลี่ยนเครื่องบินไปประเทศอื่นในอเมริกาใต้ และได้ไปอเมริกาในปีสุดท้ายที่ได้ทำงาน
ขณะที่เขียนอยู่นี้ ได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นเดินทาง ครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ไป เพราะเริ่มชราขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะได้ passport และวีซ่าเข้าสหรัฐ ถึง ๑๐ ปี แต่สุขภาพคงไม่อำนวยให้
เนื่องจากลูกสาวผมคนหนึ่ง (ความจริงมีลูกสาวคนเดียว) มาตั้งครอบครัวอยู่ที่ เมือง Allen ใกล้กับ Dallas มลรัฐเท็กซัส โดยย้ายจาก Los Angeles ซึ่งมีค่าครองชึพสูงกว่า มาตั้งหลักใหม่ และตั้งใจอยากให้พ่อกับแม่ คือผมและภรรยา มาอยู่กับเขา ร่วมประสบการณ์บ้านใหม่ ประมาณ ๕-๖ ปี และลูกชาย ๓ คนกำลังปิดเทอม จะได้ให้หลานอยู่กับตาและยายนานๆ ลูกก็จัดการโปรแกรมเดินทางให้ตั้งแต่เริ่มทำวีซ่า ซือตั๋วเครื่องบินไปกลับ เวลากลับเป็นวันที่ ๑ กันยายน นี้ หรือ กล่าวโดยสรุปว่า เขาดูแลให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งทำ boarding pass ส่งมาให้ล่วงหน้า ปัจจุบันนี้ สายการบิน (JAL ) ทันสมัยมาก ก่อนวันเดินทาง ๑ วัน ส่งข้อมูลมาให้ใหม่แทบทั้งหมด และในนั้น เหมือนกับจะออก boarding pass ให้ด้วย รวมทั้งระเบียบการใช้ hand bag แต่ลูกก็ส่ง boarding pass มาให้อีกทางหนึ่ง
เมื่อเครื่องบินมีกำหนดออกประมาณ ๘ โมงเศษนิดๆ ก็ต้องออกจากบ้าน ตี ๓ ครึ่ง เพื่อให้น้องและหลานขับรถมาส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วจะได้รีบกลับก่อนรถจะติด เพราะเป็นวันธรรมดา ที่เช้าๆ รถขาเข้ากรุงเทพฯจะติดมาก ทั้งนี้ ต้องตื่นตั้งแต่ ตี ๑ เพื่อทำกิจวัตรให้เสร็จก่อนออกเดินทาง
สำหรับการบินครั้งนี้ ลูกได้สั่งรถเข็นตามสนามบินที่เปลี่ยนเครื่อง กับอาหารมังสวิรัติให้ แต่ได้ขอรถเข็นเฉพาะที่ San Diego ซึ่งเป็นเมืองที่ต้องตรวจ passport และกระเป๋าเดินทาง คิดว่าในปัจจุบัน ความเคร่งครัดเรื่องการนำเข้าอาหารต่างๆ ถ้าไม่ใช่ของสด ก็ไม่มีปัญหาอะไร สำหรับ อาหารมังสวิรัติ มีรสดีพอกินได้ และได้รับบริการก่อนอาหารธรรมดาจะมา แค่ตอนที่เขาแจกไอสครีม Haagen-Dazs ซึ่งที่เมืองไทยแพงมาก เขาไม่ให้คนกินมังสวิรัติ เพราะไอสครีมดังกล่าวมีนมเป็นส่วนประกอบด้วย น่าเสียดาย
เรื่องที่น่าตื่นเต้น เกิดขึ้นที่สนามบิน Narita ซึ่งไปถึงที่นั่น ๔ โมงกว่าต้องต่อเครื่องบิน JAL ไป San Diegoทั้งๆที่ถูกตรวจสอบจากต้นทางมาแล้ว ก็ยังต้องผ่าน x-ray ตรวจอาวุธอีก ซึ่ง ผู้โดยสารเข้าแถวยาวต้องระวังการก่อการร้าย เมื่อผ่านมาแล้ว จึงแวะเข้าห้องน้ำ คิดว่าเครื่องจะออกประมาณทุ่มนึง เลยใจเย็นๆ พร้อมกับถ่ายรูปเล่นๆ พอดูกำหนดการอีกครั้ง กำหนดออก เป็นเวลา ๕ โมงกว่า ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาที่ เครื่องบินกำลังจะออกแล้ว ระยะทางเดินไปก็ไกลมาก น่าจะหลายร้อยเมตร จึงรีบจ้ำไป พอไปถึง gate ได้เป็นผู้โดยสารเกือบสุดท้ายที่ขึ้นเครื่อง นับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เป็นความผิดของเราที่ดูเวลาผิด โชคดีมากๆที่ยังเร่งรีบได้ทัน
เมื่อถึง San Diego แล้วได้นั่งรถเข็นออกจากเครื่องบิน แล้วให้ภรรยาเดินตาม ไป เราต้องประทับตรา passport ที่นี่ พร้อม ตรวจสอบสัมภาระที่นำติดตัวมา มีปัญหาอยู่นิดหน่อย คือน้ำพริกหลายชนิดที่ซื้อมาถูกตรวจสอบ แต่ก็ผ่านไปได้ทั้งนี้ แล้ว นั่งรถเข็นออกจากตึกสายการบินระหว่างประเทศ ไปตึกสายการบิน domestic ที่จะต่อไป Dallas Fort Worth คือ American Airline ซึ่งเมื่อไปถึง พบว่า delay ไป ๑ ชั่วโมง พนักงานทิ้งรถเข็นไว้ให้ จึงจอดรถเข็นไว้แล้วไปเดินชมสถานที่เล่น เมื่อถึงเวลา คนคอยขึ้นเครื่องเยอะพอสมควร แต่คนที่นั่งรถเข็น เขาให้ขึ้นก่อน
เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่อง ยังไม่ได้นั่งรถเข็น ภรรยาก็เข็นรถเปล่าไปรวมกับ กลุ่มรถเข็นอื่นๆ แล้วผมก็ตามไปนั่งรถเข็นต่อหน้าผู้โดยสารอื่นๆ เกรงว่าผู้โดยสารอื่นจะเกิดสงสัยว่าไม่ได้ เป็นคนชราหรือพิการจริง นั่งรถเข็นเพื่อ เอาประโยชน์ก่อนผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ถ้าดูหน้าตาเรา ก็พอจะรู้ว่านั่งรถเข็นน่ะดีแล้ว ก่อนที่พนักงานเข็นรถจะทิ้งรถไว้ให้ ได้ทิป ไป ๑๓ เหรียญ เพราะเข็นไกลข้ามตึก international มาที่ American Airline และได้รับความสะดวกในกรรมวิธีประทับตราตรวจสอบต่างๆ
เมื่อถึง Dallas แล้ว ทุกคนเตรียมลงจากเครื่อง ผู้โดยสารจะเปิด cabin ข้างบนเพดาน เพื่อจะเอาสัมภาระ ของใครของมัน ผู้โดยสาร ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ช่วยหยิบ hand bag ของผมลงมาให้ แต่พอเห็นแล้ว ไม่ใช่ใบนี้ ผู้โดยสาร อีกคน ก็ช่วยหยิบอีกใบซึ่งเราชี้ มาให้ ดูแล้ว ก็ไม่ใช่อีก คนที่ ๓ ก็หยิบที่เราชี้อีกใบลงมา ปรากฏว่าไม่ใช่ ผิดตั้ง ๓ ครั้ง จนกระทั่งฝ่ายเราต้องหยิบลงมาเองซึ่งเป็นใบเล็กกว่า ๓ ใบแรกที่หยิบมาผิด เฮ้อ คงเป็น Alzheimer’s อ่อนๆของเราเอง ที่จำ hand bag ของตัวเองไม่ได้
พอถึงป้ายที่จะรับกระเป๋าสัมภาระ ก็เกิดความ งง อีก ดูป้ายนำทางที่เขียนไว้ เห็นเขียนเลข รับกระเป๋าช่อง ๑๒ เดินไปเป็น รับกระเป๋า ช่อง ๑๕ และ ๑๘ จึงสังเกตเห็นมีป้ายตัวเลขทางออกแต่ละช่อง จึงกลับไปดูทางออกของเรา ออกมาจากประตู ๑๒ แต่ประตูเข้ารับกระเป๋าปิด แต่เขาเขียนข้างหน้าว่าให้เข้าทางรับกระเป๋า ช่อง ๑๕ จึงไปตามนั้น เมื่อไปถึงที่รับกระเป๋า คิดว่าลูกคงจะรอรับข้างนอกที่ไหนสักแห่ง และกระเป๋าหนัก ยกไม่ไหว ควรใช้รถเข็น มี ๔ ใบต้องใช้ ๒ คัน มีเขียนไว้เป็นประกาศที่stand รถเข็นว่าคันละ ๖ เหรียญ ไม่กล้าใช้เงินสด กลัวไม่ถูกต้อง เลยเอาบัตรเครดิตกดไปที่เครื่อง รถออกมาง่ายดาย ระหว่างนั้น กำลังหาทางโทรถึงลูก ก็เจอลูกทั้งครอบครัว โผล่มาตรงที่รับกระเป๋าพอดี ซึ่ง ถ้ามาก่อน ก็ไม่ต้องเอารถเข็น ก็ช่วยกันเข็นกระเป๋า ออกไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตัดสินใจออกไปแล้ว ก็เลยไปตามนั้น เมื่อมาดูบัญชีบัตรเครดิต เป็นเงินไทย (ขึ้นทันที) คันละ ๒๑๘.๙๗ บาท หรือประมาณ ๔๓๘ บาทต่อ ๒ คัน
เมื่อคืนนี้ ถึงบ้านครอบครัวของลูก ซื้ออาหารมากินที่บ้าน และคุยกับลูกและหลานๆ ถึงตี ๓ กว่าๆ จึงเข้านอน ตื่นมา ตี ๕ ออกไปเดินเล่น ถนนหน้าบ้าน อากาศดี เงียบสงบ มีตู้ไปรษณีย์ ส่งจดหมาย ทุกบ้าน ตามที่ ผมรู้จัก และเคยเขียนจดหมายถึงที่ทำงานส่งที่ตู้ไปรษณีย์นั้นทุกวันเมื่อไปพักกับเกษตรกร( ยกธงเหล็กเล็กๆที่ติดตู้ขึ้น แสดงว่ามีจดหมายฝากส่ง) ครั้งแรก เมื่อ ปี ๒๕๑๔ จดหมายเหล่านั้น เพื่อนเก็บไว้ให้ทั้งหมด ซึ่งเสียดายมากๆที่ตอนนี้หายไปหาไม่เจอ สอนหลักธรรมเล็กๆ ได้ว่า ช่างมัน หายไปแล้วก็แล้วกัน อะไรต่ออะไรในชีวิตเรา ก็หายไปหลายอย่างอยู่แล้ว
ทั้งหมดนี้ เป็น adventure เล็กน้อยมาเล่าสู่กันฟังครับ
บู๊ คนเคยหนุ่ม
Allen USA. 11 กค. 2567