INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของก่วนจ้ง ตอนที่ 1

ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของก่วนจ้ง ตอนที่ 1

รศ.ดร.สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย

นักศึกษาเศรษฐศาสตร์มักยกย่องสมิต(Adam Smith)และเคนส์(John Maynard Keynes) ว่าเป็นปรมาจารย์ของวิชาเศรษฐศาสตร์ที่สามารถสร้างทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่เปลี่ยนความคิดเศรษฐศาสตร์ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารเศรษฐกิจอย่างน่าพิศวง Smithถึงกับได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของวิชาเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ เขาเป็นผู้บุกเบิกการใช้แนวคิดเกี่ยวกับการใช้ระบบตลาดและการค้าเสรีมาเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะการแข่งขันที่เสรีทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลต่อการสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศชาติ Smithอธิบายว่า พฤติกรรมการแสวงหาผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลทำให้เกิดตลาดสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของคนในสังคมได้ ความคิดการแบ่งงานกันทำ(division of labor)และการสร้างความชำนัญพิเศษ(specialization)ของเขา ได้รับการยอมรับกันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์อย่างถ้วนหน้ากันจนถึงปัจจุบัน ส่วนKeynesนั้น ถือกันว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีส่วนทำให้มีการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาคอย่างเป็นระบบ กล่าวคือมีการศึกษาปัญหาของระบบเศรษฐกิจในภาพรวม เช่น รายได้และการจ้างงานของประเทศ การดำเนินนโยบายการเงินและการคลัง บทบาทของการบริโภคของประชาชนและการใช้จ่ายของรัฐบาลในการกระตุ้น ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งแตกต่างกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นที่มุ่งศึกษาพฤติกรรมของบุคคลและการกำหนดมูลค่าของสินค้า โดยไม่พิจารณาว่า พฤติกรรมและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละหน่วยของระบบเศรษฐกิจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างไร นอกจากการสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศชาติ และไม่ได้ชี้ให้ที่เห็นว่า รัฐบาลควรมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างไร

ปรมาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ทั้งสองคือSmithกับKeynes มีชีวิตในช่วงเวลาที่ห่างกันกว่า 150 ปี หนังสือWealth of NationsของSmith ตีพิมพ์ในค.ศ.1776 ในขณะที่หนังสือGeneral Theory of Employment,Interest and MoneyของKeynes ตีพิมพ์ในปี 1936

เป็นที่ยอมรับกันว่าทั้งSmithและKeynesเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ให้กำเนิดทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ แต่คงมีน้อยคนทราบว่า ก่อนหนังสือของเขาทั้งสองมีการตีพิมพ์ออกมากว่า 2500 ปี ในประเทศจีน มีรัฐบุรุษคนหนึ่งที่มีแนวความคิดที่คล้ายคลึงกับของทั้งสองคนนี้ และครอบคลุมแนวคิดทางทฤษฎีของทั้งสอง ทั้งยังมีการนำความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของเขามาบริหารนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ(รัฐ)จนเกิดผลสำเร็จและทำให้รัฐที่เขาบริหารอยู่นี้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของบรรดารัฐต่างๆในประเทศจีนในเวลานั้น รัฐบุรุษผู้นี้มีนามว่าก่วนจ้ง ซึ่งเกิดในช่วงชุนชิวของสมัยเลียดก๊กในเวลาก่อนคริสตกาลประมาณ 700 ปีหรือห่างจากปัจจุบันถึงกว่า 2700 ปี

ก่วนจ้งมีชีวิตที่น่าสนใจมาก เรื่องราวของเขาเป็นที่กล่าวขวัญกันมากในประวัติศาสตร์จีน ความคิดการบริหารประเทศของเขามีการรวบรวมไว้ในหนังสือ”ก๋วนจื่อ”โดยคนสมัยหลัง และมีเนื้อหาครอบคลุมที่กว้างขวาง ทั้งปรัชญาการปกครอง กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การทหารและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของเขา ดูเหมือนว่ายังไม่ ได้ถูกนำมาเผยแพร่อย่างเป็นระบบ แม้ในประเทศจีนก็มีการศึกษาหนังสือก๋วนจื่อ มาเป็นเวลานาน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าหนังสือก๋วนจื่อมีเนื้อหาอยู่มากและความคิดทางเศรษฐศาสตร์มีการปะปนอยู่กับเเรื่องอื่นๆ โดยไม่ได้แยกออกมาต่างหาก

ในบทความนี้ จากกล่าวถึง ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของก่วนจ้ง(โดยไม่กล่าวถึงความคิดของเขาในด้านอื่นๆ) ในเรื่องต่อไปนี้คือ

ก. การพัฒนาภาคการเกษตร

ข. ระบบตลาดและการแบ่งงานกันทำ

ค. บทบาทของการบริโภคในการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ง. การบริหารเศรษฐกิจมหภาค

จ. การรักษาเสถียรภาพราคา

ฉ. ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ด้านอื่นๆ เช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การสร้างสิ่งสาธารณูปโภค การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อม
ก. การพัฒนาภาคการเกษตร

ภาคการเกษตรเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมากในทุกยุคทุกสมัยของประวัติศาสตร์จีน เพราะการเกษตรเป็นภาคที่ผลิตอาหารมาเลี้ยงประชาชน ในความคิดของก่วนจ้ง การเกษตรมีความหมายกว้าง รวมถึงการผลิตธัญญาหาร และพืชผลอื่นๆ การทำป่าไม้ ประมง และการเลี้ยงปศุสัตว์

ก่วนจ้งเห็นว่า ที่ดินและแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตที่ก่อให้เกิดทรัพย์สินของประเทศ แม้มีที่ดินและแรงงานอยู่มาก แต่ถ้าไม่ได้ถูกนำมาใช้ ก็จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เขากล่าวว่า ประชาชนต้องกินพืชพันธ์ธัญญาหาร จึงต้องมีที่ดินในการปลูกพืช แต่ถ้ามีที่ดินแล้ว ไม่มีการคนแผ้วถางดูแล และทำการเพาะปลูก ก็มีพืชผลไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องมีทั้งที่ดินและแรงงานที่สามารถนำมาทำการผลิตผลิตผลทางการเกษตร นอกจากพืชผลแล้ว ยังรวมถึงปศุสัตว์ สัตว์น้ำ เกลือทะเล และแร่ธาตุที่มีอยู่ในที่ต่างๆซึ่งเป็นทรัพย์ในดินและสินในน้ำของประเทศด้วย

หากมีการผลิตอาหารที่เพียงพอแก่การบริโภคของประชาชน ประเทศชาติและสังคมก็มีความสงบสุขได้

การพัฒนาภาคการเกษตร สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนอื่นคือการมีน้ำที่เพียงพอ รัฐฉี มีที่ตั้งอยู่ตอนปลายของแม่น้ำฮวงโห น้ำในแม่น้ำจะไหลลงสู่ทะเลในรัฐนี้ นอกจากแม่น้ำฮวงโหแล้ว ยังมีแม่น้ำลำธารอื่นๆอีกหลายสาย ปัญหาของแม่น้ำฮวงโหคือในแม่น้ำมีหินดินทรายมาก ในฤดูฝนมีน้ำท่วมเกิดขึ้นเนืองๆ ในช่วงที่ไม่มีฝน ก็มีปัญหาความแห้งแล้ง ดังนั้น การส่งเสริมการผลิตในภาคการเกษตร จึงต้องมี การจัดการเรื่องน้ำ การป้องกันน้ำท่วมและภัยแล้ง

เพื่อให้ภาคการเกษตรมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ และเพื่อไม่ให้เกิดภัยแล้ง และน้ำท่วม จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องน้ำ มีภารกิจในการสร้างเขื่อน ฝาย ขุดคูคลอง และดูแลการระบายน้ำ ในการนี้ จำเป็นต้องมีหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการจัดการเรื่องน้ำโดยเฉพาะ โดยมีหน้าที่ในการตรวจสอบสภาพและอนุรักษ์แหล่งน้ำ และทำงานอื่นๆที่ทำให้ภาคการเกษตรมีนำ้ใช้ อย่างเพียงพอ นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้ว ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์แหล่งน้ำ ช่วยเป็นแรงงานในการสร้างเขื่อน ฝาย และขุดลอกแม่นำ้คูคลอง โดยเฉพาะในฤดูที่ว่างเว้นจากการทำการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว

นอกจากการเพาะปลูกแล้ว ยังมีกิจการปศุสัตว์และการจับสัตว์น้ำ รัฐต้องมีการสำรวจพื้นที่ของประเทศว่า ที่ใดเหมาะแก่การทำนา เพาะปลูกพืชผลอื่นๆ หรือการเลี้ยงปศุสัตว์ พื้นที่ใดควรมีการส่งเสริมการทำนาเกลือและจับสัตว์น้ำ และพื้นที่ใดมีแร่ธาตุที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ การมีข้อมูลความอุดมสมบูรณ์และคุณสมบัติอื่นๆของพื้นที่ต่างๆในประเทศ นอกจากมีความสำคัญต่อการส่งเสริมการผลิตในภาคการเกษตรและเหมืองแร่แล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อการจัดเก็บภาษีอากรที่ได้จากผลผลิตต่างๆด้วย

ก่วนจ้งเห็นว่า หากผลผลิตทางการเกษตรมีอยู่อย่างเพียงพอแล้ว ประชาชนก็จะมีอาหารโดยไม่ขัดสน และราคาอาหารจะไม่สูงมากเกินไป แต่ในช่วงที่ผลผลิตการเกษตรออกสู่ตลาดมาก ราคาก็จะตกต่ำ ในการนี้ รัฐบาลต้องมีส่วนในการพยุงราคาโดยการรับซื้อผลผลิต และเก็บไว้ระบายผลผลิตเหล่านี้ ในช่วงที่ผลผลิตในการขาดแคลนและมีราคาแพง

การส่งเสริมภาคเศรษฐกิจอื่นๆ การหารายได้และการบริหารรายจ่ายของรัฐบาล เพื่อให้รัฐ มีรายได้ที่เพียงพอแก่การบริหารราชการ และเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ จะมีการกล่าวถึงในตอนต่อไป

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *