“นาจิบ รอซัก”ถูกพระเจ้าทดสอบหนัก
สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
“นาจิบ รอซัก”ถูกพระเจ้าทดสอบหนัก
ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ”คาจัง”ไปเรียบร้อยแล้วละครับ เพื่อรับโทษนาน ๑๒ ปีและปรับ ๒๑๐ ล้านริงกิตสำหรับนาย“นาจิบ รอซัก”อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ผู้ถูกฟ้องร้อง ในคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงกองทุน”1เอ็มดีบี“หรือกองทุน”บริษัทจำกัดเพื่อสาธารณะว่าด้วยการพัฒนามาเลเซีย หมายเลข ๑”
ทั้งนี้ ตามคำพิพากษาของศาลสูงสุด ซึ่งพิพากษายืน การตัดสินของศาลอุทธรณ์เอาผิดในเจ็ดข้อหา เมื่อเดือนกรกฎาคมปี ๒๐๒๐ แต่คราวนั้น ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวไป เพื่อต่อสู้คดี
ความผิดในคำพิพากษานั้น เกี่ยวข้องกับการโอนเงิน ๔๒ ล้านริงกิต( ๙.๔ ล้านเหรียญสหรัฐ)จากบริษัท เอสซีอาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้าบัญชีส่วนตัว
แต่เขาปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นด้วยตลอดมา
การชี้ขาดของศาลสูงครั้งนี้ มีขึ้นเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคมที่ผ่านมานี้ แต่ยังมีอีกหลายคดี ที่ยังค้างคาอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนเพื่อพิจารณาฟ้องร้อง
“นาจิบ รอซัก”ในวัย ๖๙ นับเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย ที่ได้รับเกียรติ ถูกตัดสินจำคุกในคดีฉ้อราษฎร์บังหลวง แล้วถูกส่งตัวคุมขังทันที ในขณะที่ฝ่ายราชทัณฑ์แถลงว่า จะไม่ได้สิทธิพิเศษอะไรทั้งสิ้น ในช่วงที่ถูกคุมขังหมายความว่า ปฏิบัติต่อนักโทษทั่วไปอย่างไร ก็จะปฏิบัติต่อเขาอย่างนั้น ไม่มีการเหลื่อมล้ำ
นับเป็นเรื่องแปลกที่”นาจิบ รอซัก”ถึงยังไง ๆ ก็ไม่ยอมรับผิด แม้จะอับจน ด้วยหลักฐานต่างๆ
ในจดหมายที่เขาเขียนถึงครอบครัวก่อนถูกพิพากษา ลงใน”เฟซบุ๊ก”ว่า เขาจะรอคำชี้ขาดจากศาล ถือเป็นที่สิ้นสุด
พร้อมเขียนถ้อยคำ ที่น่าประทับใจ แสดงความเป็นคนเคร่งในหลักการอิสลามว่า“ได้ปฏิบัติตนในคำสอน ตามเส้นทางเดินที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานแล้ว จึงหวังว่า พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกป้องและอำนวยพรให้ครอบครัวด้วยการมีสุขภาพที่ดีมีอายุมั่นขวัญยืนและมีแต่สันติไปกาลนาน”(Straits Times : 8/24/222)
ฟังแล้วเคลิ้มไปเลยละครับ
ที่เขาว่ากันว่า นักโทษประหารมักจะตะโกนว่า “กูเองไม่ผิด” ก่อนถูกแขวนคอบนตะแลงแกง ก็คืออาการอย่างนี้นี่เอง
เบื้องหลังความปากแข็งก็คือ ทีมกฎหมายของ”นาจิบ รอซัก”แก้ว่า เงินที่ได้มานั้นแท้จริงมาจากเงินบริจาคของครอบครัวชาวซาอุดอาระเบีย ไม่ใช่มาจากกองทุน”1เอ็มดีบี” แต่ศาลคงฟังไม่ขึ้น จะด้วยสาเหตุอะไร ก็ไม่ชัด
แถมยังอ้างด้วยว่า ที่ปรึกษาทางการเงินของ “นาจิบ รอซัก”คือ “โจ โลว์”(นักธุรกิจมาเลเซีย)ให้การชักนำศาลให้หลงทาง ทั้งๆที่ สหรัฐและมาเลเซียตั้งข้อหาฐานสมรู้ร่วมคิด แถมยืนยันว่าตัวเขาเองบริสุทธิ์
ที่น่าสนใจอีกแง่มุมหนึ่ง ก็คือ”โรสมาห์ มันโซรฺ”ภริยาของ”นาจิบ รอซัก”ก็โดนตั้งข้อหา“ซักฟอกเงิน”และหลีกเลี่ยงภาษี”
แถมด้วยข้อหา ฉ้อราษฎร์บังหลวงในโครงการกระแสฟ้าจากแสงแดดแบบไฮบริด
เข้าใจว่า ศาลสูงจะตัดสินในวันที่ ๑ กันยายนที่จะถึงนี้
ก็ไม่รู้ว่า พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานให้เธอ หลุดพ้นจากคดี ตามที่สามีเธอวิงวอนขอให้ทรงคุ้มครองหรือไม่
เป็นเรื่องแปลกนะครับที่“นาจิบ รอซัก”ไม่หนีคดี ด้วยการลี้ภัยไปต่างประเทศ ก่อนที่จะถูกตัดสิน
คือลี้ภัยไปยังชาติที่ไม่มีข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับมาเลเซีย ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีชาติใดบ้าง
ก็ไม่เข้าใจ ครับว่า“นาจิบ รอซัก”คิดอย่างไร ต่อการยอมรับโทษ
หรือว่า จะมีหนทางได้รับอภัยโทษในระยะเวลา ไม่นานเกินรอ
หรือมั่นใจมากๆ ว่า ถึงอย่างไรๆ เขาไม่น่าจะผิด
หากมองในทัศนะพุทธ นี่คือ”วิบากกรรม”ชัดๆครับ
คือไม่รู้ว่าสร้างกรรมไว้แต่ชาติไหน หนไหน แต่ต้องมาเจอกรรมหนัก ในชาตินี้
มองในทัศนะอิสลาม นี่คือการทดสอบ ครั้งยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า(อัลลอฮฺ ซบ.)
พระเจ้าทรงรักท่านมาก ก็จะได้รับการทดสอบมาก เป็นธรรมดา
ก็ได้แต่เห็นใจกันครับ จะไม่ซ้ำเติมไปมากกว่านี้