ปูตินจนมุมจริงหรือ?
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
ปูตินจนมุมจริงหรือ?
นักวิเคราะห์ไทยที่เสพข่าวตะวันตกหลายท่าน ออกมาวิเคราะห์ว่าการที่ปูติน ส่งคนไปเกาหลีเหนือหลายครั้ง โดยเฉพาะพล.อ.ชอย กู รัฐมนตรีว่าการกลาโหม ที่ไปเยือนวันฉลองการหยุดยิงระหว่างเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้
ยิ่งทำให้ท่านเหล่านั้นสรุปว่าปูตินจนมุมแล้วด้วยอาวุธและเครื่องกระสุนใกล้หมด จึงมีความต้องการกระสุนปืนใหญ่ และโดรนจากเกาหลีเหนือเพื่อมาสนับสนุนการรบกับยูเครน-นาโต้
เท่านั้นยังไม่พอก็ยังมีข่าวประธานาธิบดีปูติน ได้เดินทางไปพบกับผู้นำคิมจองอึนของเกาหลีเหนือ ก่อนการประชุมเศรษฐกิจภูมิภาคตะวันออก (EEF) ที่รัสเซียจัดขึ้นที่วลาดิวอสต๊อก เมื่อวันที่ 10-12 กันยายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้การประชุมดังกล่าวจะมีระดับนำและระดับสูงของประเทศในกลุ่มยูเรเซีย จีน ลาว และมีประเทศอื่นๆร่วมด้วยอีกหลายประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระหว่างสมาชิก
คำถามคือ อะไรคือข้อสรุปของนักวิเคราะห์ดังกล่าวว่าปูตินนั้นจนมุมแล้วในการทำสงครามกับยูเครน-นาโต้ เพราะกระสุนหมดอาวุธอย่างโดรนหมด ต้องมาพึ่งพาเกาหลีเหนือหรือ
ถ้ามันใช่คำถามต่อมาก็คือว่าแล้วมันผิดตรงไหน ที่จะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอาวุธกับเกาหลีเหนือ ที่ถูกแซงก์ชั่นหนักกว่ารัสเซียเสียอีก
แล้วการที่ตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ หวังพึ่งพาอาวุธและกระสุนปืนใหญ่จากเกาหลีใต้ ทำไมไม่บอกว่าไบเดนจนมุม รวมทั้งความพยายามที่จะขอความสนับสนุนทางอาวุธจากญี่ปุ่นอีกด้วย
หรือมองว่าถ้าตะวันตกจะสนับสนุนยูเครน และพันธมิตรอื่นๆนั้นเป็นความถูกต้อง แต่ถ้าเกาหลีเหนือหรือจีนจะสนับสนุนรัสเซียนั้นตัดสินว่าผิด
ยิ่งไปกว่านั้นนักวิเคราะห์บางท่านยังวิเคราะห์เกินเลยไปถึงว่า เกาหลีเหนืออาจจะขอแลกกับหัวรบนิวเคลียร์ของรัสเซีย ซึ่งมองว่ามันเกินเลยไปมากหรือไม่
นอกจากนี้นักวิเคราะห์บางท่านยังสรุปว่าข้อมูลจากสำนักข่าวตะวันตกนั้นน่าเชื่อถือ เพราะมีการตรวจสอบกันเอง
คำถามคือท่านไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ว่าขณะนี้เขากำลังทำสงครามข้อมูลข่าวสารกัน เราจะมั่นใจอย่างไรว่ามันไม่ใช่การนำเสนอข่าวที่เอียงข้าง ความจริงบางส่วน แม้แต่ความเท็จ
ที่พูดอย่างนี้เพราะเราอาจอ้างอิงหลักฐานจากการปล่อยข่าวเท็จของสหรัฐฯ ที่อ้างว่าซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรักมีอาวุธมหาประลัยที่จะทำลายล้างสหรัฐฯหรือพันธมิตร
ครั้นพอกำจัดซัดดัมไปได้ และเข้ายึดครองตักตวงผลประโยชน์ ก็ตรวจไม่พบอาวุธมหาประลัยเลยสักชิ้น ในขณะที่ก่อนหน้านี้สื่อตะวันตกก็ออกข่าวกันอึกทึกครึกโครม พอไม่พบอาวุธดังกล่าวก็เงียบ นอกจากสำนักข่าวอิสระบางสำนักเท่านั้น
ทีนี้มาพูดเรื่องความชอบธรรม ท่านเหล่านั้นก็อ้างว่ายูเครนมีเอกราช ที่จะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของรัสเซีย
ก็ลองมาพิจารณาเรื่องของแผ่นดินสยามในยุคของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อังกฤษและฝรั่งเศส 2 มหาอำนาจต้องการดินแดนบางส่วนของไทย ถ้าเราจะคิดว่าเป็นประเทศเอกราชเราจะทำอะไรก็ได้ เราจะไม่ยอมเสียแผ่นดินและรบกับมหาอำนาจทั้งสอง ป่านนี้เราคงตกเป็นขี้ข้าตะวันตกไปแล้ว
อย่างนี้ผู้เขียนต้องบอกว่า สมเด็จพระปิยมหาราช ทรงตัดสินพระทัยถูกต้องแล้ว ทั้งๆที่ในขณะนั้นเรามีพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ คือ จักรวรรดิรัสเซีย ในสมัยซาร์ นิโคลัสที่ 2 แต่ถ้าเรารบ สนามรบก็อยู่ในสยาม ประชาชนก็จะเดือดร้อน แผ่นดินถูกทำลาย และถูกยึดครองในที่สุด เพราะมิตรอยู่ไกล แต่ศัตรูมีกำลังจ่อคอยหอยอยู่
กรณียูเครนที่จะเข้านาโต้นั้น รัสเซียเตือนแล้วเตือนอีกหลายครั้ง จนมีการแสดงกำลังด้วยการจัดการซ้อมรบ ด้วยกำลังทหารกว่า 2 แสนนาย แต่เซเรนสกี้ก็ยังคงประกาศกร้าว แข็งขืนพร้อมรบ
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ทั้งหลายก็เห็นพ้องต้องกันว่ารัสเซียคงไม่บุกยูเครน เพราะมันไม่คุ้ม แต่ซีไอเอ.ได้แถลงก่อนรัสเซียบุก 3 วัน ว่าปูตินสั่งบุกแน่ ถ้าเซเรนสกี้เห็นแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง คงต้องรีบเปิดการเจรจากับปูติน แต่นี่ท่านเซเรนสกี้กลับประกาศพร้อมรบ เพราะเชื่อมั่นในการสนับสนุนจากนาโต้ โดยเฉพาะสหรัฐฯ โดยไม่ได้ตระหนักว่าสมรภูมิมันอยู่ในแผ่นดินยูเครน และแผ่นดินจะถูกทำลาย ประชาชนจะเสียชีวิต บาดเจ็บล้มตายหรืออพยพหนีภัย
ถ้าคิดได้อย่างนี้คงไม่ต้องรอ ซีไอเอ.มาคอนเฟิร์มก่อน 3 วันหรอกว่ารัสเซียจะบุก
ที่น่ากังวลก็คือถ้านักวิเคราะห์เหล่านี้เกิดไปเป็นที่ปรึกษารัฐบาล แล้วยึดหลักเอกราชแต่อย่างเดียว จึงยุให้รัฐบาลรบกับมหาอำนาจละก็ยับเยินครับ
ไม่มีประเทศใดหรอกที่จะสร้างความมั่นคงของตนเองโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอื่น แล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้
ทีนี้มาลองพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องกระสุนปืนโดยเฉพาะกระสุนปืนใหญ่ที่เป็นตัวหลักในการทำสงครามยูเครน
แหล่งข่าวจากตะวันตกออกมาเปิดเผยว่า ยุโรปกำลังจัดกระสุนปืนใหญ่ให้ยูเครน 223,800 นัด โดยนายสตาโน โฆษกอียู ทั้งนี้อียูสัญญาว่าจะส่งกระสุนให้ยูเครนตามที่เคยสัญญาว่าจะส่งให้ 1 ล้านนัด ข่าวไม่ได้บอกว่าที่เหลือจะส่งให้เมื่อไร
ครั้นมาดูว่ายูเครนทำการยิงปืนใหญ่ประมาณ 6,000 ถึง 7,000 นัด/วัน กระสุนที่ได้รับมาใช้จะยิงได้เพียง 1 เดือน
ขณะที่ยูเครนขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่อย่างมาก คลังเก็บกระสุนก็ถูกรัสเซียทำลายยับเยิน จึงไม่น่าจะมีกระสุนสำรอง และยังไม่มีความมั่นใจได้ว่าในอีกเดือนถัดไปจะได้กระสุนจากนาโต้หรืออียูหรือไม่
เพราะยุโรปเองก็ไม่มีกำลังผลิตเพียงพอที่จะส่ง นอกจากจะเบิกเอาจากคลังสำรองยามสงคราม ซึ่งก็รวมถึงสหรัฐฯเช่นกัน จากข้อมูลตะวันตก และสำนักข่าว VOA รายงานว่าสหรัฐฯผลิตกระสุนปืนใหญ่ได้ 11,000นัด/เดือน แต่ยูเครนใช้ 7,000 นัด/วัน มันพอไหม
ลองมาเปรียบเทียบอัตราการยิงของยูเครน/รัสเซีย ดังนี้ยูเครนมีอัตราการยิง 250 ตัน/วัน รัสเซียมีอัตราการยิง 2,500 ตัน/วัน ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจากนักวิเคราะห์ข่าวทหารของตะวันตก ว่าถ้าจะเปรียบเทียบปืนใหญ่แล้ว รัสเซียมีมากกว่ายูเครน 10 เท่า
มาดูอัตราการยิงเป็นนัดสูงสุดของรัสเซีย คือ 50,000 – 60,000 นัด/วัน ยิงต่ำสุด 10,000 -20,000 นัด/วัน
ส่วนการผลิตกระสุนปืนใหญ่ของรัสเซีย ตั้งแต่เริ่มสงคราม มีกระสุนในคลัง 15 ล้านนัด กำลังการผลิตทดแทน 1.5 ล้านนัด/ปี ขณะที่อัตราการยิงเฉลี่ยต่อเดือน 1-1.5 ล้านนัด จึงพอสรุปได้ว่ารัสเซียจะมีกระสุนยิงได้ 11 เดือน
ดังนั้นการจะไปเจรจากับเกาหลีเหนือจึงไม่แปลก แต่คงไม่ถึงกับไปสรุปว่า จะมีการแลกเปลี่ยนกับนิวเคลียร์ ซึ่งน่าจะเกินเลยและลามไปถึงว่าปูติน จนมุมแล้ว
อนึ่งการที่ประธานาธิบดีปูติน ได้เดินทางไปพบกับผู้นำเกาหลีเหนือคิม จองอึน ก่อนการประชุม EEF ที่ศูนย์ปล่อยจรวดวอสตอชนี คอสโมโดรม จึงไม่ควรจะไปแปลความหมายว่ารัสเซียจะแลกระสุนปืนใหญ่กับ ICBM ของรัสเซียเป็นอันขาด
แจงสี่เบี้ยอย่างนี้แล้ว ยังจะเชื่อว่ายูเครนจะชนะสงครามก็ตามสบาย แต่ถ้าเห็นกับประชาชนชาวยูเครนก็ให้ช่วยกันสนับสนุนหรือสวดมนต์มีการเจรจาเพื่อสันติภาพโดยเร็วไว