jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ริชาร์ด แบรนสัน ขับรถถังชนกองกระป๋องโคคา โคล่า ภายในนิวยอร์ค - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ริชาร์ด แบรนสัน ขับรถถังชนกองกระป๋องโคคา โคล่า ภายในนิวยอร์ค

ริชาร์ด แบรนสัน ขับรถถังชนกองกระป๋องโคคา โคล่า ภายในนิวยอร์ค

ริชารด แบรนสัน เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของผู้ประกอบการที่เริ่มจากไม่มีอะไรเลย ไม่เคยยอมแพ้ทำให้ความฝันของเขากลายเป็นความจริง แม้แต่ภายหลัง
ความล้มเหลวหรือความสำเร็จหลายครั้ง เขามีความสนุกสนานตามเส้นทาง
“ไม่ว่าอุปสรรคอะไรที่คุณเผชิญ รักษาตาของเราไว้ที่ดาวนำโชค และอย่ามองลงมา” เวอร์จิน กรุ้ป เป็นกลุ่มธุรกิจเอกชนใหญ่ที่สุดภายในอังกฤษ มันได้ถูกมอง
เป็นชื่อตราสินค้าหนึ่งที่เคารพมากที่สุดของโลกก่่อตั้งโดยริชาร์ด แบรนสัน
เมื่อ
ค.ศ 1970 ชื่อเวอร์จินได้ถูกเลือกให้สอดคล้องกับแผนของบริษัทของความ
บริสุทธ์ภายในธุรกิจทุกอย่างที่เข้าไป เนื่องจากพวกเขาใหม่ หรือ “บริสุทธ์”
ต่ออุตสาหกรรม
ริชาร์ด แบรนสัน เรียกชื่อบริษัทของเขา เวอ์รจิน ภายหลังจากการเริ่มต้น
ร้านแผ่นเสียงด้วยเพื่อนของเขา นิค โพเวลล์ เขาได้กล่าวว่าเขาหมายความ
ที่จะขยายไปสู่หลายตลาดนับตั้งแต่การสร้างเวอร์จิน เรคคอร์ด บุคคลหนึ่งของเขาได้ค้นพบชื่อบนพื้นฐานของความไม่คุ้นเคยกับธุรกิจของพวกเขา
มันใหม่หรือ “บริสุทธ์ต่ออุตสาหกรรม
ภายในบันทึกชีวะประวัติของเขา “Losing My Virginity : The Autobiography” ริชาร์ด แบรนสัน กล่าวว่า เขาและโพเวลล์ เริ่มต้นธุรกิจ
อย่างแรกของพวกเขาด้วยกันเป็นร้านแผ่นเสียง พวกเขา “บริสุทธ์”ภายในธุรกิจ การใหม่ต่อบางสิ่งบางอย่างเป็นการบริสุทธ์ต่อมัน ริชาร์ด แบรนสัน
มีวิสัยทัศน์ของการเปิดธุรกิจภายในหลายสาขา แต่รู้ว่าเขาไม่มีประสบการณ์
ภายในธุรกิจใดก็ตามด้วย ชื่อธุรกิจของเขาเป็นการสะท้อนของสิ่งนี้ เขามองเป็นข้อได้เปรียบ เนื่องจากเขาพิจารณาเวอร์จินยึดวิถีทางดีที่สดและสร้างสรรค์ภายในแต่ละอุตสาหกรรม เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจเก่าภายในสาขาของเขา
เราสามารถเป็นเดวิดต่อสู้โกไลแอธ ถ้าเราทำมันอย่างถูกต้อง ริชาร์ด แบรนสัน กล่าว การต่อสู้โกไลแอธเป็นการต่อสู้ที่เราสามารถชนะได้ ต่ออาชีพธุรกิจของผมส่วนใหญ่ ผมแสดงบทบาทของเดวิด และชอบมันทุกวินาที ผมเชื่ออยู่เสมอว่ายิ่งเล็กยิ่งสวยงาม ธุรกิจวัยหนุ่มสาวมีข้อได้เปรียบที่น่าประหลาดใจ
เมื่อต่อสู้คู่เเข่งขันที่ใหญ่โต เราต้องคันหาจุดอ่อนของยักษ์ใหญ่คืออะไร
และใช้ประโยชน์มันให้ดีที่สุดอย่างไร
ความระทึกใจที่สุดของการผจญภัยของริชาร์ด แบรนสันคือการบินที่อัน
ตรายขัามแอตแลนติกภายในบอลลูนอากาศร้อน ภายใต้ความพยายามที่จะร่วมเรื่องราวของเขา ริชาร์ด แบรนสันได้ร่วมทีมกับซันดอก พิคเจอร์สร้างสารคดี “Don’t Look Down” ภาพยนตร์ไม่เพียงแต่ยึดประสบการณ์ของแบรนสันไว้อย่่างสมบูรณ์เท่านั้น แต่ได้ชี้เขาใข้ความบ้าบิ่นต่อข้อได้เปรียบของเขาบรรลุความสำเร็จภายในโลกธุรกิจอย่างไรด้วย
ผมคิดว่าผู้ประกอบการทุกคนเป็นผู้บ้าบิ่นหรือผู้ผจญภัยเล็กน้อย เพียงแค่เป็นผู้ประกอบการ เรากลายเป็นผู้ผจญภัย เมื่อเราสร้างบางสิ่งบางอย่างที่ไมเคยมีใครสร้างมาก่อน เราพยายามทำมันให้ดีกว่าใครเคยทำมันมาก่อน คุณต่อสู้ทำมันให้ดีที่สุด ดังนั้นเราไม่มีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างผู้ผจญภัย
และผู้ประกอบการ ในฐานะของผู้ประกอบการเราต่อสู้ที่จะป้องกันบริษัทของเราจากการล้มละลาย และในฐานะของผู้ผจญภัยเราต่อสู้เพื่อชีวิตของเรา เรา
มีความแตกต่างบางอย่าง
ริชาร์ด แบรนสัน ไม่ชอบอะไรมากกว่าความท้าทายที่น่ากลัว เขามองความเป็นไปไม่ได้เป็นเพียงแค่โอกาสธุรกิจอีกอย่่างหนึ่ง และตลอดอาชีพของเขา เขาได้ใช้บทบาทของเดวิดอย่างฉลาด ต่อสู้
โกไลแอธเหมือนเช่นบริติช แอร์เวย์ อีเอ็มไอ มิวสิค และโคคา โคล่า ด้วย
ความมุ่งหมายของการกลายเป็นดีที่สุด ไม่ใช่ใหญ่ที่สุด และทำงานภายใต้สมมุติฐานว่าเรามีการทำกำไรที่สำคัญภายในชิ้นเล็กของตลาดที่ใหญ่
เครื่องหมายการค้าของเขาเป็นการแสดงความสามารถประชาสัมพันธ์ที่ประหลาด เขาทำเกือบทุกสิ่งทุกอย่างส่งเสริมตราสินค้าเวอร์จิน ขับรถถัง
ตามฟิฟท์ อเวนู ภายในนิวยอร์ค แนะนำเวอร์จิน โคลา แก่อเมริกา หรือเสีี่่่ยง
ภัยชีวิตของเขาภายในการผจญภัยบอลลูนอากาศร้อน เป็นต้น
เรามองว่าเป็นเดวิดสนุกสนานมากกว่าเป็นโกไลเเอธ การสร้างบริษัทจาก
ไม่มีอะไร ต่อสู้กับบริษัทใหญ่ นั่นคือเราเป็นมาอย่างไรและผมสนุกสนานกับ
มัน ผมไม่พยายามทำให้ตัวเราเองอยู่บนตำแหน่งโกไลแอธที่สบายใจ ถ้าเรา
รู้สึกสบายใจเกินไป เรามักจะวิเคราะห์และเเบ่งมันเป็นสองบริษัท ยิ่งเล็กยิ่งสวยงามเมื่อมันมาถึงที่จะบริหารบริษัท
แต่กระนั้น ริชาร์ด แบรนสัน ยอมรับว่าโกไลแอธของโลกธุรกิจโน้มเอียงที่จะชนะการต่อสู้บริษัทที่เล็กกว่า โกไลเเอธมีเท้าใหญ่ภายในกรณีของโคคา โคล่า การอ้างถึงการเเข่งขันที่อายุสั้นระหว่างยักษ์ใหญ่เครื่องดิ่มและเวอร์จิน โคลา
ธุรกิจอย่างหนึ่งของความล้มเหลวที่มักจะอ้างถึงมากที่สุดของบริษัท
แน่นอนอาชีพของริชาร์ด แบรนสันมีจุดสูงสุดบางจุด โดยเฉพาะเมื่อมัน
มาถึงการซื้อบริษัทที่กำลังจะตายและชุบชีวิตมัน
เมื่อ ค.ศ 1997 เขาได้ซื้อเครือข่ายรถไฟที่ทรุดโทรมจากบริติช เรล และทันทีสร้างตราสินค้าใหม่มันเป็นเวอร์จิน เทรนส์ กลยุทธ์พิสูจน์เป็นความเสี่ยงภัยตอนแรก เพื่อสี่ปีบุคคลนั่งบนรถไฟที่ชำรุดด้วยชื่อของเวอร์จินบนมัน ริชาร์ด แบรนสัน พูด เราอยู่ภายในอันตรายของการทำลายชื่อเสียงเวอร์จิน
การซื้อเครือข่ายรถไฟของริชาร์ด แบรนสันรวมถึงการประชาสัมพันธ์อย่างมากเหมือนกับการทำวิศวกรรมกับมัน ระหว่างการสร้างใหม่ เวอร์จินได้ทำการแถลงข่าวเเสดงรถไฟใหม่ต่อประชาชน ยุทธวิิธีของพวกเขาคุ้มค่า เพราะว่า
บริษัทได้เลยพ้นไปจากการให้สัญญาที่จะปรับปรุงระบบรถไฟ
ริชาร์ด แบรนสัน ไม่กลัวความล้มเหลว แต่ไม่เหมือนกับผู้นำธุรกิจหลายคน
เขาไม่ยอมที่จะอยู่ภายในการคุมขังของธุรกิจแกนอย่างเดียว
แทนที่จะยึดอยู่กับเรารู้อะไร ความเชื่อของริชาร์ด แบรนสันคือ ถ้าเรารู้ธุรกิจอย่างหนึ่ง เรารู้ธุรกิจใดก็ได้ ถาเราสามารถบริหารแผ่นเสียง เราสามารถบริหารสายการบิน ถ้าเราสามารถบริหารสายการบิน เราสามารถบริหาร ธนาคาร ถ้าเราสามารถบริหารธนาคาร เราสามารถบริหารบริษัทน้ำอัดลม
และต่อไป
ริชาร์ด แบรนสัน ได้สรุปกลยุทธ์สมัยใหม่ของเวอร์จิน กรุ้ป ด้วยคำพูดอ้างอิง
โอกาสของธุรกิจเหมือนกับรถโดยสาร เรามีรถโดยสารอีกคันหนึ่งตามมาอยู่เสมอ
จุดสำคัญ เวอร์จินพิจารณาธุรกิจที่มีอยู่ มองว่าถ้าพวกเขาสามารถให้บางสิ่งบางอย่างดีกว่าบริษัทเดิมที่อาจจะกลายเป็นใจเย็น – ตัวอย่างเช่น รถไฟ การประกันภัย และธนาคาร กลยุทธ์การกระจายธุรกิจทำให้เวอร์จิน กรุ้ป ไม่ใส่ไข่ทุกใบภายในตะกร้าเดียว
ทำไมริชาร์ด แบรนสัน เชื่อว่าความลุ่มหลงเป็นหัวใจต่อการกระจายธุรกิจ
ของบริษัท ธุรกิจเวอร์จินของเราเกือบทุกอย่างถูกสร้างให้หลุดพ้นจากความผิดหวัง ริชาร์ด แบรนสัน กล่าว ความผิดหวังสามารถนำไปสู่การลบล้างที่ยิ่งใหญ่ได้ และเรามองเลยพ้นมาตรฐานและวิถีทางที่น่าเบื่อของการคิด และ
ผลักดันพรมแดนของความคาดหวัง
เวอร์จิน กรุ้ป ใช้กลยุทธ์อย่างที่สี่ภายในตารางแอนซอฟท์ การกระจายธุรกิจแบบไม่เกี่ยวพันกัน การเข้าไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่ขาดความคล้ายคลึงกันที่สำคัญกับอุตสหกรรมเดิมของบริษัท และมักจะบรรลุความสำเร็จด้วยการรวมและการซื้อบริษัท ในกรณีของเวอร์จินแล้ว กลยุทธ์การกระจายธุรกิจแบบไม่เกี่ยวพันกันเป็นกลยุทธฺ์
ที่บรรลุความสำเร็จอย่างมากในแง่ของการทำกำไรสูงสุด เวอร์จิน กรุ้ป
ได้เติมภายในช่องว่างคุณค่าด้วยการใช้ตารางแอนซอฟท์เพื่อการเจริญ
เติบโตระหว่างประเทศ ตารางแอนซอฟท์เป็นโมเดลธุรกิจเก่าแก่ที่อยู่รอดจนถึงวันนี้ เพราะว่ามันยังคงช่วยเราพัฒนากลยุทธ์การเจริญเติบโตต่อธุรกิจของเรา
จุดสำคัญของการกระจายธุรกิจแบบไม่เกี่ยวพันกันคือ การระบุ
อุตสาหกรรมด้วยศักยภาพการทำกำไรที่เข้มเเข็ง ตรงที่บริษัทมี
ความสามารถภายในช่วยสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน การเข้าไปสู่
ธุรกิจสายการบิน แอตแลนติคของเวอร์จินเมื่อ ค.ศ 1980 เป็นตัวอย่างที่ดี
ณ เวลาที่การ
บริการลูกค้าอย่างมีคุณภาพหาได้ยากภายในอุตสาหกรรมสายการบิน
น่ารำคาญด้วยเที่ยวบินยกเลิก เที่ยวบินล่าช้า และสัมภาระสูญหาย ความสามารถภายในของเวอร์จินให้ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม ตลอดทั้งครอบครัวของบริษัทที่มีอยู่ของพวกเขา สร้างข้อได้ปรียบที่สายการบิน
คู่แข่งขันยากที่จะลอกเลียนแบบ
แต่กระนั้นการกระจายธุรกิจแบบไม่เกี่ยวพันกันบางอย่างของเวอร์จินกรุ้ป
ได้ล้มเหลว บางทีกรณีที่ภาพลักษณ์สูงที่สุดคือ การลุกขึ้นระยะสั้นและล้มเหลวอย่างรวดเร็วของเวอร์จิน โคลา ภายใน ค.ศ 1990 เดินตามแผนที่ทะเยอทะยานแต่ไม่บรรลุความสำเร็จ แข่งขันกับโคคา โคล่า และเป้ปซี่
ริชาร์ด แบรนสันยุ่งเกี่ยวภายในอุตสาหกรรมการพิมพ์ ดนตรี และสาย
การบินอยู่แล้ว เมื่อเขาตัดสินใจเขาสามารถเข้าไปสู่อุตสาหกรรมเครื่อง
ดื่มด้วย
เราได้ตัดสินใจมันจะเป็นความท้าทายที่ตื่นเต้นต่อสู้กับโคคา โคล่า เราคิดว่าเราสามารถคว่ำยักษ์ใหญ่น้ำอัดลมออกจากตำแหน่งผู้นำตลาดของพวกเขา
และมันเป็นความสนุกสนานอย่างมากตามเส้นทาง เราบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ดึงหางบริติช แอร์เวย์ด้วยเวอร์จิน แอตแลนติค และฉลากดนตรีที่
ยิ่งใหญ่ด้วยเวอร์จิน เรคคอร์ด ทำไมโคลาจะเเตกต่างกัน
เรามีรอยยิ้มที่ยิ่งใหญ่ของการคิดว่าวันหนึ่ง โค้กเป็นตราสินค้าที่ดีที่สุด
ภายในโลก และถ้าเราสามารถโค่นล้มโค้กได้ ผมคิดว่ามันเป็นความ
สนุกสนานอย่างมาก ริชาร์ด แบรนสัน กล่าว
ภายหลังจากเวอร์จิน โคล่า เริ่มต้นขายดีกว่าทั้งเป้ปซี่และโคคา โคล่า
ภายในอังกฤษ ริชาร์ด แบรนสันต้องการเเนะนำอย่างกล้าหาญเพื่อ
ผลิตภัณฑ์ของเขาภายในอเมริกา ริชาร์ด แบรนสันและทีมเวอร์จินของเขา
เปิดตัวเวอร์จิน โคล่าภายในอเมริกาเมื่อ ค.ศ 1994 ด้วยการประโคมที่ยิ่งใหญ่
ริชาร์ด แบรนสันขับรถถังเชอร์เเมนผ่านไทม์ สแควร์ ชนกำแพงกองสามตันของกระป๋องโคคา และยิงขวดเวอร์จิน โคลาไปที่ป้ายของโคคา โคล่า
ต่อจากนั้นเวอร์จิน โคล่า ได้เริ่มต้นหายไปจากชั้นวาง ไม่ใช่เพราะว่าลูกค้าซื้อมันไป แต่เพราะว่าคู่แข่งขันใช้ความพยายามอย่างมากทำลายมัน โคคา โคล่า ไปร้านค้าปลีก พวกเขาให้ข้อเสนอที่พวกเขาปฏิเสธไม่ได้ และเทสโคที่มีชั้นวางของเวอร์จิน ทันทีพวกเขาไม่มีเวอร์จิน โคลา บนชั้นวาง ผู้ค้าปลีกได้เริ่มต้นดึงคำสั่งซื้อเวอร์จิน โคลา ของพวกเขา
ริชาร์ด แบรนสัน กล่าวว่า เขาได้เรียนรู้ที่มีคุณค่าจากความล้มเหลว โคคา โคลา มีอำนาจการยิงมากกว่าเรา พวกเขาเททรัพยากรยิ่งใหญ่ทุกอย่างอัดเรา
บทเรียนที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับการวางความมุ่งหมาย ณ หัวใจของธุรกิจของเรา และสร้างความแตกต่างอย่่างแท้จริง
ปัญหาคือ เราไม่มีบางสิ่งบางอย่างทีไม่เหมือนใครทั้งหมด เรามีตราสินค้าที่
ยิ่งใหญ่ แต่โคคา โคลา มีตราสินค้าที่ยิ่งใหญ่ด้วย รสชาติของโคลาอาจจะดีกว่าเล็กน้อย แต่มันไม่ได้มีผลอะไร ดังนั้นนับแต่นั้นมาอะไรที่ผมได้เรียนรู้คือ การเข้าไปสู่ธุรกิจตรงที่เราชัดเจนดีกว่าการแข่งขันทุกอย่าง ผมต่อสู้ด้วยทุกวิธี ทำให้บางสิ่งบางอย่างบรรลุความสำเร็จ แต่ช่วงเวลาที่ผมรับรู้ว่ามันไม่บรรลุความสำเร็จ วันต่อไปผมจะลืมเกี่ยวกับมัน ผมจะก้าวไปสู่ธุรกิจต่อไป เราล้มเหลวหลายครั้ง และเราทำผิดหลายครั้ง และมันเป็นเพราะว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เราบรรลุความสำเร็จ มันด้วยความพยายามเท่านั้นที่จะสร้างสรรค์ ล้มเหลว เรียนรู้จากความล้มเหลวนั้น และเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง ความมุ่งหมายจะปรากฏขึ้นมา

ริชาร์ด แบรนสัน กล่าวว่า ความท้าทายเป็นการจุดเชื้อการกระทำของมนุษย์ มันเป็นความท้าทายที่นำมนุษย์จากถ้ำไปสู่ดวงดาว เขาเป็นบุคคลแรกข้ามแอตแลนติกภายในบอลลูนอากาศร้อน ต่อมาเขาได้ท้าทายตัวเขาเองข้ามมหาสมุทรแปซิฟิค เขาได้เปิดตัวเที่ยวบินการค้าไปอวกาศด้วยบริษัทของเขา เวอร์จิน กาแลคทิค เขารักษาการพิสูจน์อย่างต่อเนื่องที่เราไม่มีข้อจำกัด และกระตุ้นบุคคลกำหนดเป้าหมายของพวกเขาที่สูงเท่าที่
เป็นไปได้
ริชาร์ด แบรนสัน ได้ใช้วิถีทางของเดวิด ต่อสู้ โกไลเเอธ ภายในธุรกิจ เขาเลือกอุตสาหกรรมบริโภคอยู่เสมอ ตรงที่เขาสามารถท้าทายบริษัทใหญ่ ด้วยการให้บริการลูกค้าที่ดีกว่า คุณค่าสูงกว่า และความสนุกสนานมากกว่่า
ริชาร์ด แบรนสัน ชอบที่จะย้ำว่าเขาไม่เคยเรียนรู้กฏของการดำเนินธุรกิจที่บรรลุความสำเร็จ มันไม่น่าประหลาดใจที่เขาไม่เคยเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสไตล์เฉพาะของความเป็นผู้นำ แต่สไตล์ความเป็นผู้นำของเขามาจากบุคลิกภาพส่วนบุคคลของเขา และการเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขาเอง
เขาเสี่ยงภัยอย่างสม่ำเสมอที่จะมองอะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้ ในขณะที่ริชาร์ด แบรนสัน ไม่ได้สอดคล้องสไตล์เฉพาะ สไตล์ความเป็นผู้นำของเขาแสดงคุณลักษณะของ ความเป็นผู้นำแบบปฏิรูป ความเป็นผู้นำแบบรับใช้ และความเป็นผู้นำแบบเสรีนิยม
ริชาร์ด แบรนสันเป็นผู้นำแบบเสรีนิยม เพราะว่าเขาเชื่อภายในการปล่อยให้บุคคลเรียนรู้จากความผิดพลาดของพวกเขา ในขณะที่เขาอาจจะกำหนดเป้าหมาย และให้คำแนะนำแก่บุคคลของเขา เขาคาดหวังให้พวกเขาทำงานที่ต้องการไปสู่ที่นั่น เขาได้ร่วมอะไรที่เขารู้ แต่เขาเข้าใจว่าบุคคลเรียนรู้ได้
ดีที่สุดจากการกระทำด้วย
จากความล้มเหลวของเขากับเวอร์จิน โคลา ไปสู่ความสำเร็จของเวอร์จิน แอตแลนติก ริชาร์ด แบรนสัน ได้รวมทีมของบุคคล และปล่อยให้พวกเขาแสดงตามที่พวกเขาว่าเหมาะสม บางครั้งหมายถึงการยอมให้พวกเขาล้มเหลว สิ่งนี้ได้กลับมากัดเขาระหว่างการเดินทางบอลลูนที่มีชื่อเสียง ทำให้หุ้นส่วนของเขาต้องกระโดดลงมหาสมุทรและเกือบจม
ริชาร์ด แบรนสันเป็นผู้นำเแบบปฏิรูปอย่างแท้จริง เขาได้กำหนดเป้าหมายที่สูงส่งอย่างต่่อเนื่องต่อบริษัทของเขา

ผู้ประกอบการไอคอน เซอร์ ริชารด แบรนสัน ได้สร้างอาณาจักรธุรกิจโลกของเขาบนหลักการและจริยธรรมเฉพาะ ในขณะที่สุภาษิตโดยทั่วไป ลูกค้าถูกต้องเสมอ มีความสำคัญ ริชาร์ด แบรนสันได้เดินตามความเชื่อของเขาเอง เขาได้กล่าวว่า ลูกค้าไม่ได้มาลำดับแรก บุคคลมาลำดับแรก
ถ้าเราดูแลบุคคลของเราดี พวกเขาจะดูแลลูกค้าดี เขาได้พูดสิ่งนี้ตลอด 25
ปีที่แล้ว มานานก่อนที่แนวคิดของบริการลูกค้าภายในได้ถูกคิด และเขา
เป็นผู้นำคนหนึ่งของหลายคนของเศรษฐกิจประสบการณ์ที่ยึดกันในขณะนี้ เขากล่าวว่า เราไม่มีสูตรวิเศษเพื่อวัฒนธรรมบริษัทที่ยิ่งใหญ่
จุดสำคัญเพียงแค่ปฏิบัติต่อบุคคลของเราอย่างที่เราอยากให้ถูกปฏิบัติเท่านั้น
เพื่อที่จะมั่นใจว่าบุคคลของเขาถูกดูแลอย่างดี ริชาร์ด แบรนสัน แม้แต่ได้ออกไปไกลที่จะรวบรวมการป้อนกลับด้วยการเดินรอบห้องโดยสารและพูดคุยกับบุคคลของเขาระหว่างเที่ยวบินเวอร์จินของเขา ดังที่เขามองเห็นมัน
สูตรเรียบที่ง่ายมาก บุคคลที่มีความสุขเท่ากับลูกค้าที่มีความสุข ทำนองเดียวกัน บุคคลทีไม่มีความสุขสามารถทำลายประสบการณ์ตราสินค้า
ไม่เพียงแค่ลูกค้าหนึ่งคนแต่มากมาย
ถ้าบุคคลทำงาน ณ บริษัทของเราไม่ชื่นชม พวกเขาจะไม่ทำสิ่งเหมือน
เช่นยิ้ม ริชาร์ด แบรนสัน พูด โดยไม่ปฏิบัติต่อบุคคลอย่างดี บริษัทเสี่ยงภัยสูญเสียลูกค้าต่อบริการที่ไม่ดี เขาต้องมั่นใจเวอร์จินให้ความสำคัญบุคคลเป็นลำดับแรก และผู้ถือหุ้นลำดับที่สาม ในที่สุดผู้ถือหุ้นของเราดีขึ้น ลูกค้าของเราดึขึ้น และบุคคลของเรามีความสุข ทำนองเดียวกับดอกไม้ต้องการน้ำ บุคคลงอกงามเมื่อพวกเขาถูกชื่นชม
กลุ่มเวอร์จินของริชาร์ด แบรนสันประกอบด้วยบริษัทมากกว่า 400 บริษัท
และเขาเป็นผู้สนับสนุนอย่างแท้จริงของการทำอะไรที่ถูกต้องภายในวัฒนธรรมของบริษัท ก่อนที่จะมุ่งองค์ประกอบภายนอกรวมทั้งลูกค้า
ตอนอายุ 16 ปี เขาได้ออกจากโรงเรียนและสร้างวารสารชื่อ สติวเด้นท์
เมื่อ ค.ศ 1972 เขาได้เปิดตัวค่ายเพลง เวอร์จิน เรคคอร์ด และลงนามกับ
ไมค์ โอลด์ฟิลด์ เปิดตัวอัลบั้มที่ปฏิรูปชีวิตของผม และเริ่มต้นตราสินค้าเวอร์จิน อัลบั้มนั้นเป็นทิวบูล่าร์ เบลล์ อัลลั้มที่สวยงามของผม เมื่อ ค.ศ 1980 เขาได้ก่อตั้งเวอร์จิน แอตเเลนติก แอร์เวย์ ขึ้นมา
เศรษฐกิจประสบการณ์ต้องการธุรกิจปรับปรุงการนำเสนอของพวกเขา
และหยุดขึ้นอยู้กับผลิตภัณฑ์ บริการ และราคา เป็นผู้ชนะ หมายความว่าประสบการณ์ของลูกค้ายึดเวทีกลางในขณะนี้ และบรรลุความสำเร็จได้เท่านั้น ต่อเมื่อวัฒนธรรมภายในและประสบการณ์อยู่ ณ ระดับของความ
ดีเยี่ยม
เศรษฐกิจประสบการณ์เป็นการขายของประสบการณ์น่าจดจำแก่ลูกค้า
ประสบการณ์ของลูกค้าเป็นความสำคัญต่อธุรกิจและลูกค้ามาหลายปี
เเต่ความคิดที่ประสบการณ์เป็นแหล่งคุณค่าย้อนหลังไปเมื่อถ้อยคำได้ถูกใช้ครั้งแรกภายในบทความ 1998 โดยโจเซฟ ไพน์ และเจมส์
กิลมอร์ อธิบายเศรษฐกิจข้างหน้าตามมาจากเศรษฐกิจเกษตร เศรษฐกิจอุตสาหกรรม และไม่นานมานี้เศรษฐกิจบริการ ภายในเศรษฐกิจประสบการณ์ ประสบการณ์เป็นที่เก็บคุณค่า บุคคลมากขึ้นกำลังใช้เงิน
ของพวกเขากับประสบการณ์ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์อย่่างไร เศรษฐกิจประสบการณ์เป็นเศรษฐกิจที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการหลายอย่างถูกขาย
ด้วยการมุ่งเน้นผลกระทบที่มันสามารถมีต่อต่อชีวิตของบุคคล
ปรัชญาบริษัทที่บุคคลเป็นทรัพย์สินยิ่งใหญ่ที่สุดของเราของริชาร์ด
แบรนสัน ไม่เพียงแค่สร้างความประทับใจต่อกำลังงาน เขามองว่าบุคคล
ควรจะถูกให้ลำดับความสำคัญสูงสุด ดังนั้นเขาได้สร้างวัฒนธรรม
ไม่มีลำดับชั้น ความเสมอภาค และความเป็นครอบครัว ภายในทุกบริษัท สภาพเเวดล้อมที่บุคคลชอบทำงานและมาทำงาน จุดสำคัญของปรัชญาบริษัทคือ ริชาร์ด แบรนสัน ต้องการรักษาความซื่อสัตย์ของผู้ประกอบการไว้ภายในเวอร์จิน
ถ้าเราล้มเหลวที่จะจูงใจบุคคลของเรา เราไม่สามารถผ่านพ้นเวลาที่ลำบากได้ ถ้าบุคคลของเรามีความสุข และสนุกสนานกับงานของพวกเขา พวกเขาจะยังคงมีประสิทธิภาพอยู่ ผลตามมาลูกค้าจะพอใจประสบการณ์ของพวกเขากับบริษัทของเรา
ริชาร์ด แบรนสัน สามารถสร้างเวอร์จินเป็นมหาอำนาจโลกด้วยการมุ่งค่าพูดที่สำคัญสองตัว “การบริการลูกค้า” จากเวอร์จินแอตเเลนติค ไปสู่เวอร์จิน โมบาย ธุรกิจเวอร์จินใหม่แต่ละอย่างได้ร่วมความผูกพันหาที่เปรียบไม่ได้ต่อลูกค้าของตราสินค้า ที่จริงแล้วเขาไม่ยอมวางชื่อเวอร์จินบนบริษัทที่เขาซื้อ จนกว่ามันจะมีความสามารถที่เหมาะสมของการบริการลูกค้า น่าประหลาดใจที่ริชาร์ด แบรนสันไม่ได้วางลูกค้าเป็นลำดับเเรก บุคคลของเวอร์จินเป็นลำดับความสำคัญสูงสุดของบริษัท ดูเเล้วมันขัดเเยังกับภูมิปัญญาธุรกิจเก่าแก่ เเต่มันบรรลุความสำเร็จต่อเวอร์จิน ดังที่ ริชาร์ด
แบรนสัน กล่าวว่า เขาประหลาดใจบริษัทที่ไม่รับเอากลยุทธ์การบริหาร
ที่บุคคลเป็นศูนย์กลาง
ลูกค้าถูกต้องเสมอยังคงเป็นบัญญัติที่ไม่ถูกท้าทายของธุรกิจเกือบตลอดเวลา และมันมีเหตุผลด้วย ลูกค้าเป็นอะไรที่สูบป้อนเชื้อเพลงแก่เครื่องยนต์ของเรา กฏได้วางความต้องการของพวกเขาเหนือสิ่งอื่นใดอยู่เสมอ แต่เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลง เมื่ออำนาจซื้อของรุ่นวายได้เจริญเติบโต
แต่ละวัน มันกลายเป็นชัดเจนที่ธุรกิจกำลังกลายเป็นน้อยลงมาเกี่ยวกับ
การซื้อขายเงินเพื่อผลิตภัณฑ์ รุ่นนี้กำลังกำลังสร้างวัฒนธรรมของการซื้อขายเงินเพื่อประสบการณ์
ผลกระทบของเศรษฐกิจประสบการณ์นี้ได้ถูกมองเห็นทั่วโลกอยู่เเล้ว เรา
เชื่อว่ามันเป็นเวลาที่เราคิดใหม่ลูกค้าถูกต้องเสมอหรือไม่ มันกลายเป็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจประสบการณ์กำลังเจริญเติบโตเท่านั้น และเพื่อธุรกิจ
ที่จะอยู่รอด ไม่ว่าพวกเขาอยู่ภายในอุตสาหกรรมอะไร พวกเขาต้องเริ่มต้นคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา และมากขึ้นเกี่ยวกับประสบการณ์
ที่พวกเขานำเสนอต่อลูกค้าของพวกเขา และอะไรขับเคลื่อนประสบการณ์
ลูกค้าของเรามากที่สุด คำตอบคือ บุคคลของบริษัท
เพื่อที่จะบรรลุความสำเร็จภายในโลกขับเคลื่อนประสบการณ์ใหม่นี้ มัน
เป็นเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดของเราจากลูกค้าลำดับเเรกเป็น
บุคคลลำดับเเรก
ริชาร์ด แบรนสัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการประกาศให้ 250 ล้านเหรียญแก่บุคคลของเขา มุ่งหมายที่จะช่วยชีวิตบุคคลของเขา ด้วยกระเเสรายได้ที่สำคัญมาจากการเดินทางอากาศ เรือสำราญ โรงแรม และธุรกิจที่
เกี่ยวพัน กลุ่มเวอร์จินของริชาร์ด แบรนสัน และบุคคล 70,000 คนทั่วโลกของพวกเขาได้ถูกกระทบอย่างมากด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากโคโรนาไวรัส
เพื่อที่จะหยุดการไหลของเลือด ริชาร์ด แบรนสันได้เปิดตัวแผนของเขาที่จะช่วยชีวิตธุรกิจของเขา เส้นทางที่เริ่มต้นด้วยการช่วยชีวิตบุคคลของเขา
ดังที่เขาได้อธิบาย ลำดับความสูงสุดของเขาคือ รักษางานไว้ และนั่นคือ
250 ล้านเหรียญน่าจะเป็นเพียงแค่เริ่มต้น

 

อิกอร์ แอนฟซอฟท์ ได้พัฒนาตารางผลิตภัณฑ์-ตลาด เรียกกันว่าตาราง
แอนซอฟท์ ขึ้นมาเมื่อ ค.ศ 1957 และได้กลายเป็นผลงานที่โด่งดังไปทั่วโลก ตารางแอนซอฟท์ไดัถูกพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเป็นบทความชื่อ Strategies for Diversification ภายในวารสารของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ต่อมาตารางแอนซอฟท์ ได้ถูกพิมพ์ภายในหนังสือของเขาชื่อ Corporate Strategy ค.ศ 1965
เราจะมีวิถีทางที่แตกต่างกันของการเจริญเติบโตธุรกิจ อิกอร์ แอนซอฟท์ ได้ระบุกลยุทธ์สี่อย่างเพื่อการเจริญเติบโต และได้สรุปมันไว้ภายในตารางแอนซอฟท์ที่เรียกกัน
ตารางแอนซอฟท์เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งใช้โดยบริษัทที่จะวิคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ของพวกเขาเพื่อการเจริญเติบโต ตารรางแอนซอฟท์แสดงกลยุทธ์สี่อย่างที่สามารถถูกใช้ช่วยให้บริษัทเจริญเติบโตและวิเคราะห์ความเสี่ยงภัยที่เกี่ยวพันกับกลยุทธ์แต่ละอย่างด้วย ตารางแอนซอฟท์ทำให้ผู้บริหารสรุปได้อย่างรวดเร็วเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจริญเติบโตเหล่านี้ และเปรียบเทียบมันต่อความเสี่ยงภัยที่เกี่ยวพันกับกลยุทธ์แต่ละอย่าง ความคิดคือแต่ละครั้งที่เราก้าวไปสู่ช่องใหม่ตามแนวนอนหรือแนวดิ่งของตาราง ความเสี่ยงภัยจะเพิ่มขึ้น
1 การเจาะตลาด
บริษัทที่ใช้การเจาะตลาดจะเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นด้วยการขายภัณ์เดิมภายในตลาดเดิม ด้วยคำพูดอีกอย่างหนึ่ง บริษัทมุ่งหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของพวกเขาภายในตลาดเดิม การขายผลิตภัณฑ์มากขึ้นแก่ลูกค้าเดิม หรือการค้นหาลูกค้าใหม่ภายในตลาดเดิม บริษัทจะพยายามเพิ่มยอดขายของผลิตภัณฑ์ในขณะนี้ภายในตลาดขณะนี้ด้วยการส่งเสริมการขายและการจัดจัดหน่ายอย่างรุกรานมากขึ้น การลงทุนภายในการตลาดมากขึ้น และการ
เพิ่มกำลังการผลิตที่มีอยู่
การเจาะตลาดสามารถถูกกระทำภายในวิถีทางโดย การลดราคาที่จะดึงดูดลูกค้าเดิมหรือใหม่ การเพิ่มการส่งเสริมการขาย และความพยายามทางการจัดจำหน่าย หรือการซื้อคู่แข่งขันภายในตลาดเดียวกัน เช่น บริษัทยักษ์ใหญ่สามรายของโลก ยูนิลีเวอร์ พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิ้ล และคอลเกต ปาล์มโอลีฟ นักการตลาดที่เชี่ยวชาญการโฆษณาและการส่งเสริมการตลาด ได้ใช้การเจาะตลาดเพิ่มยอดขายอยู่เสมอ
2 การพัฒนาตลาด
บริษัทที่ใช้การพัฒนาตลาดจะเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นด้วยการขายผลิตภัณฑ์เดิมภายในตลาดใหม่ การขยายตัวไปสู่ตลาดใหม่อาจจะหมายถึงการขยายตัวไปยังพื้นที่หรือ กลุ่มลูกค้าใหม่ การพัฒนาตลาดจะบรรลุความสำเร็จมากที่สุดเมื่อบริษัทเป็นเจ้าของเทคโนโลยีลิขสิทธ์ มันสามารถใช้ประโยชน์ภายในตลาดใหม่ได้ และลูกค้าภายในตลาดใหม่จะมีกำไร การพัฒนาตลาดสามารถถูกกระทำโดย การสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ การเข้าไปสู่ตลาดใหม่ภายในประเทศ – การขยายตัวทางพื้นที่ และการขยายตัวไปสู่ตลาดต่างประเทศ – การขยายตัวระหว่างประเทศ เช่น โคคาโคล่า ได้ใช้
การพัฒนาตลาดเพิ่มยอดขายด้วยการสร้างตลาดใหม่ขึ้นมาทั่วโลก วิสัยทัศน์ของโค้กคือ “เราเอาโค้กใส่มือ แล้วยื่นไปยังบุคคลทุกคนทั่วโลก” แมคโด
นัลด์ ได้ใช้การพัฒนาตลาดเพื่อการดำเนินธุรกิจไปทั่วโลกยกเว้นภูมิภาคไม่กี่แห่งของตะวันออกกลาง เอเชียตะวันตก และอัฟริกา
3 การพัฒนาผลิตภัณฑ์
บริษัทที่ใช้การพัฒนาผลิตภัณฑ์จะเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นด้วยการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ภายในตลาดเดิม การพัฒนาผลิตภัณฑ์จะเกี่ยวพันกับการวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้น และการขยายตัวของขอบเขตผลิตภัณฑ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จะถูกใช้เมื่อบริษัทมีความเข้าใจอย่างดีต่อต่อตลาดในขณะนี้ของพวกเขา และสามารถให้ข้อแก้ปัญหาทางนวัตกรรมที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดเดิม การพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถูกกระทำโดย การลง
ทุนอาร์ แอนด์ ดี ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบสนองตลาดเดิม เช่น โตโยต้า มอเตอร์ ได้ใช้การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มยอดขายด้วยการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดเฉลี่ยทุกสองปี แมคสลัดจะเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของแมคโดนัลด์ เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ตระหนักทางสุขภาพ
4 การกระจายธุรกิจ
บริษัทที่ใช้การกระจายธุรกิจจะเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นด้วยการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ภายในตลาดใหม่ แม้ว่าการกระจายธุรกิจจะเป็นกลยุทธ์เสี่ยงภัยที่สุด ความเสี่ยงภัยสามารถถูกลดลงได้ด้วยการกระจายธุรกิจที่เกี่ยวพันกัน การกระจายธุรกิจต้องการทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และตลาด และอาจจะอยู่ภายนอกความสามารถแกนของบริษัท ที่จริงแล้วช่องนี้ของตารางอาจจะถูกมองว่าเป็นช่องฆ่าตัวตายโดยบุคคลบางคน แต่กระนั้นการกระจายธุรกิจอาจะเป็นทางเลือกที่มีเหตุผล ถ้าความเสี่ยงภัยสูงได้ถูกชดเชยด้วยผลตอบแทนที่สูง เช่น เป้ปซี่ โค. ได้ใช้การกระจายธุรกิจเพิ่มยอดขายด้วยการเข้าไปสู่ธุรกิจ ร้านอาหารเคเอฟซี พิซซ่า ฮัท และทาโก้ เบลล์ มาแล้ว

กลยุทธ์การกระจายธุรกิจของบริษัทอาจจะแบ่งได้เป็นการกระจายธุรกิจที่เกี่ยวพันกัน และการกระจายที่ไม่กี่ยวพ้นกัน การกระจายธุรกิจแบบเกี่ยวพันกันเป็นการการกระจายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่เชื่อมโยงกับธุรกิจเดิมของบริษัท การเชื่อมโยงนี้อยู่บนรากฐานของการใช้การผลิต การตลาด และเทคโนโลยีร่วมกัน การกระจายธุรกิจแบบไม่เกี่ยวพันกันเป็นการกระจายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่ไม่เชื่อมโยงกับธุรกิจเดิมของบริษัท
บริษัทที่ใช้กลยุทธ์การกระจายธุรกิจอาจจะมีระดับของการกระจายธุรกิจและการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจของพวกเขาแตกต่างกันไป ริชาร์ด รูเมลท์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ไ้ด้แบ่งการกระจายธุรกิจได้เป็นห้าระดับคือ บริษัทที่ใช้กลยุทธ์ธุรกิจอย่างเดียวกระจายธุรกิจน้อยที่สุด บริษัทที่ใช้กลยุทธ์การกระจายธุรกิจที่ไม่เกี่ยวพันกันกระจายธุรกิจมากที่สุด ริชารด
รูเมลท์ ได้ใช้แหล่งที่มาของรายได้จากการขายพิจารณาระดับของการกระจายธุรกิจ
บริษัทที่มีระดับการกระจายธุรกิจต่ำจะมุ่งธุรกิจอย่างเดียวหรือธุรกิจที่สำคัญ บริษัทที่มีธุรกิจอย่างเดียวจะมีรายได้จากธุรกิจอย่างเดียวมากกว่า 95% ของรายได้รวม บริษัทที่มีธุรกิจที่สำคัญจะมีรายได้จากธุรกิจที่สำคัญระหว่าง 70% และ 95% ของรายได้รวม
บริษัทที่มีระดับการการกระจายธุรกิจปานกลางและสูง บริษัทที่มีรายได้มากกว่า 30% ของรายได้รวมนอกเหนือจากธุรกิจที่สำคัญ หรือน้อยกว่า 70% ของรายได้รวมจะมาจากธุรกิจที่สำคัญ และธุรกิจจะมีการเชื่อมโยงระหว่างกันด้วยวิถีทางบางอย่าง บริษัทจะมีการกระจายธุรกิจแบบเกี่ยวพันกันมาก แต่ถ้าบริษัทมีการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจน้อย บริษัทจะมีการกระจายธุรกิจที่เกี่ยวพันกันและไม่กี่ยวพันกันผสมกัน บริษัทที่มีระดับการ
กระจายธุรกิจสูงมาก เมื่อบริษัทมีการกระจายธุรกิจที่ไม่เกี่ยวพันเลย การเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจจะไม่มี และมากกว่า 30% ของรายได้รวมนอกเหนือจากธุรกิจที่สำคัญ หรือน้อยกว่า 70% ของรายได้รวมจะได้มาจากธุรกิจที่สำคัญ
ริชาร์ด รูเมลท์ เป็นนักวิชาการทางกลยุทธ์คนแรกที่ได้ค้นพบการเชื่อมโยงทางสถิติระหว่างการกระจายธุรกิจและการทำกำไร เขาได้ชี้ให้เห็นว่าบริษัท
ที่มีการกระจายธุรกิจปานกลางทำกำไรดีกว่าบริษัทที่มีการกระจายธุรกิจมาก

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *