ทรัมป์สร้างปรากฏการณ์พลิกประวัติศาสตร์
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
ทรัมป์สร้างปรากฏการณ์พลิกประวัติศาสตร์
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่อดีตประธานาธิบดีหมาดๆ จะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งอีกครั้ง เพื่อแก้มือกับประธานาธิบดีไบเดน ที่เขาพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ท่ามกลางข่าวลือว่ามีการโกงเลือกตั้ง และตัวทรัมป์เองก็กำลังเผชิญปัญหาด้วยข้อกล่าวหาทางกฎหมายเพื่อเตะตัดขามิให้ลงสมัครชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี
แต่ปรากฏว่าการออกเสียงเบื้องต้น (CAUCUS) ในพรรครีพับลีกันที่รัฐไอโอวา และเป็นชัยชนะที่ขาดลอยของทรัมป์ทำลายสถิติในพรรคการเมือง ในวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น
แม้ว่าทรัมป์จะพ่ายแพ้แก่ไบเดน จนต้องออกจากทำเนียบขาว แต่เขาก็ไม่เคยออกห่างจากความสนใจของสาธารณะ
นักวิเคราะห์หลายสำนักให้ความคิดเห็นในวันถัดมา ว่าแนวโน้มการกลับมาของเขาในเดือนพฤศจิกายน ที่จะถึงบ่งบอกถึงความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในสหรัฐฯ ท่ามกลางข้อถกเถียงและคดีความและความขัดแย้งนี้นับว่าลึกซึ้งและจะเร่งให้ระบอบประชาธิปไตยที่ง่อนแง่นอยู่แล้วของสหรัฐฯ มีโอกาสพังทลายกลายเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายขัดแย้ง และระบอบที่เสื่อมถอย
ไปส่วนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นอกจากมีปัญหาสุขภาพและความสูงวัยแล้ว ยังมีคดีความเกี่ยวกับการสมคบคิดที่มีส่วนร่วมในการคอร์รัปชั่นและโยงใยกับลูกชายฮันเตอร์
ปัญหาสำคัญอีกบางประการคือ ใครจะเป็นคู่สมัครรองประธานาธิบดี ถ้าเป็นคนเดิมคือ กมลา แฮริส ก็บอกได้เลยว่าคะแนนคงตกกลงแน่จนถึงแพ้ นอกจากนี้ถ้าจอห์นเอฟ เคเนดี้ จูเนียร์ ประกาศลงเลือกตั้งในพรรคที่ 3 ก็จะให้คะแนนของพรรคเดโมแครต ที่สนับสนุนไบเดนหดหายไป โดยเฉพาะจากสมาชิกหัวก้าวหน้า
อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสองคนนี้ที่นโยบายแข็งกร้าวต่อจีน จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่หากทรัมป์ได้ชัยชนะนโยบายเกี่ยวกับรัสเซียอาจมีการเปลี่ยนแปลง 360 องศา
ดังนั้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจและติดตามโดยเฉพาะปีนี้จะมีการเลือกตั้งทั้งหมดประมาณ 70 ประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และคงถึงคราวที่โลกจะต้องเปลี่ยนจากขั้วเดียวเป็นหลายขั้ว ซึ่งในระยะของการเปลี่ยนแปลงอาจเกิดความรุนแรง ถึงขั้นสงครามใหญ่ได้
ประเทศไทยจึงควรจัดตั้งวอร์รูมเพื่อเตรียมความพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะการจัดเตรียมให้พร้อมด้านความมั่นคงทางอาหาร อย่าหลงดีใจที่อินโดนีเซียสั่งข้าวเรา 1 ล้านตัน ในปีหน้า ถ้าไทยขาดแคลนข้าวขึ้นมาคงเป็นเรื่องน่าสังเวช
ทั้งนี้เวียดนาม และอินเดีย ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ต่างระงับการส่งออกแล้ว ยิ่งปีนี้เอลนีโญฝนแล้ง ผลผลิตข้าวจะตกต่ำมาก
ส่วนเรื่องพลังงานก็ขอให้รีบเร่งให้ความร่วมมือกับซาอุดิอารเบียในการสร้างแท้งค์ฟาร์มเพื่อกักตุนน้ำมันดิบแต่เนิ่นๆ ก่อนราคาพุ่งสูงและเกิดการขาดแคลน เพราะสงครามในตะวันออกกลาง มีแนวโน้มขยายตัว จึงต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน
จึงขออนุญาตเตือนมา ณ ที่นี้ครับ