สุภาพสตรีไม่ใช่เพื่อ “ยูเทิร์น”
สุภาพสตรีไม่ใช่เพื่อ “ยูเทิร์น”
มาร์กาเรต เเธตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและเท่านั้นของอังกฤษแสดงเธอเป็นผู้นำแห่งโลกเสรี เรามีการเห็นด้วยโดยทั่วไปว่าเธอเป็นนายกรัฐมนตรีคนสำคัญที่สุดภายในครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ
และได้สร้างผลกระทบส่วนบุคคลที่สำคัญต่อการเมืองอังกฤษ เธอได้ถูกมองเป็นนักการเมืองของความเชื่อมั่นที่วางหลักการ ก่อนความได้เปรียบ มาร์กาเรต เเธตเชอร์มักจะถูกแสดงเป็นนายกรัฐมนตรีนักรบสุภาพสตรีเหล็ก เป็นเพศหญิงและรู้ที่จะปลูกฝังความกลัวและความเคารพ ท่ามกลางผู้ชายที่เข้มแข็งอย่างไร แต่ภาพพจน์ที่มีพลังนี้ไม่ได้มาตามธรรมชาติมาสู่เธอ ภาพพจน์ของเเธตเชอร์ที่เธอได้สร้างอย่างรอบครอบและรู้จักคิด เธอรู้ความสำคัญของภาพพจน์จากตอนเริ่มต้น และนี่ได้ถูกขีดเส้นใต้ประเด็นที่ภาพพจน์ไม่ใช่โดยกำเนิด ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สร้างมัน พวกเขาทำงานอย่างขยัน ขัดเกลาและรักษามัน ยอมรับความเจ็บปวดที่จะหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดที่อาจจะทำลายมัน
มาร์กาเรต เเธตเชอร์เป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ของผู้นำด้วยการปรากฏตัวแบบผู้บริหาร เธอได้สมดุลความเป็นเพศหญิงด้วยการรู้อย่างไรและเมื่อไรที่จะปลูกฝังความกลัวและความเคารพท่ามกลางผู้ชายที่เข้มแข็ง เธอได้บันดาลใจความรักและความจงรักภักดีจากผู้สนับสนุนของเธอเอง และไม่เหมือนผู้นำอังกฤษคนอื่นใดเลยนับตั้งแต่วินสตัน เชอร์ชิลมาร์กาเรต เเธตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกือบสิบสองปีระหว่างค.ศ 1979 และ ค.ศ 1990 เธอมักจะถูกเรียกเป็น สุภาพสตรีเหล็ก และข้อเท็จจริงยินดีเมื่อเธอได้ถูกให้ชื่อเล่นนั้น เพราะว่าเธอเชื่อต่อการเป็นผู้นำที่เข้มเเข็ง เมื่อเธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรี เธอได้นำประเทศของเธอไปสู่สงครามภายในเกาะฟอล์คแลนด์ และได้ชับชนะอย่างมีชื่อเสียง มาร์กาเรต แธตเชอร์ ได้สร้างสร้างสไตลฺการเมืองใหม่ตามชื่อของเธอ แธตเชอร์ลิสซิม และเธอไม่ยอมได้เงินเดือนสูงกว่ารัฐมนตรีของเธอ และได้รอดชีวิตจากการลอบสังแผนที่วางแผนไว้อย่างระมัดระวัง เธอเป็นแม่ของลูกฝาแฝด และเลี้ยงดูภายอพารตเม้นท์ที่มีแต่น้ำเย็นเท่านั้น ห้องน้ำอยู่ข้างนอก และไม่มีที่อาบน้ำข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ทาสีภาพของผู้หญิงที่บรรลุความสำเร็จมากที่สุดของศตวรรษนี้ภายในโรงเรียน เธอประทับใจมากที่สุดกับครู่ใหญ่ผู้หญิงของเธอ นางสาววิลเลียมส์ ครั้งหนึ่งเธอได้บอกต่อนักข่าวว่าวิลเลียมส์เป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งภายในชีวิตของเธอ เธอพูดอยู่เสมอว่า คุณต้องไม่พอใจจนเกินไปกับอะไรที่คุณได้ทำ คุณต้องพยายามทำให้ดีขึ้นอะไรก็ตามที่คุณมี คุณต้องพยายามดำเนินชีวิตให้ดีที่สุดที่อยู่ภายในคุณมาร์กาเรต เเธตเชอร์ ได้วางแผนทั้งชีวิตของเธอ บนปรัชญาของการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของนางสาววิเลียมส์มาร์กาเรต แธตเชอร์ เกิดเมื่อ ค.ศ 1925 ณ แกรนทัม เมืองเล็กภายในลิงคอลนเชียร์ เธอเสียเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ 2013 ลอนดอน เป็นลูกของอัลเฟิรด โรเบิรต และเบียทริช สตีเฟนสัน บิดามารดาของเธอทำร้านขายของชำ เเละเธออาศัยอยู่ภายในร้าน บางครั้งเธอช่วยเหลืออยู่ข้างหลังเคาน์เตอร์ เมื่อตอนเธอเกิดเมืองยังคงฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเด็กมีเพียงไม่กี่คนน้อยกว่าปรกติ เพราะว่าผู้ชายจำนวนมากต้องไปสู้รบและถูกฆ่า เมื่อเธอเจริญเติบโตสงครามโลกครั้งที่สองได้เกิดขึ้นเมื่อเธออายุ 14 ปี และสิ้นสุดเมื่อเธออายุ 20 ปีมาร์กาเรต แธตเชอร์เป็นนักการเมืองพรรคอนุรักษ์นิยม และกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของยุโรป นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนเดียวเท่านั้นภายในศตวรรษที่ 20 ชนะสามวาระติดต่อกัน มาร์กาเรต แธตเชอร์ ศึกษาเคมี ณ มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ตรงที่เธอกลายเป็นประธานของสมาคมอนุรักษ์นิยมของมหาวิทยาลัย ภายหลังจากเธอจบมหาวิทยาลัย เธอได้งานแรกของเธอเป็นนักเคมี แต่กระนั้นความสนใจแท้จริงของเธอคือการเมือง และพยายามกลายเป็นสมาชิกของรัฐสภาของเมืองดาร์ทฟอร์ดภายในเคนท์ เธอได้พยายามสองครั้งแต่ล้มเหลว เพราะว่าผู้ออกเสียงส่วนใหญ่ภายในดาร์ทฟอรดสนับสนุนพรรคแรงงานแต่เธอเป็นผู้สมัครสาวที่สุดภายในประเทศและสวยงามมากดังนั้นภาพของเธออยู่ภายในหนังสิอพิมพ์หลายฉบับ ภาพของเธอได้แสดงเธอดูแล้วเป็นอย่างไร ณ เวลานั้น เธอสนุกสนานอย่างมากที่จะต่อสู้การเลือกตั้งมันเป็นดาร์ทฟอร์ดที่เธอได้พบและเเต่งงานกับเดนิส เเธตเขอร์ นักธุรกิจร่ำรวย ดังนั้นเธอได้กลายเป็น มาร์กาเรต เเธตเชอร์ ไม่ถึงสองปีต่อมาเธอได้ให้กำเนิดลูกแฝดมาร์กาเรต เเธตเชอร์ ได้กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง และภายใน ค.ศ 1970 เมื่อเอดวาร์ด เฮลท์ กลายเป็นนาบกรัฐมนตรี เธอได้รับงานที่สำคัญของรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา รับผิดชอบต่อโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของ
อังกฤษ เธอมีช่วงเวลาที่ไม่ดีเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาโดยเฉพาะภายในปีเเรกของเธอ เธอได้ถูกโจมตีจากบุคคลที่ไม่พอใจว่าเธอได้ยกเลิกนมโรงเรียนฟรีแก่เด็กอายุมากและได้ชื่อเล่นว่า “ผู้ฉกฉวยนม” และเธอไม่มีความสุขณ เวลานั้น แต่ในที่สุดเธอถูกทำให้เข้มแข็งขึ้นด้วยประสบการณ์ และข้อวิจารณ์หลายอย่างต่อเธอ การนำมาสู่ที่จะรับรู้ว่าเธอเป็นบุคคลที่เข้มแข็งอย่างไรในฐานะของนายกรัฐมนตรี มาร์กาเรต แธตเชอร์ ได้สร้างผลกระทบที่สำคัญอย่างมากคือ เศรษฐกิจ ด้วยการสืบทอดเศรษฐกิจที่อ่อนแอ เธอได้ลดหรือกำจัดข้อบังคับของรัฐบาลบางอย่างเธอได้ดำเนินการนโยบายเศรษฐกิจรู้จักกันเป็นเเธตเชอร์ริสซึม เธอได้ลดอิทธิพลสหภาพเเรงงานลงการแปรรูปอุตสาหกรรมที่รัฐเป็นเจ้าของบางอย่าง เธอไม่ยอมรับทฤษฎีเศรษฐกิจของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ สนับสนุนการใช้จ่ายขาดดุลระหว่างช่วงเวลาของการว่างงานสูง แต่เธอชอบนโยบายการเงินนิยมของ มิลตัน ฟรีดเเมน นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยชิคาโกเธอเชื่อว่ารัฐบาลควรจะมีการยุ่งเกี่ยวทางเศรษฐกิจน้อยที่สุด และตลาดเสรีจะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ขึ้น ด้วยเหตุนี้นโยยายเศรษฐกิจของเธอมุ่งที่การแปรรูปอุตสาหกรรมที่รัฐเป็นเจ้าของ การผ่อนคลายข้อบังคับของภาคการเงิน และการลดอำนาจของสหภาพเเรงงานลง นโยบายเหล่านี้ทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ การว่างงานสูง และความไม่เสมอภาคทางสังคมความเป็นผู้นำของมาร์กาเรต เเธตเชอร์ มักจะถูกมองเป็นเผ็ดจการและการแบ่งแยก เธอได้ถูกรู้จักกันต่อการสื่อสารอย่างขวานผ่าซาก และความเต็มใจที่จะเผชิญหน้าคู่ต่อสู้โดยตรง วิถีทางการเผชิญหน้าของเธอต่อการเมืองมักจะทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนเเรงจากบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของเธอแม้ว่าเรามีการโต้เถียงเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของมาร์กาเรตเเธตเชอร์ ผลกระทบของเธอต่อการเมืองอังกฤษไม่สามารถประเมินค่าต่ำได้ เธอเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป ด้วยการแนะนำการปฏิรูปปัดกวาด เธอได้สร้างใหม่สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ ความเป็นผู้นำของเธอได้ถูกแสดงโดนวิสัยทัศน์ที่ขัดเจน ความมุ่งมั่นอย่างไม่ท้อถอย และความเต็มใจใช้การกระทำที่กล้าหาญความเป็นผู้นำของมาร์กาเรตเเธตเชอร์สร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อบทบาทของผู้หญิงภายในการเมืองอังกฤษ ในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก เธอได้ทุบเพดานแก้ว การปูเส้นทางเพื่อรุ่นในอนาคตของผู้หญิงเข้ามาสู่การเมือง การลุกขึ้นไปสู่อำนาจของมาร์กาเรต แธตเชอร์เป็นสัญลักษณ์ความก้าวหน้าต่อสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคทางเพศของผู้หญิง นักหนังสือพิมพ์รัสเซียได้เรียกชื่อเธอ สุภาพสตรีเหล็กชื่อเล่นที่กลายเป็นเชื่อมโยงกับการเมืองที่ไม่ประนีประนอมของเธอและสไตล์ความเป็นผู้นำของเธอมันต้องใช้ 26 ปีต่อมาแก่อังกฤษที่จะได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองมาการ์เรต แธตเชอร์ ได้ลุกขึ้นจากลูกสาวของผู้ขายของชำไปสู่รัฐบาลสามวาระ เป็นนายกรัฐมนตรี มันอาจจะถูกเรียกเป็นเทพนิยาย เด็กหญิงที่กวาดร้านของชำของครอบครัว จบลงด้วยการเต้นรำภายในห้องเต้นรำกับผู้นำโลก และได้รับชื่อเรียกบารอนเนส มาร์กาเรต แธตเชอร์ ไม่ได้มีแม่ทูนหัวมีปีกโบกไม้กายสิทธิ์ การลุกขึ้นของเธอไปสู่เชื่อเสียงมาจากความฉลาดและความกล้าหาญสมัยเก่าเราต่างชื่นชมแรงขับเคลื่อนและความมุ่งมันของเธอ เธอไม่เพียงแต่ทุบเพดานแก้วของการเมืองอังกฤษ แต่สุภาพสตรีเหล็กคนนี้ ได้ให้ความหวังว่าอุปสรรคสามารถถูกทำลายภายในพื้นที่อื่น และความฝันสามารถเป็นจริง ถ้าคุณเต็มใจทำงานให้กับมัน
“สุภาพสตรี ไม่ใช่เพื่อเลี้ยวกลับ” มันเป็นถ้อยคำที่มีชื่อเสียงที่ใช้โดยมาร์กาเรตแธตเชอร์ภายในการปราศัยของเธอต่อการประชุมของพรรคอนุรักษ์นิยมเมื่อ ค.ศ 1980 เธอได้มุ่งเน้นความมุ่งมั่นและความแน่วแน่ของเธอภายในความเชื่อทางการเมืองของเธอ การให้สัญญานความผูกพันของเธอต่อนโยบายของเธอ และไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางภายในการตอบสนองต่อการคัดค้านจากทั้งพรรคของเธอเองและพรรคตรงกันข้ามเธอได้เผชิญกับการวิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของการเปิดเสรีอย่างทะเยอทะยาน นำไปสู่การว่างงานเพิ่มขึ้น และการถดถอยทางเศรษฐกิจเมื่อต้น ค.ศ 1980 ข้อวิจารณ์จากพรรคอนุรักษ์นิยมของเธอเอง ด้วยการเรียกร้องการเลี้ยวกลับ – ยู-เทิรน ภายในนโยบายเศรษฐกิจ รับมือความท้าทายเผชิญอยู่โดยประเทศ
แต่กระนั้นภายในคำปราศัยของเธอ มาร์กาเรต เเธตเชอร์มั่นคงภายในความผูกพันของเธอต่อนโยบายของเธอ และวิสัยทัศน์ระยะยาวต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจของอังกฤษ สำนวนท้าทายทำให้ภาพพจน์ของเธอหนักแน่นเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมุ่งมั่น จนเธอได้รับชื่อเล่นว่า สุภาพสตรีเหล็ก สุภาพสตรีไม่ใช่เพื่อเลี้ยวกลับได้กลายเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจอย่างมากต่อมาร์กาเรต เเธตเชอร์และผู้สนับสนุนของเธอ มันได้กลายเป็นคำขวัญที่เป็นตัวอย่างชัดเจนความแน่วแน่และความมุ่งมั่นของเธอภายในการเผชิญกับความลำบาก ตลอดการเป็นนายกรัฐมนตรีของเธอจาก ค. ศ 1979 ถึง ค.ศ 1990 มาร์กาเรต แธตเขอร์ยังคงมั่นคงต่อการเดินตามอนุรักษ์นิยมของเธอ ของการลดบทบาทของรัฐ ส่งเสรีภาพของบุคคล และสนับสนุนเศรษฐกิจตลาดเสรี นโยบายของเเธตเชอร์รู้จักกันเป็นแธตเชอร์ริสซึม ปล่อยทิ้งผลกระทบอย่างยั่งยืนต่อสังคมอังกฤษ
การกดดันให้เปลี่ยนเส้นทางได้กลายเป็นช่วงเวลากำหนดภายในความเป็นผู้นำของเธอ สุภาพสตรีไม่ใช่เพื่อเลี้ยวกลับของเธอ ได้ถูกพิจารณาเป็นคำปราศัยนิยามภายในการพัฒนาการเมืองของเธอ เธอได้กลายเป็นบางสิ่งบางอย่างของสุภาษิตของเธอ ถ้อยคำได้สร้างการอ้างอิงต่อการไม่ยอมกระทำ ยู-เทิรน ภายในการตอบสนองต่อการคัดค้านต่อการปล่อยเสรีของเศรษฐกิจเมื่อต้น ค.ศ 1970 นายกรัฐมนตรีเอดเวิรด เฮธ กำลังเผชิญกัยการว่างงานที่สูง และความไม่สงบของสหภาพเเรงงานอย่างมากมาย เขาได้ถูกบังคับให้หันกลับเส้นทาง แทนความเข้มงวด เขาได้สูบเงินไปสู่เศรษฐกิจผ่านการเพิ่มเงินบำนาญและสวัสดิการ และการลดภาษี การเปลี่ยนแปลงภายในนโยบายนั้นเรียกกันว่า ยู-เทิรนมาร์กาเรต แธตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรี ณ เวลาที่เศรษฐกิจของอังกฤษกลายเป็นชะงักงัน และเงินเฟ้อรุนแรง มันเกิดขึ้นจากรัฐบาลได้แนะนำรัฐสวัสดิการและทำให้ธุรกิจจำนวนหนึ่งเป็นของรัฐ เช่น รถไฟ โทรศัพท์ สายการบิน และน้ำมัน นอกจากนี้สหภาพเเรงงานเข้มแข็งจนพวกเขากำหนดให้บริหารธุรกิจของพวกเขาอย่างไรมาร์กาเรต แธตเชอร์ ได้พลักกลับการบุกรุกของรัฐบาลอย่างมากไปสู่ตลาด ภายในการทำสิ่งเหล่านี้เธอมักจะยกคำพูดของอับราฮัม ลินคอล์น “คุณไม่สามารถทำให้จุดอ่อนเข้มแข็งขึ้นโดนทำให้จุดเเข็งอ่อนแอลง”และ “คุณไม่สามารถทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองโดยการขัดขวางความประหยัด”
นายกรัฐมนตรีหลายคนได้ยึดครอง 10 ดาวนิ่ง สตรีท ยาวนานหรือแม้แต่นานกว่า มาร์กาเรต แธตเชอร์ บุคคลบางคนได้ชนะการเลือกตั้งหลายครั้ง เช่น โทนี แบร์ แต่มาร์กาเรตเเธตเชอร์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนเดียวเท่านั้นของอังกฤษ ยึดครองครั้งแรกลำดับที่ 10 กลายเป็น “อิสซึม” ภายในชีวิตของเธอ เธอทิ้งไว้ข้างหลังตราสินค้าการเมืองและความเชื่อที่ยังคงกังวาลอยู่ ในฐานะของนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ ค.ศ 1979 ถึง ค.ศ 1990 มาร์กาเรต เเธตเชอร์ ได้ปฏิรูปอังกฤษ และได้ทิ้งมรดกอุดมการณ์แก่คู่แข่งขัน คาร์ล มาร์ก เหมา เซตุง มหาตมะ คานธี หรือโรนัลด์ เรแกนอะไรคือความเชื่อหล่านี้ ภายในกรณีของมาร์กาเรตเธตเชอร์ วิถีทางรวดเร็วที่สุดต่อแต่งหน้าการเมืองของเธอผ่านทางกระเป๋าถือเมื่อเธอได้ตระเตรียมให้การปราศัยครั้งแรกของเธอต่อการประชุมพรรคอนุรักษ์นิยมเมื่อ ค.ศ 1975 เธอได้ยกคำพูดของอับราฮัม ลินคอล์นต่อบุคคลที่ถูกล่อใจให้เลี้ยวซ้ายคุณไม่สามารถทำให้จุดอ่อนเขัมแข็งโดยการทำให้จุดเเข็งอ่อนเเอ คุณไม่สามารถนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองโดยขัดขวางความประหยัด คุณไม่สามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้ค่าจ้างโดยการดึงลงผู้เสียภาษี คุณไม่สามารถส่งเสริมความเป็นพี่นองของบุคคลด้วยการการกระตุ้นความเกลียดชังชนชั้น คุณไม่สามารถช่วยเหลือคนยากจนด้วยการทำลายคนร่ำรวย คุณไม่สามารถป้องกันความยุ่งยากด้วยการใช้จ่ายมากกว่าที่คุณมีรายได้ คุณไม่สามารถสร้างบุคลิกภาพ และความกล้าหาญด้วยการเอาการริเริ่มและอิสระภาพของบุคคลออกไป คุณไม่สามารถช่วยเหลือบุคคลอย่างถาวรด้วยการทำอะไรที่พวกเขาสามารถทำและควรจะทำเพื่อตัวพวกเขาเอง มันได้ถูกกล่าวกันว่านักการเมืองกำลังทำในขณะนี้คือการจัดเรียงใหม่เก้าอี้ดาดฟ้าบนไททานิคจัดเรียงใหม่เก้าอี้ดาดฟ้าบนไททานิค ได้ถูกใช้เพื่อการกล่าวว่าบุคคลบางคนกำลังสูญเสียเวลาจัดการกับอะไรที่ไม่สำคัญ และได้ละเลยปัญหาที่รุนแรงมาก ถ้อยคำที่มีสีสันประวัติศาสตร์นี้ ได้ปรากฏครั้งแรกภายในวารสารไทม์ เพียงแค่ภายหลังคริสต์มาส 1969 ถายในบทความเกี่ยวกับการตกต่ำของศาสนาบทความของวารสารไทม์ ได้อ้างถึงบาทหลวงไม่มีชื่อเปรียบเทียบความพยายามที่ไม่ได้ผลของคริสตจักรคาทอลิกที่จะดึงดูดนักบวชเป็นการลากไปลากมาเก้าอี้ดาดฟ้าบนไททานิค นับตั้งแต่นั้นมาการเปรียบเทียบได้ถูกใช้อ้างถึงการกระทำที่ไร้ประโยชน์อะไรก็ตามภายในการเผชืญกับความหายนะกำลังจะเกิดขึ้นเเนวคิดของการจัดเรียงใหม่เก้าอี้ดาดฟ้าบนไททานิคห่อหุ้มด้วยสภาวะความคิดสองอย่างที่จับมือกัน การหมดหนทางและการไม่ยอมรับ เมื่อเผชิญกับปัญหาที่ดูเหมือนแก้ไม่ได้ และรู้สึกหมดหนทาง บางครั้งจิตใจพยายยามป้องกันตัวมันโดยการแสร้งทำปัญหาไม่ได้มีอยู่ หรือไม่ได้ใหญโตหรือคุกคามการไม่ยอมรับเป็นวิธีการทางจิตใจที่อาจจะช่วยบุคคออกจากความตกใจภายในระยะสั้นแต่มันไม่ได้แก้ไขอะไรก็ตามภายในระยะยาว การไม่ยอม รับแม้แต่สามารถสร้างความเศร้าสลดที่อาจจะหลีกเลี่ยงได้การไม่ยอมรับแสดงบทบาทต่อการฆ่าผู้โดยสารของไททานิคมากกว่า 1500 คน ผู้สร้างเรือและผู้ปฏิบัติงานเชื่อว่ามันไม่จม และปล่อยมันบนแอตแลนติกเหนือโดยไม่มีเรือชูชีพอย่างเพียงพอ การไม่ยอมรับของพวกเขาได้เลวร้ายลงเมื่อมันได้ถูกรายงานการจมด้วยการเสียชีวิตจำนวนมากรุ่งเช้าวันต่อมารองประธานบริษัทของไวท์ สตาร์ ไลน์ไม่ยอมรับรายงานว่าไททานิคได้จมจริง เราให้ความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ภายในไททานิค เขาได้ประกาศต่อสื่อ เราเชื่อเรือไม่มีวันจม ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เขาได้พูดถ้อยคำเหล่านี้ ไททานิคกำลังนั่งอยู่บนฟลอร์มหาสมุทร การไม่ยอมรับของเขาอาจจะให้การปลอบใจชั่วคราวต่อบุคคลรายรอบเขา แต่ผู้เสียชีวิตไม่สามารถโกหกได้ทำนองเดียวกับแรงบันดาลใจไททานิคของเรา “เรือที่ไม่มีจม” ผมเพียงแค่ย้ายเก้าอี้ดาดฟ้าของผมจากท้ายเรือไปหัวเรือ และเฝ้ามองแสงจันทร์ริบหรี่ภายในการสะท้อนของภูเขาน้ำแข็งที่นั่น ชื่อไททานิคตัวมันเองได้กลายเป็นความหมายเดียวกับความล้มเหลว เมื่อบางสิ่งบางอย่างดูเหมือนไร้ประโยชน์ เรามักจะใช้ถ้อยคำมันหมือนกับการจัดเรียงใหม่เก้าอี้ดาดฟ้าบนไททานิคตามคำบอกเล่าทุกเช้าลูกเรือต้องจัดเรียงเก้าอี้ดาดฟ้าทุกตัว และให้มันรับแสงอาทิตย์ เมื่อเรือแล่นไประหว่างวัน พวกเขาตรวจสอบสถานการณ์อย่างระมัดระวัง และจัดเรียงใหม่เก้าอี้ดาดฟ้า ผู้เห็นเหตุการณ์ได้รายงานว่าเมื่อเรือได้จมลง ลูกเรือยุ่งอยู่กับจัดเรียงใหม่เก้าอี้ดาดฟ้า มั่นใจว่ามันไม่ได้ไหลไปตามดาดฟ้าและทำให้บุคคลบาดเจ็บสตีเฟน โควี่ย์ ได้กล่าวว่าการบริหารที่มีประสิทธิภาพโดยไม่มีความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล เหมือนที่บุคคลได้ใช้ถ้อยคำว่า มันเหมือนกับการทำให้เก้าอี้ดาดฟ้าบนไททานิคเป็นระเบียบ ไม่มีความสำเร็จของการบริหารสามารถชดเชยต่อความล้มเหลวของความเป็นผู้นำได้ เเต่ความผู้นำยาก เพราะว่าเรามักจะติดอยู่กับกรอบความคิดของการบริหารสตีเฟน โควีย์ ผู้เขียน “Seven Habits of Highly Effective People” ได้พูดเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่่างเป้าหมายและการทำงานไปสู่เป้าหมาย นี่เป็นการสร้างความเเตกต่างที่สำคัญอย่างมาก นิสัยอย่างที่สองของเขาภายในหนังสือเรียกว่าการเริ่มต้นด้วยเป้าหมายภายในใจ การมุ่งไปที่การเลือกเป้าหมายเหล่านี้ ณ แกนของนิสัยที่ 2 คือความคิดว่าผู้นำที่มีประสิทธิภาพต้องจินตนาการผลลัพธ์ที่ต้องการ มันหมายถึงการสร้างวิสัยทัศน์ที่ดึงดูดต่ออนาคตของเรา วิสัยทัศน์ที่ระบุอย่างดีใช้เป็นดาวนำทาง วิสัยทัศน์นี้ต้องถูกถ่ายทอดเป็นเป้าหมายที่กระทำได้นิสัยอย่างที่สองอยู่บนจินตนาการ ความสามารถจินตนาการต่อความคิดอะไรที่คุณไมสามารถมองเห็นในขณะนี้ด้วยสายตาของคุณ อยู่บนหลักการว่าทุกสิ่งถูกสร้างสองครั้ง เรามีการสร้างความคิดลำดับแรก ตรงที่เราจินตนาการอะไรที่เราต้องการสร้าง และการสร้างทางกายภาพลำดับที่สอง เมื่อเราได้สร้างมันจริง
หนังสือได้เเยกระหว่างความเป็นผู้นำและการบริหาร ความเป็นผู้นำเกี่ยวกับการกำหนดอะไร และการบริหารเกี่ยวกับอย่างไร ความเป็นผู้นำกล่าวว่า บันไดได้พิงบนกำแพงที่ถูกต้องหรือไม่ในขณะที่การบริหารกล่าวว่าประสิทธิภาพภายในการปีนบันไดเเห่งความสำเร็จอย่างไร
การบริหารคือประสิทธิภาพภายในการปีนบันไดแห่งความสำเร็จ ความเป็นผู้นำตัดสินใจบันไดพิงกำเเพงที่ถูกต้องหรือไม่ สตีเฟน โควีย์ได้สรุปมันอย่างสมบูรณ์ภายในหนังสือของเขา “The 7 Habits of Highly Effective People” คุณสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างความเป็นผู้นำและการบริหาร ความเป็นผู้นำและการบริหารเป็นสิ่งแตกต่างกันสองสิ่ง ความเป็นผู้นำไม่ใช่การบริหาร ความเป็นผู้นำต้องมาก่อน การบริหารเป็นจุดมุ่งบรรทัดสุดท้าย เราสามารถบรรลุบางสิ่งบางอย่างได้อย่างไร ความเป็นผู้นำเกี่ยงข้องกับบรรทัดบน สิ่งที่เราต้องการบรรลุคืออะไร
นิสัยที่ 2 เริ่มต้นด้วยเป้าหมายภายในใจ ถามคุณที่จะแสดงความเป็นผู้นำส่วนบุคคล มันถามว่า คุณเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำด้วยผลลัพธ์ที่ชัดเจน หรือจุดหมายปลายทางภายในใจ นิสัยที่ 2 กล่าวว่าเราสามารถใช้จินตนาการของเราพัฒนาวิสัยทัศน์ชีวิตอุดมคติของเรา และใช้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเรากำหนดค่านิยมนำเราไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ ภายในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ ด้วยการเริ่มต้นด้วยเป้าหมายภายในใจ เราสามารถมั่นใจว่าเรามีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนและการกระทำที่เราใช้ เคลื่อนเราไปภายในทิศทางที่ถูกต้อง มันง่ายที่จะเริ่มต้นเดินทาง ถ้าคุณรู้ว่าคุณกำลังไปที่ไหนนิสัยที่ 2 ขอคุณจินตนาการงานศพของคุณเอง และจินตนาการอะไรที่บุคคลจะกล่าวเกี่ยวกับคุณ ณ คำสรรเสริญของคุณ พวกเขาจะจดอะไรต่อคุณ ถ้าเรารู้เราต้องการให้ถูกจดจำอย่างไร เราสามารถเริ่มต้นกระทำในขณะนี้ที่จะกลายเป็นบุคคลในอนาคต ด้วยการจินตนาการผลลัพธ์ของเป้าหมายของคุณ คุณสามารถระบุการกระทำอะไร เคลื่อนคุณไปสู่เป้าหมายของคุณ และนำคุณไปไกล คุณสามารถระบุการกระทำที่ถูกต้องได้ดีขึ้น ใช้ภายในปัจจุบันบรรลุความฝันในอนาคตของคุณเรามีเก้าอี้ผัาใบไม้ 614 ตัวบนไททานิค เมื่อมันออกไปสู่ทะเลเพื่อการเดินทางคร้งแรกและครั้งสุดท้ายของมัน ทุกเช้าลูกเรือจะแก้มัดเก้าอี้ผ้าใบ และจัดเรียงมันอย่างดึงดูด ดังนั้นผู้โดยสารสามารถนั่งเล่นบนเก้าอี้ผ้าใบ ผู้โดยสารสามารถจัดเรียงมันอย่างไรตามที่พวกเขาชอบ สันนิษฐานได้ว่าไม่มีใครจัดเรียงใหม่เก้าอี้ผ้าใบเมื่อไททานิคจม แต่จัดเรียงใหม่เก้าอี้ผัาใบบนไททานิค เป็นวิถีทางที่สั้นของการแสดงต่อการทำสิ่งที่ไม่สำคัญหรือไร้สาระแทนที่จะทำสิ่งที่สำคัญภายในชีวิตจัดเรียงใหม่เก้าอี้ในขณะที่เรือกำลังจมเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราทำ ดังนั้นทำไมมันเป็นสิ่งเเรกที่เราหลายคนทำ และนั่นเป็นอะไรที่เราทำ เราวางสิ่งสุดท้ายมาก่อน ผลลัพธ์คืออะไร เป้าหมายผิด อาชีพล้มเหลวครอบครัวพังทลายสุขภาพไม่ดี บริษัทตกต่ำลงนั่นเป็นอะไรที่เกิดขึ้นต่อไททานิค จมลงเมื่อ ค.ศ 1921 ด้วยผู้เสียชีวิต 1517 คนความปลอดภัยก่อนถูกวางไว้สุดท้าย เรือแล่นด้วยความเร็วสูงผ่านสนามน้ำแข็งที่อันตราย เรือชูชีพมีไม่เพียงพอต่อผู้โดยสารทุกคน พวกเขาไม่มีการฝึกอบรมเรือช่วยชีวิต ดังนั้นพวกเขาไม่รู้ต้องทำอะไรเมื่อความหายนะทำให้ตกใจกลัวการเรียงใหม่เก้าอี้ผัาใบบนไททานิค เป็นวิถีทางที่เรียบง่ายของการเเสดงการให้ความสำคัญต่อสิ่งเล็กน้อยไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ
Cr : รศ สมยศ นาวีการ