สงครามไซเบอร์ระเบิดแล้ว
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
สงครามไซเบอร์ระเบิดแล้ว
หลายฝ่ายกำลังวิตกกังวลกันอย่างกว้างขวางว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 มีมากน้อยเพียงใด จะเกิดที่ไหนก่อนและจะเกิดเมื่อไร
เหตุที่คนทั้งหลายคิดถึงสงครามใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น เพราะมันมีการสู้รบกันในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ยูเครน ตะวันออกกลาง เมียนมา ซูดาน และยังมีความตึงเครียดในอีกหลายพื้นที่ เช่น ในทะเลจีนตอนใต้
แต่ที่คนทั้งหลายมองสภาพสงครามนั้นมันคือสงครามกายภาพ ที่มีการสู้รบกันด้วยอาวุธปืนระเบิด และอุปกรณ์ต่างๆโดยใช้กำลังทหารหรืออาจขยายตัวไปถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์
ทว่าสงครามในศตวรรษที่ 21 นี้ มันเป็นสงครามพันทางhybrid ที่มีการต่อสู้กันในหลายรูปแบบโดยที่อาจไม่ได้ใช้อาวุธปืนตามรูปแบบสงครามกายภาพ เช่น สงครามเศรษฐกิจ สงครามการข่าว สงครามไซเบอร์ เป็นต้น
เมื่อมองในรูปแบบสงครามพันทาง เราอาจจะมองได้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้เริ่มไปแล้วตั้งแต่ปี 2019 นั่นก็คือสงครามชีวภาพ ที่หลายคนอาจจะงงว่ามันคืออะไร แต่ถ้าบอกว่ามันคือการแพร่ระบาดใหญ่ของโรค Covid-19 อันเป็นเชื้อโรคที่เกิดจากฝีมือมนุษย์
และพลันที่เชื้อโรคระบาดได้ไม่นานเกินปี ก็มีวัคซีนออกมาตอบสนอง ซึ่งก็ยังก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกหลายเรื่อง รวมทั้งความสามารถในการป้องกันโรคของวัคซีน ยังมียารักษาที่ก็มีปัญหาในการรักษาเช่นกัน
นี่ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิดแต่มันผ่านการวางแผนและจัดเตรียมมาอย่างดี ผลคือเศรษฐกิจโลกพัง ประชาชนในบางพื้นที่ล้มตายจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐฯ ยุโรป เอเชีย แต่บริษัทยารวยมหาศาล จนบัดนี้ตัวเชื้อโรคก็ยังกลายพันธุ์ก่อความเสียหายอย่างต่อเนื่อง สงครามนี้ผิดแผนตรงที่ไม่อาจควบคุม จำกัดเขตได้ แต่บริษัทยาโดยเฉพาะในสหรัฐฯ รวยอื้อ
สงครามเศรษฐกิจเริ่มภายหลังรัสเซียเปิดปฏิบัติการพิเศษทางทหารกับยูเครนในปี 2022 สหรัฐฯประกาศแซงก์ชั่น รัสเซีย โดยรวมหัวกันพันธมิตร ทำให้เกิดปัญหา Supply Chain Disruption คือการหยุดชะงักในกระบวนการผลิตของโลก ทำให้เศรษฐกิจยิ่งตกต่ำลงไปอีก
จากนั้นก็เป็นการต่อสู้กันในสงครามค่าเงินดอลลาร์ที่ออกมาเกินความต้องการ ภายใต้การหนุนหลังของสถานะการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีหนี้ท่วมหัว ทำให้เกิดการสร้างระบบทางเลือกคือ BRICS นี่คือสงครามเศรษฐกิจที่กำลังจะถึงจุดแตกหัก
สงครามข้อมูลข่าวสารก็กำลังเข้มข้น ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าก่อให้เกิดสำนักข่าวทางเลือกอีกเป็นดอกเห็ด ทำให้ผู้เสพข่าวมีทางเลือกมากขึ้น และความได้เปรียบของโลกตะวันตกที่คุมสื่อกระแสหลักของโลกก็เริ่มมีบทบาทลดลง
แต่ข้อมูลข่าวสารมันต้องพึ่งพาเทคโนโลยี IT ทำให้ต้องมีการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพรองรับ การสร้างซอฟแวร์ แพลตฟอร์ม การจัดบริการโครงข่าย ซึ่งมีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการในยุคดิจิทัล ตลอดจนกระจายบริการไปถึงลักษณะการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ต้องอาศัยเครื่องมือด้าน IT มากขึ้น โดยเฉพาะการแพร่กระจายของโทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone) ตลอดจนการเชื่อมโยงกับ Platform ต่างๆ
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของสหรัฐฯ ทำให้ประเทศนี้โดยบริษัทไม่กี่บริษัทอย่าง Micro Soft หรือ FB หรือ Meta, Apple, Amazon และ Google มีอิทธิพลครอบงำโลกส่วนใหญ่ จนกระทั่งจีน และรัสเซียต้องสร้างระบบของตนเองเพื่อให้เกิดอำนาจอธิปไตยทาง Cyber ของตนเอง
และบัดนี้สงครามไซเบอร์ก็ได้ประทุขึ้นด้วยมือมืดที่ทำการตรวจสอบกำลังSystems Destruction ที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 19 ก.ค.2024
เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นในหลายประเทศหลายภูมิภาคทั้งในยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น นั่นคือสายการบินทั้งหมดเกิดปัญหาในการบริการผู้โดยสารต้องยกเลิกไม่มีกำหนด โรงพยาบาลหลายแห่งไม่อาจให้บริการได้เพราะไม่อาจใช้ Platform ของบริษัทไมโครซอฟได้ ไฟฟ้าดับ ธนาคารหยุดบริการ รวมทั้งบริการสาธารณะของรัฐ ปั่นป่วนกันไปหมด แม้จะเกิดขึ้นไม่นานนัก
บริษัทไมโครซอฟที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกออกมาแถลงว่าเกิดจากโปรแกรมป้องกันไวรัสของบริษัท Security ที่เป็นคู่สัญญา คือ โปรแกรม Crowd Strike ที่ต้อง UP Grade แต่มันเกิดรวน และได้รับการแก้ไขแล้ว
แต่ความจริงที่น่าตกใจเบื้องลึกมันเกิดจากการโจมตึทางไซเบอร์ที่คลาวด์อันเป็นแหล่งเก็บข้อมูลขนาดมหึมา แม้จะยังไม่มีการพิสูจน์ก็ไม่มีคำอธิบายที่มีเหตุผลกว่านี้
นี่เป็นการทดสอบกำลังหรือเปล่า และถ้าใช่โลกตะวันตกและระบบที่ครอบงำโลกอยู่ที่กระจายไปถึงผู้บริโภคจำนวนมาก ที่จำเป็นต้องใช้บริการผ่านเครือข่ายก็จะได้รับผลกระทบอย่างมากต่อการดำรงชีวิตประจำวัน
ในขณะที่รัสเซีย จีน และอิหร่าน ที่ใช้ระบบของตนเองและไม่จำเป็นต้องพึ่งโครงข่ายของตะวันตก กลับไม่มีผลกระทบอะไรเลยในวันเวลาดังกล่าว
ระบบที่ล่มไม่ได้มีผลต่อพลเรือนที่ใช้บริการเท่านั้น แต่ระบบควบคุมอาวุธระยะไกลของตะวันตกต่างก็ประสบปัญหากันไม่มากก็น้อย ซึ่งยิ่งสร้างความหวั่นวิตกให้กับหน่วยงานมั่นคงที่ต้องหาทางแก้ปัญหานี้ให้ได้โดยเร็ว
นอกจากเหตุการณ์วุ่นวายทางอวกาศ จากการโจมตีทางไซเบอร์แล้ว จุดละเอียดอ่อนอีกจุดบนพื้นผิวที่จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการถ่ายเทข้อมูล การติดต่อสื่อสาร และการควบคุมกองกำลังบนโลกก็ยังมีอีก นั่นคือเคบิลใยแก้วนำแสง 19 เส้น ที่ผ่านช่องแคบทะเลแดง ที่เชื่อมโยงระหว่างยุโรป เอเชีย และแอฟริกา
หากเคเบิลเหล่านั้นถูกทำลายแม้เพียงบางส่วน หายนะทางเศรษฐกิจ และรวมทั้งการควบคุมกองกำลังของโลกตะวันตก ตลอดจนภูมิภาคอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับตะวันตก ก็จะพลอยพังไปด้วย ส่วนจะเกิดขึ้นหรือไม่ เมื่อไหร่ขึ้นกับเงื่อนไขสถานการณ์และเวลา
ที่สำคัญระบบดาวเทียมไม่อาจรองรับทดแทนโฟรของข้อมูลที่ผ่านเคเบิลใยแก้วนำแสงนั้น เป็นไปไม่ได้เพราะขนาดความจุไม่พอ มันมหาศาลหลายร้อยเทลาไบต์ทีเดียว
ข้อน่าคิดคือโลกทั้งใบตกอยู่ในกำมือของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่เพียง5บริษัท เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังไปรวมกำลังกับ4ยักษ์ใหญ่ทางการเงิน คือBlack Rock, Fidelity, Vanguard Group Inc.,และ State Street พวกเขาสร้างเครือข่ายและลงทุนผูกพันกันเป็นใยแมงมุม ทั้งที่มีกลุ่มคนจำนวนไม่มาก แต่ทรงอืทธิพลเป็นDeep State นี่คือกลไกที่มีตระกูลรอธไชล์เป็นแกน
มองอย่างนี้เราก็เป็นแค่มดปลวกทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่อาจรวมพวกสร้างอธิปไตยทางไซเบอร์กับพันธมิตรอย่างGlobal Southเป็นต้น
สิ่งที่คนไทยควรเตรียมตัวเฉพาะหน้าคือ การพกพาเงิดสดไว้บ้างหากเกิดเหตุการณ์ Outage ขึ้นจะได้พอช่วยตัวเองได้ เพราะโทรศัพท์มือถือจะกลายสภาพไปเหมือนสากกระเบือทีเดียว หรือสร้างระบบเศรษฐกิจพอเพียงตามดำริพ่อหลวงก็พอมีทางรอดหากระบบมันพังทะลาย