ข้อตกลงหยุดยิงซาอุฯ-เยเมนกับแสงแห่งสันติภาพปลายอุโมงค์
ข้อตกลงหยุดยิงซาอุฯ-เยเมนกับแสงแห่งสันติภาพปลายอุโมงค์
ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
ทั่วโลกต่างแสดงความยินดีจากข่าวสื่อกระแสหลักได้รายงานในเดือนมีนาคมที่ผ่านว่ากองทัพซาอุดีอาระเบียประกาศระงับปฏิบัติการทางทหารในเยเมน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจาหยุดยิงครั้งใหม่กับกองกำลังฮูตี ในช่วงเดือนรอมฎอนทำให้ประชาคมโลกรู้สึกสะบายใจและมีความหวังว่าสันติภาพในเยเมนกำลังจะเกิดขึ้น โดยสำนักข่าวแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย (ซาอุดีเพรส) รายงานโดยอ้างเป็นคำกล่าวของกองทัพซาอุดีอาระเบีย ว่ากองกำลังผสมอาหรับ ซึ่งมีซาอุดีอาระเบียเป็นแกนนำ ขอระงับปฏิบัติการทางทหารในเยเมนอย่างแน่นอน ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ถือเป็น “สัญญาณที่ดี” นับตั้งแต่กองกำลังผสมอาหรับเข้ามาปฏิบัติการทางทหารในเยเมน เพื่อสู้รบกับกองกำลังกลุ่มชีอะฮ์ฮูษี ซึ่งได้ใช้เวลาไปมากกว่าเจ็ดปีแล้ว และแม้ว่าเคยมีความพยายามเดินหน้าการเจรจาสันติภาพมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จก็ตาม
ขณะเดียวกัน กลุ่มฮูษีเอง ประกาศ ระงับการยิงจรวดและขีปนาวุธโจมตีเป้าหมายในซาอุดีอาระเบีย “เป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน” และพร้อมขยายระยะเวลาให้นานขึ้นกว่านี้ หากกองกำลังผสมอาหรับที่มีซาอุดีอาระเบียเป็นแกนนำ ยกเลิกมาตรการปิดล้อมพื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้การยึดครองของฮูษี และยุติการโจมตีทางอากาศด้วย จนกระทั้งได้ตกจะหยุดรบเป็นเวลา๒เดือน เพื่อหาหนทางในการเจรจาอย่างเอาจริงเอาจังปูทางไปสู่การยุติการสู้รบถาวรและสร้างสันติภาพในเยเมน
นายฮันส์ กรุนด์เบิร์ก ผู้แทนพิเศษด้านกิจการเยเมนของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กำลังพยายามอย่างหนัก ในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงช่วงเดือนรอมฎอน ในเดือน เม.ย.นี้ และให้การกลับมาเปิดท่าอากาศยานนานาชาติซานา และท่าเรือในเมืองโฮไดดาห์อีกครั้ง
นายมะห์ดี อัล-มาชาต หัวหน้ากลุ่มการเมืองของฮูษี คาดหวังว่า การหยุดยิงนี้จะเป็นไปอย่างยั่งยืน หากซาอุดีอาระเบียเจตนาดีที่จะหยุดการสนับสนุนกองกำลังต่างชาติทำสงครามในเยเมน
ถ้าเราย้อนดูวิกฤติในเยเมนตกอยู่ในภาวะสงคราม ระหว่างกลุ่มกองกำลังชีอะฮ์ฮูษีกับกองกำลังนานาชาติที่ได้รับการสนับสนุนจากซาอุดีอาระเบียมานานเกือบ 8 ปีแล้ว ทำให้มีชาวเยเมนเสียชีวิตหลายแสนคนและองค์กรการกุศุลเซฟเดอะชิลเดรน (Save the children) เปิดเผยว่ามีเด็กชาวเยเมนอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ราว 85,000 คน ต้องเสียชีวิตจากภาวะการขาดสารอาหารอย่างเฉียบพลันในช่วง 3 ปี ของสงครามในเยเมน ส่วนองค์การสหประชาชาติ ออกมาเตือนว่าประชากรเยเมนกว่า 22 ล้านคน ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงของภาวะความอดอยากอาจนำไปสู่การระบาดของอหิวาตกโรค ซึ่งเชื่อว่าทำให้มีผู้ได้รับปลกระทบ 1.2 ล้านคน และเรียกร้องให้รื้อฟื้นการพูดคุยเพื่อยุติภาวะสงครามโดยเร็ว ซึ่งนับได้ว่าเป็นวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดในโลก
ในแถลงการณ์ล่าสุดของกลุ่มฮูษีที่มีการเผยแพร่ในครั้งนี้ ได้เรียกร้องให้มีการเจรจาสันติภาพและมีการปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างจริงจัง โดยเฉพาะให้ยกเลิกการควบคุมท่าเรือในเขตทะเลแดงของเยเมน ซึ่งซาอุดีอาระเบียกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้ปิดล้อมท่าเรือ แต่ต้องการป้องกันการลักลอบขนอาวุธ นอกจากนี้ฮูษียังต้องการให้ถอนทหารต่างชาติออกจากเยเมนและให้ซาอุดีอาระเบียหยุดสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธในท้องถิ่น
จากปี ค.ศ.2015สงครามกลางเมืองในเยเมนปะทุขึ้น เมื่อกลุ่มการเมืองชาวชีอะฮ์ซัยดีย์ฮูษี ได้ก่อการยึดอำนาจโค่นล้ม ประธานาธิบดี อับดุล ร็อบบะฮ์ มันซูร อัล ฮาดี ที่ถือได้ว่ารัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจาก ซาอุดิอาระเบีย ส่งผลให้นายฮาดีต้องลี้ภัยไปจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ซาอุดิอาระเบียและรัฐบาลซาอุฯให้คำมั่นว่าจะทวงคืนอำนาจให้ และสหรัฐอเมริกาก็ได้พยายามที่จะฟื้นอำนาจนายฮาดี โดยร่วมกับซาอุฯและกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับอย่างUAEใช้เครื่องบินรบทำสงครามกับกลุ่มฮูษีอย่างหนัก ว่ากันว่ามี ชาวเยเมน ผู้บริสุทธ์ถูกทำลายชีวิตจากสงครามหลายแสนราย ประชาชนเยเมนมากกว่า 20 ล้านคนต้องทนทุกข์จากความหิวโหยและภาวะขาดแคลนอาหาร จะเกิด “วิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดในโลก”ทีเดียว
อิหร่านได้เล็งเห็นสงครามเยเมนเป็นวิกฤติทางมนุษยธรรมและเป็นการละเมิดของซาอุดิอาระเบียอย่างโจ่งแจ้งและการประชิดเข้ามาของซาอุฯในเยเมนคือภัยคุกคามต่ออิหร่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงได้เข้าไปช่วยเหลือกลุ่มชีอะฮ์ฮูษีทั้งการเงินและอาวุธจนทำให้กลุ่มฮูษีมีความเข็มแข็งในการต่อต้านซาอุฯและต่อมากลุ่มฮูษีได้รับการไว้วางใจจากประชาชนในการบริหารประเทศและถือว่ากลุ่มฮูษีเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับอิหร่านมากกลุ่มหนึ่งในเยเมนเพื่อต่อต้านซาอุอารเบียตลอดเกือบแปดปีที่ผ่าน
ต่อมาซาอุดิอาระเบียเองเห็นว่าการทำสงครามในเยเมนต้นทุนสูงมากและผ่านไปเกือบแปดปีก็ยังเอากลุ่มฮูษีไม่ลงและทวงคืนอำนาจให้กับนายฮาดีไม่ได้จึงได้ทบทวนที่จะหาทางยุติสงครามในเยเมนอยู่เหมือนกัน กรอปกับในขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาในช่วงการเป็นประธานาธิบดี โจไบเดน ยังได้สนับสนุนการยุติสงครามในเยเมนและไม่เห็นด้วยกับนโยบายของซาอุฯต่อกรณีของเยเมน ซึ่งแตกต่างกับในสมัยอดีตประธานาธิบดี ทรัมป์ และอีกเหตุปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจคือกลุ่มฮูษีเองก็ได้มีอาวุธที่ทันสมัยมากขึ้นและได้โจมตีซาอุฯและชาติพันธมิตรอยู่หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะการโจมตีคลังน้ำมันอารัมโก้ของซาอุฯล่าสุดหรือการโจมตีในUAE สร้างความเสียหายให้กับซาอุฯและยูเออีเป็นอย่างมากทีเดียว ดังนั้นการเจรจาอย่างลับๆของขั้วอำนาจใหม่อย่างจีนและรัสเซียในปัญหาเยเมนกับซาอุฯ โดยการวางหมากของอิหร่านที่ต้องการจะให้สงครามยุติโดยเร็วนั้น ทำให้กระบวนการพูดคุยที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยต่อประเด็นการยุติสงครามในเยเมนได้เร่งเวลาเข้ามาเร็วขึ้น และอีกเหตุปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือยุทธศาสตร์ของวิสัยทัศน์ 2030 (Saudi Vision 2030)ทำให้ซาอุฯ ได้ใกล้ชิดกับมหาอำนาจใหม่อย่าง รัสเซีย- จีน และจะตีห่างจากความสัมพันธ์กับสหรัฐและชาติตะวันตก ทำให้การเจรจา เพื่อยุติสงครามในเยเมนคืบหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจนเห็นแสงไฟปลายอุโมงค์และความหวังของโลกที่จะแก้วิกฤติของเยเมนได้ในวันนี้
ความพยายามของอิหร่านต่อสันติภาพในเยเมนได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยของอดีตประธานาธิบดี รูฮานีแล้ว และในช่วงที่ประธานาธิบดีรออีซี่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งใหม่ๆ เขาก็ได้กล่าวถึงนโยบายการทางประเทศหลักข้อหนึ่งคือการแก้ไขปัญหาในเยเมน จนทำให้การพูดคุยระหว่างอิหร่านกับซาอุฯอย่างลับๆเกิดขึ้นหลายครั้งและยังมีทีท่าที่ดีซึ่งอาจจะเห็นการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯกับอิหร่านที่เป็นฉากทัศน์หนึ่งน่าสนใจของการเมืองตะวันออกกลาง
เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมารัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เดินทางเยือนมอสโก ตามคำเชิญรัสเซีย ประเด็นหนึ่งที่ถูกยกมาพูดคุยคือการยุติสงครามในเยเมน โดยจีนเป็นตัวกลางเชื่อมอิหร่าน กับซาอุดิอาระเบีย ส่วนรัสเซียต่อสายหาถึงซาอุฯ จนมีการขยับอย่างน่าสนใจจากฝั่งซาอุฯ นั่นคือ นายมันซูร ฮาดี( Mansur Hadi) แห่งเยเมน และมกุฎราชกุมารMBSแห่งซาอุดีอาระเบียจัดประชุม และแถลงข่าวที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยประธานาธิบดีอับดุล ร็อบบะฮ์ มันซูร อัล ฮาดีของเยเมนแถลงว่า “ขอลาออกจากตำแหน่ง”
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ นายฮาดีได้กล่าวเสริมว่าขณะนี้ประเทศเยเมนกำลังเข้าสู่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ส่วนทางฝ่ายซาอุฯ และ UAE ได้แสดงความยินดีกับการเปลี่ยนแปลงนั้นว่าพร้อมประกาศจัดสรรเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจแก่เยเมน นอกจากนี้ซาอุฯ ยังมอบเงินเพิ่มอีก 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนด้านมนุษยธรรมโดยมีเป้าหมายเพื่อ “บรรเทาความทุกข์ทรมานของชาวเยเมน” นับว่าเป็นก้าวสำคัญของการไปสู่การยุติสงครามถาวร
หนังสือพิมพ์คูเวตเผยว่าอิหร่านและซาอุฯจะมีการเจรจารอบที่ห้าก่อนวันตรุษอีดิ้ลฟิตร์นี้ นายอะมีรอับดุลลอฮียอน รมต.ต่างประเทศอิหร่าน บอกกับ รมต.ต่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ว่า อิหร่านเป็นประเทศริเริ่มในบรรดาชาติอาหรับอ่าวเปอร์เซียที่ให้การตอบรับและสนับสนุนประเด็นยุติสงครามในเยเมน
นายซะอีด คะตีบ ซอเด๊ะ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้กล่าวสนับสนุนถึงกรณีของสภาความมั่นคงแห่งชาติเยเมนได้ประกาศว่าจะมีการยุติการรบกันว่า
“การกำหนดการยุติสงครามของซันอาห์ถือว่าเป็นเจตนาที่ดี และถือว่าเป็นสาส์นที่สำคัญยิ่งต่อโลกวันนี้ และเรามีความหวังอย่างแรงกล้าที่จะให้มีการยุติสงครามในเยเมนอย่างเร็ววัน” และเขากล่าวอีกว่า “ด้วยกับความมุ่งมั่นอย่างจริงจัง คงจะได้เห็นภาพบวกและห้วงเวลาที่เหมาะสมของการยุติสงครามในเยเมน”
นายซอเด๊ะกล่าวอีกว่า เรามีความมุ่งหวังว่าเดือนรอมฎอนอันจำเริญนี้ คงจะได้เห็นการปฎิบัติแก่ไขด้านปัญหามนุษยธรรมและการยุติปัญหาความขัดแย้งอื่นๆในประเทศเยเมนเสียทีอีกทั้งจะได้ข่าวดีถึงการยุติสงครามในเยเมน
ส่วนทางผู้นำของกลุ่มอันศอรุลเลาะฮ์ ซัยยิดอับดุลมาลิก อัลฮูษีย์ได้กล่าวถึงการยุติการยิงกับซาอุฯในช่วงค่ำคืนที่สิบของเดือนรอมฎอนที่ผ่านมาว่า แท้จริงผู้ละเมิดและผู้รุกรานนั้น(ซาอุฯ)มาถึงทางตันแล้วและพวกเขาก็รู้ตัวแล้วว่ายังไงก็พ่ายแพ้ในสงครามเยเมนแน่นอน และด้วยความอดทนของชาวเยเมนจนถึงวันนี้โลกได้เห็นแล้วว่าผู้รุกรานจะเป็นผู้พ่ายแพ้ แต่ผลของความอดทนของประชาชนคือชัยชนะ
รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านกล่าวว่า เตหะรานและแบกแดดเห็นตรงกันถึงความจำเป็นของการรักษาความสงบในเยเมน และการยุติการปิดล้อมที่นำโดยซาอุดีอาระเบียอย่างไร้มนุษยธรรมในประเทศที่ยากจนนี้
รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้กล่าวสุนทรพจน์ดระหว่างการพบปะกับนาย Fuad Hussein รัฐมนตรีต่างประเทศอิรักในกรุงเตหะรานเมื่อวันพุธที่๑๓ เมษายนที่ผ่านมาว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันในประเด็นระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค และเขากล่าวว่า “เตหะรานและแบกแดดเห็นตรงกันถึงความจำเป็นของการรักษาความสงบในเยเมน และการยุติการปิดล้อมที่นำโดยซาอุดีอาระเบียอย่างไร้มนุษยธรรมในเยเมนเสียที”
“เราตกลงที่จะต้อนรับการหยุดยิงในเยเมน และความสำคัญของการเจรจาสันติภาพ และการยกเลิกการปิดล้อมที่ไร้มนุษยธรรมเสียที” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านกล่าว
อายาตุลเลาะห์ ซัยยิดอะลี คาเมเนอีผู้นำสูงสุดอิหร่านได้กล่าวยกย่อง UN เป็นตัวแทนเมื่อเร็วๆ นี้ ให้นำไปสู่การหยุดยิงในเยเมน ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ “ดีมาก”
ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลเลาะห์ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ยกย่องความกล้าหาญของชาวเยเมนในการตอบโต้การรุกรานที่นำโดยซาอุดิอาระเบีย ในขณะที่แนะนำให้ซาอุดิอาระเบียยุติสงครามที่พวกเขารู้ดีว่าไม่สามารถชนะได้
โดยอายาตุลเลาะห์ คาเมเนอี ได้กล่าวสุนทรพจน์ดังกล่าวในการพบปะกับหัวหน้ารัฐบาลทั้งสามสาขาและเจ้าหน้าที่อิหร่านจำนวนหนึ่งเมื่อวันอังคารที่๑๒ เมษายนช่วงเดือนรอมฎอนที่ผ่านมาว่า
“ทำไมคุณถึงเดินหน้าทำสงครามที่คุณรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทาง [สำหรับคุณ] จะชนะได้? หาทางแก้ไขและเอาตัวเองออกจากวิกฤตินี้เสียเถอะ”
ดังนั้นความหวังของชาวโลกคงจะได้เห็นแสงไฟแห่งสันติภาพปลายอุโมงค์ในเยเมนและพร้อมจะร่วมกันช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมต่อเยเมนให้พ้นวิกฤติอันเลวร้ายนั้นกันต่อไป.