นาวิกโยธินอเมริกา : ผู้นำกินเป็นคนสุดท้าย
นาวิกโยธินอเมริกา : ผู้นำกินเป็นคนสุดท้าย
ทำไมผู้นำควรจะกินเป็นคนสุดท้าย เราต้องอ่านหนังสือของไซมอน ซีเนค
“Leaders Eat Last” เขาใช้วิถีทางเล่าเรื่องราวอธิบายความสำคัญของความเป็นผู้นำตลอดแปดตอนของหนังสือ การเริ่มต้นด้วยการอธิบายชื่อหนังสือ
ของเขา ตรงที่เขาได้อ้างถึงนายพลนาวิกโยธินจอร์จ ฟลินน์ ทำไมนายทหารอาวุโสกินเป็นคนสุดท้าย
เรื่อราวแรกของเขาเกี่ยวกับนักบินเฮลิคอปเตอร์ชื่อ จอห์นนี่ บราโว จอห์นนี่สนับสนุนกองทหารบนพื้นดินภายในการสู้รบที่อันตราย เขาสนับสนุนกองทหารอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ภายใต้สภาวะรุนเเรงเหลือเกิน ด้วยความสามารถมองเห็นที่จำกัดและเสี่ยงภัยชีวิตของเขาเอง จอห์นนีมองเป็นส่วนหนึ่งของ
งานของเขา ไซมอน ซีเนคย้ำว่าผู้นำเหมือนเช่นนี้ การให้ความสำคัญต่อ
ความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลอื่น และคุ้มครองและพัฒนาสวัสดิการของบุคคล
อื่น
ข้อความที่สำคัญของผู้นำกินเป็นคนสุดท้ายคือ ความรับผิดชอบสิ้นสุดตรง
ที่โต๊ะของผู้นำ ถ้อยคำนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายโดยประธานาธิบดีอเมริกา เเฮร์รี่ ทรูแมน ด้วยการมีป้าย “ความรับผิดชอบสิ้นสุดที่นี่” บนโต๊ะของเขาภายในทำเนียบขาว การอ้างอิงแนวคิดว่าประธานาธิบดีต้องทำการตัดสินใจ และยอมรับความรับผิดชอบในที่สุดต่อการตัดสินใจเหล่านี้
ผู้นำที่นำบุคคลอื่นอาจจะไม่เข้าใจอยู่เสมอว่าผลกระทบความเป็นผู้นำของพวกเขามีต่อบุคคลที่พวกเขานำ ความลึกและความกว้างของความเป็นผู้นำลดหลั่นจากผู้บริหารลงมาสู่ทหารราบเดินเข้าไปและออกจากสนามรบขององค์การบนพื้นฐานประจำวัน นำองค์การไปสู่โลกอย่างไร
ความเป็นผู้นำไม่ได้เป็นเพียงแค่เกี่ยวกับบริหารตัวเลข มันเกี่ยวกับการช่วยเหลือบุคคลเจริญเติบโต และค้นพบความหมายภายในงานของพวกเขา เมื่อผู้นำดูแลบุคคลของพวกเขา ตัวเลขจะดูแลตัวมันเอง ผู้นำหลายคนสูญเสีย
การมองเห็นความเป็นรากฐานนี้ ภายใน Leaders Eat Last ไซมอน เซนิค ได้อธิบายตรงที่เราได้ทำผิด และชี้สายด่วนเพื่อผู้นำที่แท้จริงก้าวออกมาสร้างความแตกต่างทางบวก จุดเเข็งยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทไม่ได้อยู่ที่ผลิตภัณฑ์
มันอยู่ที่บุคคคลของพวกเขาอยู่เสมอ
เป้าหมายของความเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่คือ การบันดาลใจบุคคลทำงานของพวกเขาอย่างดีที่สุด และสนับสนุนองค์การให้บรรลุความสำเร็จ เราไม่ได้ใช้คำว่าบริหาร เพราะว่าบุคคลไม่ได้คาดหวังที่จะถูกบริหาร พวกเขาคาดหวังที่จะถูกบันดาลใจ
ไซมอน ซิเนค ได้เล่าเรื่องราวของพันโทกองทัพยูเอสก่อนหน้านี้ วิลเลียม
สเวนสัน เมื่อ ค.ศ 2009 วิลเลียม สเวนสัน อยู่บนการปฏิบัติการภายในอัฟกานิสถานใกล้พรมแดนปากีสถาน ทีมของเขาดำเนินการประชุมกับผู้สูงอายุภายในหมู่บ้าน
กานจาร์ เมื่อแนวขบวนทหารของเขาถูกลอบยิง ทหารหลายคนบาดเจ็บ ระหว่างการลอบยิงนี้ วิลเลียม สเวนสัน ได้เรียกการสนับสนุนทางอากาศ และวิ่งผ่านการยิงของข้าศึกที่จะช่วยชีวิตทหารบาดเจ็บ
ช่วงเวลาได้ถูกบันทึกโดยกล้องถ่ายรูปโกโปรบนหมวกของทหารแพทย์คนหนึ่ง ด้วยเพื่อนสองคน วิลเลียม สเวนสันได้นำทหารที่บาดเจ็บหนักขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เราได้มองเห็นวิลเลียม สเวนสัน ก้มหน้าลงและให้จูบแก่เขา ก่อนที่จะหันกลับไปช่วยชีวิตทหารบาดเจ็บคนอื่น วิลเลียม สเวนสันได้ถูกให้เกียรติต่อการเสี่ยงชีวิตของเขาหลายครั้งที่จะช่วยชีวิตเพื่อทหาร และเอาร่างกายกลับคืนมาภายในการต่อสู้เจ็ดชั่วโมง ประธานาธิบดีโอบามาได้ให้เหรียญเกียรติยศสูงสุดของประเทศต่่อการกระทำของเขาระหว่างการสู้รบอย่างรุนแรงภายในอัฟกานิสถานเมื่อ ค.ศ 2009 ด้วยการกล่าวว่า อเมริกาเป็น
บุญคุณต่อคุณ วิลเลียม สเวนสัน กล้าหาญเจ็ดชั่วโมงของการต่อ
สู้อย่างต่อเนื่อง ทุ่มชีวิตของเขาภายในอันตรายหลายครั้ง ช่วยทหารที่
บาดเจ็บ
ไซมอน เซนิค ชี้การแสดงกิริยานี้ผิดธรรมดา และสำคัญ มันเป็นผู้นำเเสดงการดูแลทหารของเขาอย่างแรงกล้าหรือแม้แต่รัก ภายในทหาร พวกเขาให้เหรียญเกียรติยศแก่บุคคลเสียสละตัวพวกเขาเองเพื่อที่บุคคลอื่นจะได้ประโยชน์ ภายในธุรกิจ พวกเขาให้โบนัสแก่บุคคลที่เสียสละบุคคลอื่นเพื่อที่พวกเขาจะได้ประโยชน์ มันไม่ได้เป็นว่าบุคคลภายในทหารดีกว่าบุคคลภายในธุรกิจ มันเป็นเพียงแค่สภาพแวดล้อมแตกต่างกัน และมันเป็นบุคคลที่ให้คุณค่าความไว้วางใจและความร่วมมือ
เพื่อที่จะอธิบายทำไมสิ่งนี้สำคัญ ไซมอน ซีเนค ได้นำเราย้อนหลังไปยังการเริ่มต้นของสังคมมนุษย์ เพื่อที่จะทำโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายลดน้อยลง เราได้วิวัฒนาการเป็นสัตว์สังคมมีชีวิตอยู่ด้วยกันและทำงานด้วยกันภายในสิ่งที่ผมเรียกว่าวงกลมของความปลอดภัย
จอร์จ ฟลินน์ นายพลที่เกษียณของนาวิกโยธินยูเอสได้เขียนคำนำภายใน Leaders Eat Last ไซมอน ซิเนคไม่ได้เสนอทฤษฎีความเป็นผู้นำใหม่หรือ
หลักการแกน เขามีความมุ่งหมายที่สูงกว่าต่อการเขียนของเขา ไซมอน ซีเนค
อยากทำให้โลกเป็นสถานที่ดีขึ้นต่อรุ่นใหม่ของผู้ชายและผู้หญิงที่เข้าใจมากกว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์การ บนพื้นฐานความเป็นเลิศของความเป็นผู้นำ ไม่ใช่ภูมิปัญญาทางการบริหาร ไซมอน เซนิคใช้วิถีทางที่สดใสและต้นกำเนิดต่อความเป็นผู้นำ เขามองความเป็นผู้นำผ่านทางเลนส์ของมานุษยวิทยาวัฒนธรรม
ไซมอน เซนิค มองมนุษย์ เป็นนักล่า องค์การเป็นเผ่า และผู้นำวางระเบียบภายในเผ่า ภายในสมัยใหม่ ผู้นำเป็นบุคคลที่กินก่อน บุคคลที่สร้างเงิน และเป็นบุคคลที่ต้องคุ้มครอง ที่จริงแล้วพวกเขามีทรัพยากรมากกว่า และต้องใช้มันอย่างเหมาะสมรับรองความอยู่รอดของเผ่า แต่กระนั้น เพื่อผลลัพธ์อย่างยาวนาน ที่จะได้ความจงรักภักดี และความเคารพของบุคคลของพวกเขา
พวกเขาต้องไม่พิจารณาความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขาเหนือกว่าความเป็น
อยู่ที่ดีของเผ่า พวกเขาต้องกินสุดท้าย
ไซมอน เซนิค ได้แนะนำแนวคิดวงกลมของความปลอดภัย เมื่อบุคคลรู้สึก
ของการเป็นส่วนหนึ่งภายในวงกลมนี้ พวกเขามีความรู้สึกอย่างลึกซึ้งของความ
ไว้วางใจที่บุคคลจะมีการหนุนหลังของพวกเขา และพวกเขาร่วมความคิด ความร่วมมือร่วมใจ และคุ้มครองระหว่างกันจากอันตรายภายนอก ความเห็นอกเห็นใจสำคัญ และสภาพแวดล้อมเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อเมื่อเรารู้สึกเราอยู่ภายในวงกลมความปลอดภัยเท่านั้น จะรวมเราเข้าด้วยกันเป็นทีมหนึ่งเดียว สามารถดีกว่าที่จะอยู่รอดและเจริญเติบโต ไม่
มองสภาวะภายนอก ถ้าวงจรความปลอดภัยถูกทำลาย ความเข้มเเข็งของกลุ่มจะลดลง เมื่อเราอยู่ภายในวงจรของความปลอดภัย เรา กลายเป็นผู้คุ้มครองของ ฉัน เมื่อเรามองหาอะไรดีที่สุดต่อเรา ฉันจะถูกครอบคลุมไปแล้ว วงกลมของความปลอดภัยบอกเราว่าเราควรจะมุ่งการช่วยเหลือระหว่างกัน ไม่ใช่ได้เปรียบระหว่างกันทำให้ผู้บริหารมีความสุข มันบอกเราว่าเมื่อเรารู้และไว้วางใจ
ว่าบุคคลข้างในวงกลมของความปลอดภัยจะดูแลเรา และคุ้มครองเราจากอันตรายภายนอก เราน่าจะแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดอย่างเสรีมากขึ้น
นำองค์การไปข้างหน้า ไม่ใช่เก็บอะไรไว้ที่ตัวเราเอง เพราะว่าเรากลัวบุคคล
บางคนจะขโมยความคิดของเรา
ภายใน “Leaders East Last” ไซมอน ซีเนค ได้อธิบายบทบาทที่อีดีเอสโอ เอ็นดอร์ฟิน โดพามิน เซโรโทนิน และออกซิโตซิน แสดงภายในการสร้างวงจรของความปลอดภัยตรงที่เราทำงาน ด้วยความเข้าใจประสาทเคมีเหล่านี้ทำงานด้วยกันอย่างไร เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและตอบสนอง การทำให้บุคคลสร้างการมีส่วนช่วยอย่างมีคุณค่าไปสู่วิสัยทัศน์ที่บันดาลใจ
วงกลมของความปลอดภัยบรรจุบุคคลทุกคนขององค์การ มันต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยตรงที่บุคคลรู้สึกได้รับ ณ การทำงาน มันเป็นสภาพเเวดล้อมของความผูกพัน ความสมหวัง ความกตัญญู และความสุข ตรงที่บุคคลผ่อนคลาย เจริญเติบโต ร่วมมือร่วมใจ และทำงานเพื่อกันและกัน
การขึ้นลงของเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนของตลาดหุ้น การพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้โมเดลธุรกิจของเราล้าสมัยเพียงข้ามคืน การเเข่งขันที่พยายามฆ่าเรา หรืออย่างน้อยที่สุดหยุดการเจริญเติบโตของเรา และเเย่งลูกค้าของเรา เราไม่มีการควบคุมพลังเหล่านี้ มันมีอยู่เสมอและไม่หายไป ตัวแปรอย่างเดียวเท่านั้นคือสภาวะภายในองค์การ นั่นเป็นตรงที่ความเป็น
ผู้นำสำคัญ มันเป็นที่ผู้นำกำหนดสภาวะ เมื่อผู้นำเลือกวางบุคคลลำดับแรก
สิ่งที่ไม่ธรรมดาจะเกิดขึ้น มนุษย์เริ่มต้นทำงานอย่างดีที่สุดภายในวงกลม
ของความปลอดภัย เมื่อพวกเขาต่อสู้อันตรายช้างใน พวกเขาไม่สามารถ
ต่อสู้อันตรายข้างนอกได้
ตัวอย่างใกล้ที่สุดคือการเป็นพ่อเเม่ พ่อเเม่ที่ดีทำงานอย่างไม่รู้จักเหนื่อยให้โอกาสลูกของพวกเขา และช่วยเหลือพวกเขาบรรลุความสำเร็จมากกว่าที่
พวกเขาคิดเพื่อตัวพวกเขาเอง ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ต้องการสิ่งเดียวกัน พวกเขาต้องการสร้างความเชื่อมั่นตัวเอง
ให้โอกาสที่จะพยายามและล้มเหลว เพื่อที่พวกเขาสามารถบรรลุความสำเร็จมากกว่าที่เราคิดเพื่อตัวเราเอง ถ้าเรามีเวลาที่ลำบากภายในครอบครัวของเรา
เราเคยพิจารณปลดลูกของเราออกจากงานหรือไม่
ไซมอน ซีเนค เชื่อว่าทำไมเรามีการตอบสนองทางลบต่อผู้บริหารธนาคารทำเงินอย่างมากมาย แต่ปลดบุคคลออกจากงานอย่างโหดร้าย มันไม่ได้เป็นตัวเลข
พวกเขาได้ละเมิดโครงสร้างทางสังคมที่ฝังลึก เรารู้ว่าพวกเขายอมให้บุคคลของพวกเขาเสียสละป้องกันผลประโยชน์ของพวกเขา ผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะไม่เคยเสียสละบุคคลที่จะรักษาตัวเลข ในไม่ช้าพวกเขาจะเสียสละตัวเลขช่วยชีวิตบุคคล
สิ่งนี้ไม่ใช่มันต้องเป็นภายในธุรกิจ ไซมอน ซีเนค ให้ตัวอย่างของบริษัทที่สร้างแนวคิดของการจ้างงานตลอดชีพ ทำให้บุคคลรู้สึกปลอดภัย เขาได้ใช้โครงสร้างครอบครัวเป็นวิถีทางของความเข้าใจวิถีทางนี้ บริษัทเป็นเผ่าสมัยใหม่ การว่าจ้างบุคคลบางคนเหมือนกับการมีลูก ถ้าเรามีเวลาที่ยากลำบากภายในครอบครัวของเรา เราเคยพิจารณาปลดลูกของเราออกจากงานหรือไม่
เราจะไม่เคยทำมันเลย ดังนั้นทำไมเราพิจารณปลดบุคคลข้างในบริษัทของเราออกจากงาน ณ เน็กซ์ จัมพ์
บริษัทได้พบทางเลือกของการไม่ไล่ออก ไซมอน ซีเนค ได้อธิบายการสร้างสถานที่ทำงานตรงที่บุคคลรู้สึกเชื่อมโยง ส่วนบุคคล และรู้สึก
ไซมอน ซีเนค กล่าวว่า เหตุผลคือการปลดออกทำลายวัฒนธรรม บริษัทที่ดีสนับสนุนความรู้สึกของความไว้วางใจระหว่างบุคคล ดังนั้นพวกเขาสามารถมุ่งบรรลุเป้าหมายด้วยกัน ไม่ใช่ต่อสู้ต่อการเมืองภายใน วิถีทางเดียวเท่านั้นที่ผู้นำสามารถสร้างสิ่งที่เขาเรียกว่า วงกลมของความปลอดภัย ด้วยการคุ้มครองบุคคล เขาได้อ้างตัวอย่างของบริษัทเทคโนโลยีรากฐานนิวยอร์ค เน็กซ์ จัมพ์ ดำเนินการนโยบายการจ้างงานตลอดชีพ บุคคลที่นี่ไม่สามารถถูกไล่ออกได้ และถ้าปัญหาการปฏิบัติงานเกิดขึ้น ผู้บริหารจะช่วยเหลือบุคคลฝึกอบรมเพื่อ
ที่จะปรับปรุง
ไซมอน ซีเนค กล่าวว่า การเป็นผู้นำเหมือนการเป็นพ่อเเม่ ทั้งสองต้องให้โอกาสแก่ลูกหรือบุคคลเพื่อการเจริญเติบโต การศึกษา และโอกาสล้มเหลว ความเป็นผู้นำเป็นการเลือกไม่ใช่ตำแหน่ง มันเลือกที่จะเฝ้ามองเพื่อบุคคล
ทางซ้ายของเรา และเฝ้ามองเพื่อบุคคลทางขวาของเรา
ไซมอน ซิเนค กล่าวว่า “มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้ให้คำปราศัย ผมมีความฝัน ไม่ใช่คำปราศัยผมมีแผน” เมื่อ 28 สิงหาคม ค.ศ 1963 บุคคลจากทั่วประเทศ ได้เคลื่อนลงมาบนอนุสาวรีย์วอชิงตัน ฟัง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ให้คำปราศัยที่มีชื่อเสียงของเขา “ผมมีความฝัน” มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ไม่ได้เป็นบุคคลเดียวเท่านั้นมีชีวิตอยู่ระหว่างเวลานั้น รู้ว่าอะไรต้องเปลี่ยนเเปลง นำมาสิทธิมนุษยชนภายในอเมริกา เขามีความคิดหลายอย่างเกี่ยวกับอะไรต้องเกิดขึ้น และไม่ใช่ความคิดทุกอย่างของเขาดี เขาไม่ได้เป็นบุคคลที่สมบูรณ์ เขามีความซับซ้อนของเขา
แต่กระนั้นมาร์ติน ลูเธอร์ คิง
แท้จริงภายในความเชื่อของเขา เขารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้นภายในอเมริกา ความชัดเจนของ “ทำไม” ของเขา ความรู้สึกของความมุ่งหมาย ให้ความเข้มเเข็งและพลังแก่เขา ดำเนินการต่อสู้ของเขาที่ไม่
น่าจะชนะได้
เรามีบุคคลอื่นเหมือนเขาที่ร่วมวิสัยทัศน์ของอเมริกาของเขา แต่พวกเขาหลายคนเลิกไปภายหลังพ่ายแพ้หลายครั้ง ความพ่ายแพ้เป็นความเจ็บปวด
และความสามารถที่จะต่อสู้วันเเล้ววันเล่า ต้องการบางสิ่งบางอย่างมากกว่า
การรู้ว่าต้องออกกฏหมายอะไร เพื่อสิทธิมนุษยชนที่จะยึดครองอย่างเเท้จริงภายในประเทศ ผู้จัดตั้งของพวกเขาต้องระดมบุคคลทุกคน พวกเขาอาจจะสามารถทำให้ออกกฏหมายได้ แต่พวกเขาต้องการมากกว่านั้น พวกเขาต้อง
เปลี่ยนแปลงประเทศ
รายละเอียดที่จะบรรลุสิทธิมนุษยชนอย่างไร หรือต้องทำอะไร สามารถ
โต้เถียงกัน และกลุ่มที่แตกต่างกันพยายามกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน ความรุนเเรงได้ถูกใช้โดยบางกลุ่ม โดยไม่คำนึงถึง อย่างไร หรือ อะไร ได้ถูกทำ เรามีสิ่งหนึ่งที่บุคคลทุกคนมีร่วมกัน – ทำไมพวกเขาทำมัน มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ความเชื่อมั่นที่แน่วแน่ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง สามารถที่จะปลุกเร้าประชาชน เเต่เป็นความสามารถของเขาที่จะใส่ “ทำไม” ภายในคำพูดด้วย มาร์ติน ลูเธอร์ ืคิง
มีพรสวรรค์ เขาพูดเกี่ยวกับเขาเชื่ออะไร และคำพูดของเขามีพลังที่จะบันดาลใจ “ผมเชื่อ ผมเชื่อ ผมเชื่อ”
แต่บุคคลจำนวนเท่าไรแสดงตัวเพื่อมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ไม่มีเลย พวกเขาเเสดงตัวเพื่อตัวพวกเขาเอง มันเป็นอะไรที่พวกเขาเชื่อ มันเป็นอะไรที่พวกเขามองเป็นโอกาส
เพื่อที่จะช่วยเหลือให้อเมริกาดีขึ้น มันเป็นพวกเขาที่ต้องการมีชีวิตอยู่ภายในประเทศ สะท้อนค่านิยมและความเชื่อของพวกเขาเอง บันดาลใจพวกเขาขึ้นรถโดยสารเดินทางเเปดชั่วโมง ยืนท่ามกลางดวงอาทิตย์วอชิงตันฟังมาร์ติน
ลูเธอร์ คิง พูด การอยู่วอชิงตันเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่พวกเขาพิสูจน์อะไรที่พวกเขาเชื่อ
การแสดงตัววันนั้นเท่านั้น เป็นสิ่งหนึ่งของอะไรต่อ “ทำไม” ของพวกเขาเอง
การเดินขบวนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งภายในประวัติศาสตร์ของอเมริกาคือ การเดินขบวนของชาวอเมริกันทั้งผิวขาวและผิวดำไปยังกรุงวอชิงตัน เพื่อที่จะเรียกร้องเรื่องงานและเสรีภาพ ผู้นำขบวนคือ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง นักต่อสู้สิทธิมนุษยชนที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเหยียดสีผิวของอเมริกา เขาได้ยืนปราศัย อยู่ที่ขั้นบันไดของอนุสาวรีย์อับราฮัม ลินคอล์น วอชิงตัน ท่ามกลางชาวอเมริกันประมาณ 250,000 คน การถ่ายทอดโทรทัศน์ไปทั่วโลก การ
ปราศัยครั้งนี้มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้วยการใช้ถ้อยคำที่สร้างแรงบันดาลใจและกระทบต่อความรู้สึกของชาวอเมริกันมากที่สุด “ผมมีความฝัน” ได้กลายเป็นถ้อยคำที่เป็นอมตะตราบเท่าทุกวันนี้ จนกระทั่ง จอห์น เคนเนดี้ ประธานาธิบดี ได้เชิญเข้าพบ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้ถูกลอบยิงเสียชีวิตในที่สุด
เมื่อเราได้อ่านหนังสือของไซมอน ซิเนค “Start With Why : How Great Leaders Inspire Everyone”
ไซมอน ซีเนค ได้เล่าเรื่องราวการเเข่งขัน ณ ตอนเริ่มต้นของศตวรรษที่ 20
เป็นบุคคลแรกที่จะบินเครื่องบิน เขาได้ดึงการเปรียบเทียบที่น่าสนใจระหว่าง
แซมมวล แลงลี่ย์ และพี่น้องตระกูลไรท์
เป้าหมายทะเยอทะยาน ความสนใจของประชาชนสูง ผู้เชี่ยวชาญกระหายที่จะช่วยเหลือ เงินหามาได้อยู่เเล้ว ส่วนผสมทุกอย่างเพื่อความสำเร็จพร้อมอยู่แล้ว เเซมมวล เเลงลีย์ ได้เริ่มต้นเมื่อต้น ค.ศ 1900 เป็นบุคคลแรกที่จะบินเครื่องบิน
เขาเป็นเลขานุการ ณ สถาบันสมิธโซเนียน อาจารย์คณิตศาสตร์ ทำงานอยู่ ณ ฮาร์วาร์ด ด้วย เพื่อนของเขามีทั้งบุคคลที่มีอำนาจภายในรัฐบาลและธุรกิจ
รวมทั้งแอนดรูว์ คาเนกี้ และอเล็กซานเดอร์ แกรเเฮม เบลล์
แซมมวล แลงลี่ย์ ได้เงินทุนช่วยเหลือ 50,000 เหรียญจากกระทรวงสงครามอเมริกาสนับสนุนโครงการของเขา เงินจำนวนมาก ณ เวลานั้น เขาได้สร้างทีมที่มีความสามารถ ทีมของเขาสามารถเข้าหาเทคโนโลยีและวัตถุที่ดีที่สุด พวกเขาถูกตามไปทุกที่โดยหนังสือพิมพ์ บุคคลทั่วประเทศ รอที่จะอ่านว่าเขาได้บรรลุ
เป้าหมายของเขา ความสำเร็จของเขาได้ถูกรับประกัน
ไม่กี่ร้อยไมล์ไกลออกไป วิลเบอร์และออร์วิลล ไรท์ กำลังทำงานกับเครื่องบินของพวกเขาเอง ความลุ่มหลงของพวกเขาที่จะบินแรงกล้ามาก จนมันบันดาลใจความกระตือรือร้นและความผูกพันของกลุ่มทุ่มเทภายในบ้านเกิดของพวกเขา เดย์ตัน โอไฮโอ
พวกเขาไม่ได้มีเงินจำนวนมาก พวกเขาไม่ได้มีทีมที่มีความสามารถ ไม่มีบุคคลใดของทีมมีการศึกษามหาวิทยาลัย หรือแม้แต่จบมัธยมปลาย
การเชื่อมโยงระดับสูงไม่มี พวกเขาไม่ได้มีวัตถุที่ดีที่สุด พวกเขาทำงานภายในร้านจักรยานอย่างถ่อมตัว
และต้องการทำให้วิสัยทัศน์ของพวกเขาเป็นจริง แต่พวกเขามีบางสิ่งบางอย่างที่แซมมวล แลงลี่ย์ ไม่มี พวกเขามีความลุ่มหลงอย่างมาก ไซมอน ซีเนค กล่าวว่า ความลุ่มหลงนั้นรุนแรงมากที่มันบันดาลใจความกระตือรือร้นและความผูกพันของกลุ่มที่ทุ่มเทภายในบ้านเกิดของพวกเขา เดย์ตัน โอไฮโอ
เมื่อ วันที่ 17 ธันวามคม 1903 พี่น้องตระกูลไรท์นำบุคคลบินเป็นครั้งแรก มันไม่ได้เป็นโชคดี ทั้งเเซมมวล แลงลี่ย์ และพี่น้องตระกูลไรท์ มีจิตใจรักวิทยาศาสตร์ เเรงจูงใจสูง และทำงานหนัก มันไม่ได้เป็นเงิน ความสามารถ หรือวัตถุ แซมมวล แลงลีย์
มีสิ่งเหล่านี้จำนวนมาก ความแตกต่างคือ พี่น้องตระกูลไรท์สามารถบันดาลใจบุคคลรายรอบพวกเขา และนำทีมของพวกเขาอย่างแท้จริง พัฒนาเทคโลโน
โลยีเปลี่ยนแปลงโลก พี่น้องตระกูลไรท์เริ่มต้นด้วย “ทำไม” เท่านั้น
ความเข้มแข็งยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทไม่ได้อยู่ที่ผลิตภัณฑ์ของพวกเขา มันอยู่ที่บุคคลของพวกเขา – ภายในความสามารถร่วมมืออย่างใกล้ชืด
และรวมกันเบื้องหลังองค์การโดยเฉพาะระหว่างวิกฤติ แต่กระนั้นความจงรักภักดีและ
ความผูกพันต้องได้มา วันนี้การทำงานกลายเป็นความสัมพันธ์แบบสัญญาและเเลกเปลี่ยนภายในหลายองค์การ การเเข่งขันและการปลดออกจากงานเป็นบรรทัดฐาน ยากที่ใครก็ตามที่จะเชื่อภายในความจงรักดีต่อบริษัทต่อไปอีกเเล้ว การจ้างงานตลอดชีพน้อยมาก
มนุษย์ได้เจริญเติบโตเป็นสายพันธุ์หนึ่ง เนื่องจากความสามารถของพวกเขาสร้าง คิดค้น และจัดตั้งตัวเราเองภายในวิถีทางที่ซับซ้อน ความอยู่รอดของเราขึ้นอยู่กับความสามารถของเราที่จะดำเนินงานภายในกลุ่มสังคม ระหว่างยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์ขึ้นอยู่กับเผ่าของพวกเขาเพื่ออาหาร ที่พักอาศัย และการคุ้มครอง แม้ว่า
สภาพเเวดล้อมและองค์การของเราได้เปลี่ยนแปงลงอย่างมาก การสร้างทางชีววิทยาของเรายังคงเหมือนเดิม
เราแต่ละคนเป็นบุคคลหนึ่งและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคม เราทำการตัดสินใจทุกวัน ถ่วงน้ำหนักผลประโยชน์ของตัวเองกับผลประโยชน์ของกลุ่ม สภาวะที่ลำบากนี้เกิดขึ้นภายในร่างกายของเราผ่านเคมีสี่อย่างด้วย
เอ็นดอร์ฟิน และโดพามีน ขับเคลื่อนเราตอบสนองความต้องเราของเรา
เช่น หาอาหารและที่อยู่อาศัย มันช่วยเราทำให้สำเร็จ ดังนั้นเราสามารถ
อยู่รอด
เซโรโทนินและออกซิโทซิน กระตุ้นเราทำงานด้วยกันกับบุคคลอื่น มันสร้างความรู้สึกของความไว้วางใจ ความสนิทสนม และความจงรักดี ทำให้พันธะทางสังคมเข้มแข็งขึ้น และเพิ่มความโน้มเอียงที่จะร่วมมือกับบุคคลอื่น บรรลุอะไรที่เราไม่สามารถด้วยตัวเอง
สารเคมีสี่ตัวเป็นวิถีทางของธรรมชาติที่จะช่วยเรา
อยู่รอด ด้วยการสมดุลเเรงขับเคลื่อนส่วนบุคคลของเราและความต้องการทางสังคม การสมดุลสารเคมีอีดีเอสโอของเรา แต่ละตัวของสารเคมีอีดีเอสโอสี่ตัว
แสดงบทบาทที่สำคัญภายในการอยู่รอดของเรา เมื่อมันอยู่ภายในความสมดุล
สมัยก่อนครอครัวของเราให้วงกลมของความปลอดภัย ตรงที่เรารู้สึกปลอดภัยและสนับสนุน ข้างในวงกลม เรามีความสมดุลของอีดีเอสโอ ภายในองค์การ วงกลมของความปลอดภัยให้บุคคลด้วยความรู้สึกของ
การเป็นส่วนหนึ่งและความมั่นคง บุคคลรู้สึกมีคุณค่าและดูแล และไว้วางใจบุคคลอื่นจะกระทำด้วยผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของพวกเขา นี่ส่งเสริมการสื่อสาร ความร่วมมือ การแก้ปัญหา และนวัตกรรม ทำให้บุคคลมุ่งความสนใจไปยังการคุกคามและโอกาสภายนอก ตรงกันข้ามเมื่อบุคคลรูสึกคุกคามด้วยการเมืองและการต่อสู้ภายใน พวกเขาพลิกความสนใจไปสู่
การรักษาตัวเอง ทำให้กลุ่มกลายเป็นเสี่ยงภัยโดยส่วนรวมมากขึ้น
จุดที่สำคัญอย่างเเรกของหนังสือคือ ผู้นำเป็นบุคคลที่สร้างวงกลมของความปลอดภัยล้อมรอบพวกเขา แนวคิดวงกลมของความปลอดภัยสามารถสัมพันธ์กับลำดับความต้องการของมาสโลว์ โดยพื้นฐานผู้นำต้องได้ความเคารพและความจงรักภักดีของบุคคลอื่น ด้วยการเสียสละมากที่สุด และเต็มใจที่จะกินเป็นคนสุดท้าย พวกเขาต้องให้ความไว้วางใจที่จะได้ความไว้วางใจ
“ผู้นำเป็นบุคคลที่เต็มใจเฝ้ามองบุคคลอื่นที่อยู่ทางซ้ายและทางขวาของพวกเขา ผู้นำเป็นบุคคลที่เต็มใจยกเลิกบางสิ่งลงบางอย่างของพวกเขาเองเพื่อเรา เวลา พลัง เงิน แม้แต่อาหารของพวกเขาออกจากจานของพวกเขา เมื่อมันสำคัญ ผู้นำเลือกที่จะกินสุดท้าย” คำพูดเปรียบเทียบนี้ แสดงสาระสำคัญของหนังสือของไซมอน ซีเนค “Leaders Eat Last” เขาได้ใช้วิถีทางเล่าเรื่องราว อธิบายความสำคัญของความเป็นผู้นำตลอดแปดตอนของหนังสือ นี่เริ่มต้นด้วยการอธิบายชื่อหนังสือของเขา ตรงที่เขายกตัวอย่าง
ของนายพล จอร์จ ฟลินน์ นาวิกโยธิน ทำไมนายทหารอาวุโสกินสุดท้าย
ไซมอน ซีเนค กล่าวว่า เขามีช่างเวลาความเป็นผู้นำ อะฮ่า ในขณะที่สัมภาษณ์นายพลนาวิกโยธินอเมริกา จอร์จ ฟลินน์ เพื่อหนังสือของเขา
Leaders Eat Last ภายในการสัมภาษณ์ ไซมอน ซีเนค ถามจอร์จ ฟลินน์ ถ้าเขาสามารถสรุปอะไรทำให้สไตล์ความเป็นผู้นำของนาวิกโยธินไม่เหมือนใคร
นายพลจอร์จ ฟลินน์ กล่าวว่ามันค่อนข้างธรรมดา มันเป็นเพราะว่านายทหารกิน
เป็นคนสุดท้าย แนวคิดความมุ่งหมายรากฐานนี้อธิบายอะไรทำให้นาวิกโยธินอบอุ่นผิดธรรมดา จนถึงจุดที่พวกเขาเต็มใจไว้วางใจชีวิตของพวกเขาระหว่างกัน
ภายในทุกโรงอาหารทั่วโลก นาวิกโยธินเข้าแถวเพื่ออาหารของพวกเขาแต่ละวัน และนาวิกโยธินลำดับอาวุโสน้อยที่สุดกินก่อน ผู้นำของพวกเขา
กินสุดท้าย ระเบียบวิธีปฏิบัตินี้ไม่ได้บันทึกภายในคู่มือของนาวิกโยธิน หรือพวกเขาสื่อสาร ณ การขานชื่อ มันเป็นเพียงแค่วิถีทางที่ความเป็นผู้นำของนาวิกโยธินสอนความรับผิดชอบ
บุคคลหลายคนคิดความเป็นผู้นำเกี่ยวกับตำแหน่ง อำนาจ และสิทธิพิเศษ
แต่กระนั้นนาวิกโยธินอเมริกา ยืนยันว่าความเป็นผู้นำที่แท้จริงคือ ความเต็มใจที่จะวางความต้องการของบุคคลอื่นข้างบนความต้องการของเราเอง นั่นคือทำไมไซมอน ซีเนคเรียกชื่อหนังสือ 2014 ของเขา Leaders Eat Last
เขาได้เขียนว่า ความเป็นผู้นำที่แท้จริงเกี่ยวกับการให้อำนาจบุคคลอื่นบรรลุสิ่งที่พวกเขาไม่เชื่อเป็นไปได้ ต้นทุนของความเป็นผู้นำคือ ผลประโยชน์ตัวเอง ราคาที่แท้จริงของความเป็นผู้นำคือ วางความต้องการของบุคคลอื่นข้างบนความต้องการของเราเอง ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ดูแลอย่างแท้จริงบุคคลที่พวกเขามีสิทธิพิเศษ นำและเข้าใจว่าต้นทุนแท้จริงของความเป็นผู้นำเป็นการสูญเสียผลประโยชน์ตัวเอง
ไซมอน ีซเนค ได้สำรวจผู้นำสามารถบันดาลใจความร่วมมือ ความไว้วางใจ และการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เขาเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีที่สุดหลายเล่ม
มีทั้ง “Start With Why” “Leaders Eat Last” “Together is Better” และ “The Infinite Game” ถ้าเราไม่คุ้นเคยกับไซมอน ซีเนค
เราควรจะเลิกอะไรที่เราทำอยู่
ดูเทด ทอล์ค ที่มีชื่อเสียงของเขา “How Great Leaders Inspire Action”
ภายในการพูดของเขา ไซมอน ซีเนค ได้ใช้โมเดลเรียกว่าวงกลมทองอธิบายผู้นำ
ตำนานหมือนเช่น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง สตีฟ จ้อป และพี่น้องตระกูลไรท์ สามารถบันดาลใจไม่ใช่หลอกล่อ เพื่อที่จะจูงใจบุคคล มันเป็นกรอบข่ายเพื่อ “ทำไม”
กลายเป็นผู้นำที่พวกเขาเป็นอยู่
พวกเขามีอะไรคล้ายกันน้อย แต่พวกเขาเริ่มต้นด้วย “ทำไม” พวกเขารับรู้ว่า
บุคคลไม่ได้ซื้ออย่างแท้จริงผลิตภัณฑ์ บริการ การเคลื่อนไหว หรือความคิด จนกว่าพวกเขาเข้าใจ “ทำไม” เบื้องหลังมัน ไซมอน ซีเนค ได้อธิบาย
ส่วนผสมความลับต่อความสำเร็จของพวกเขาคือ แรงจูงใจเบื้องหลังการ
กระทำของพวกเขา ไม่ใช่การคิดเกี่ยวกับพวกเขาทำอะไร หรือพวกเขาทำมันอย่างไร จุดมุ่งของพวกเขาอยู่ที่ “ทำไม” และวิถีทางของพวกเขาไม่ใช่ทำกำไร นั่นเป็นผลลัพธ์ เมื่อใช้วงกลมทองนี้ บุคคลและองค์การควรจะเริ่มต้น
จากวงกลมข้างในของ “ทำไม” และหาทางออกของมัน การปล่อยให้มันบันดาลใจด้วยอย่างไรและอะไร แต่บุคคลส่วนใหม่ไม่ทำ พวกเขาหาทางออกเริ่มต้นด้วยอะไรที่พวกเขาต้องทำ จากนั้นค้นหาทำมันอย่างไร บ่อยครั้งทำไมเป็นเพียงแค่ไตร่ตรองสรุป
“Start With Why” เเสดงว่าผู้นำที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดภายในโลกคิด กระทำ และสื่อสารวิถีทางเดียวกัน และมันตรงกันข้ามของอะไรที่บุคคล
อื่นทำ ไซมอน ซีเนค เรียกความคิดที่มีพลังนี้ว่า วงกลมทอง และมันให้
กรอบข่ายที่องค์การสามารถสร้่าง การเคลื่อนไหวสามารถถูกนำ เเละบุคคลสามารถถูกบันดาลใจ และมันทุกอย่างเริ่มต้นด้วย “ทำไม” โมเดลวงกลมทองแสดงเป็นวงกลมจุดศูนย์กลางร่วมกันสามวง ด้วย “ทำไม” อยู่
ภายในจุดศูนย์กลาง ตามมาด้วย “อย่างไร” และในที่สุด “อะไร”
ตามไซมอน ซีเนค องค์การและบุคคลส่วนใหญมุ่งที่อะไรและอย่างไรของการกระทำของพวกเขา เรามีบุคคลไม่กี่คนที่คิดเกี่ยวกับทำไม บุคคลไม่
กี่คนเหล่านี้เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเเละเรื่องราวความสำเร็จภายในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ บางตัวอย่างของวงกลมทองคือ แอปเปิ้ล พี่น้องตระกูลไรท์ และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เราหลายคนคิดจากภายนอกเข้ามา อะไร อย่างไร และทำไม เรารู้อะไรเรากำลังทำอยู่ และเราบางคนรู้เราทำมันอย่างไร แต่เราส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งที่ทำไม มันทำให้เราไม่สามารถปลด
ปล่อยศักยภาพของเราได้ทั้งหมด
บริษัททุกบริษัท บนโลกรู้พวกเขาทำอะไร บริษัทบางบริษัทรู้พวกเขาทำ
มันอย่างไร ไม่ว่าเราเรียกมันการนำเสนอคุณค่าที่แตกต่างของเรา หรือกระบวนการกรรมสิทธิ์ของเรา หรือจุดขายที่ไม่เหมือนใครของเรา
แต่บริษัทไม่กี่บริษัทรู้ทำไมพวกเขาทำอะไรที่พวกเขาทำอยู่
และทำไม ไม่ได้หมายความทำกำไร นั่นเป็นผลลัพธ์ มันเป็นผลลัพธ์อยู่เสมอ แต่ “ทำไม” หมายถึง ความมุ่งหมายของเราคืออะไร ความเชื่อของเราคืออะไร ทำไมบริษัทของเราดำรงอยู่
โมเดลวงกลมทอง ได้อธิบายผู้นำสามารถบันดาลใจความร่วมมือ ความไว้วางใจ และการเปลี่ยนแปลงภายในธุรกิจอย่างไร บนพื้นฐานการวิจัยของเขา องค์การที่บรรลุความสำเร็จมากที่สุดคิด กระทำ และสื่อสาร ถ้าพวกเขาเริ่มต้นด้วย “ทำไม” อย่างไร
ไซมอน ซีเนค เริ่มต้นค้นพบทำไมบริษัทเหมือนเช่นเเอปเปิ้ลบรรลุความสำเร็จผิดธรรมดา ในขณะที่บริษัทอื่นด้วยทรัพยากรเหมือนกันล้มเหลว
เขาพบว่าบริษัทที่บรรลุความสำเร็จน้อยมักจะเริ่มต้นด้วย ‘อะไร” จากนั้น
ก้าวไปสู่ “อย่างไร” และละทิ้งที่จะกล่าวถึง “ทำไม” ตามความคิดเห็นของ
ไซมอน ซีเนค
เหตุผลที่แอปเปิ้ลบรรลุความสำเร็จสูงคือ มันเริ่มต้นด้วย “ทำไม”
อยู่ ณ แกนของการตลาดของแอปเปิ้ล และพลังขับเคลื่อนเบื้องหลัง
การดำเนินธุรกิจของพวกเขา ด้วยเหตุนี้แอปเปิ้ลสามารถดึงดูดลูกค้าที่
ร่วมความเชื่อรากฐานของพวกเขา
เมื่อ ค.ศ 2009 ไซมอน ซีเนค ได้เริ่มต้นการเคลื่อนไหวช่วยเหลือบุคคลกลายเป็นบันดาลใจมากขึ้น ณ การทำงาน และกลับกันบันดาลใจเพื่อนร่วมงานของพวกเขาและลูกค้า ไซมอน ซีเนคได้อ้างอิงต่อบริษัทอีคอมเมิรชเรียกว่า “เน็กซ์ จัมพ์” นำเสนอการจ้างงานตลอดชีพแก่บุคคล
เน็กซ์ จัมพ์ เป็นบริษัทหนึ่งที่เข้าใจความต้องการรากฐานที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์คือ ความปลอดภัย พวกเขารู้ว่าบุคคลเจริญเติบโตเมื่อพวกเขารู้สึกมั่นคงเเละคุ้มครอง เมื่อพวกเขารู้ว่าพวกเขาเป็นทีมได้การหนุนหลัง นี่คือทำไมนโยการจ้างงานตลอดชีพมีประสิทธิภาพ
เราได้ถูกกล่าวถึงภายในเทดทอล์คของไซมอน ซีเนค ทำไมผู้นำที่ดีทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เราเป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ของบริษัทที่สร้างความไว้วางใจ
และความปลอดภัย เพื่อที่จะให้บุคคลทดลองโดยไม่กลัว เขาใช้เราเป็นตัวอย่างของบริษัทควรจะบริหารและสภาพแวดล้อมที่มันสร้างอย่างไร
การพูดเกี่ยวกับนโยการจ้างงานตลอดชีพของเรา
เน็กซ์ จัมพ์ บริษัทที่ไม่เคยไล่ใครก็ตามออกจากงานเพื่อเหตุผลการปฏิบัติงาน บริษัทส่วนใหญ่อ้างเป็นการคิดค้นใหม่บางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่กี่บริษัทเท่านั้นสมควรได้รับป้ายฉลากนี้อย่างแท้จริง เน็กซ์ จัมพ์ เป็นหนึ่งของไม่กี่บริษัท การคิดค้นใหม่ของวัฒนธรรมบริษัทและปรัชญาการบริหารทำให้พวกเขาได้รับเกียรติอย่างน่าประทับใจ กองทัพอากาศและบริษัทยิ่งใหญ่จำนวนมากยืนอยู่ภายในแถวที่จะเรียนรู้จากเน็กซ์ จัมพ์ บริษัทที่วางวัฒนธรรมบริษัทและการเจริญเติบโตส่วนบุคคลเหนือสิ่งอื่นใด
เราสนใจอย่างมากกับนโยบายการจ้างงานตลอดชีพที่มีชื่อเสียงของ
พวกเขา ไม่มีการไล่ออกด้วยเหตุผลการปฏิบัติงาน
ชาลี คิม เริ่มต้นเน็กซ์ จัมพ์ จากห้อวพักนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นหนังสือคูปองพ่อค้าเพื่อบริษัท และดำเนินโครงการส่วนลดบริษัทเพื่อ
บุคคลของพวกเขา พวกเขาเริ่มต้นเป็นธุรกิจแคตตาลอกเมื่อ ค.ศ 1994 เมื่อ ค.ศ 1997 พวก
เขาได้เข้าสู่ออนไลน์ทั้งหมด เพราะว่าต้นทุนพิมพ์สูงขึ้นมาก เมื่อพ่อค้าต้องการความสามารถปรับปรุงข้อเสนอของพวกเขาบ่อยครั้ง บนเว็บ
พวกเขาสามารถปรับปรุงมันทุกชั่วโมงถ้าพวกเขาต้องการ ธุรกิจแกนของบริษัทเป็นแพลตฟอร์มส่วนลดบุคคลของบริษัท ใช้โดยมากกว่า 70% ของฟอร์จูน 1000 ช่วยบุคคลของพวกเขาประหยัดเงิน
เน็กซ์ จัมพ์ ได้เข้าไปสู่การรับรู้ของสาธารณะเมื่อไร เมื่อ ค.ศ 2016 พวกเขาได้ถูกคัดเลือกโดยเอชบีอาร์เป็นองค์การพัฒนาโดยตั้งใจ บริษัทที่สร้างวัฒนธรรมของพวกเขาสนับสนุนการพัฒนาบุคคลทุกคนของพวกเขา ทุกวัน
ณ แกนของมัน เป็นความเชื่อว่าวิถีทางที่จะกลายเป็นบริษัทที่ดีคือ ด้วยการให้บุคคลทำงานด้วยตัวพวกเขาเอง และช่วยเหลือบุคคลอื่นเจริญเติบโต นี่ได้ตกผลิกเป็นเวทย์มนต์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ณ เน็กซ์ จัมพ์
เน็กซ์ จัมพ์ เริ่มต้นบริษัทภายใน ค.ศ 1994 เป็นธุรกิจคูปองมหาวิทยาลัย
อะไรทำให้เน็กซ์ จัมพ์ แตกต่างคือ วัฒนธรรมของพวกเขา และการมุ่งที่
การพัฒนาส่วนบุคคล พวกเขาได้พิสูจน์ว่าการรวมกันของการดูแลบุคคลของเรา และการช่วยเหลือพวกเขาเจริญเติบโตเป็นมนุษย์เป็นไปได้ ในขณะที่ทำเงิน และช่วยให้โลกกลายเป็นสถานที่ดีขึ้น
ภารกิจของพวกเขาถ่ายทอดความเชื่อนี้อย่างชัดเจน เน็กซ์ จัมพ์ บริษัท
ที่ทำกำไร ลงทุนเวลาและทรัพยากรภายในการเจริญเติบโตของบุคคล
ของพวกเขา – ฉันดีขึ้น เพื่อความมุ่งหมายของการช่วยเหลือบุคคลอื่น
– คุณดีขึ้น นำไปสู่โลกที่ดีขึ้น – เราดีขึ้น
ชาร์ลี คิม ได้กล่าวว่า เราต้องการเน็กซ์ จัมพ์เป็นบริษัทที่แม่และพ่อของผมภูมิใจเราต่อการสร้างบริษัท และส่วนใหญ่ของการทำให้พ่อเเม่ของเราภูมิใจมาจากการเป็นบุคคลที่ดีและทำสิ่งที่ถูกต้อง และดังนั้นเขาได้ดำเนินการนโยบายการจ้างงานตลอดชีพ เน็กซ์ จัมพ์ อาจจะเป็นบริษัทเทคเดียวเท่านั้นภายในประเทศที่ทำสิ่งนี้ ไม่มีใครถูกไล่ออกที่จะให้งบดุลบัญชีลงตัว และเเม้แต่ความผลาดที่มีต้นทุน
ต่อชาร์ลี คิม และเมแกน เเมสเซนเจอร์ วัฒนธรรมที่มุ่งการพัฒนาส่วนบุคคล อยู่ ณ แกน
ของธุรกิจของพวกเขา ความเชื่อของพวกเขาของ “ฉันดีขึ้น + คุณดีขึ้น
= เราดีขึ้น เป็นรากฐานเพื่อวัฒนธรรมเน็กซ์ จัมพ์ วัฒนธรรมของพวกเขาสำคัญต่อพวกเขาที่บุคคลใช้ใช้ 50% ของเวลาของพวกเขาบนการเจริญเติบโตและการพัฒนา ในขณะที่อีก 50% มุ่งที่การเจริญเติบโตของธุรกิจของพวกเขา การพัฒนาส่วนบุคคลของบุคคลของเน็กซ์ จัมพ์ ถูกกระตุ้นผ่านทางโมเดลการพัฒนาเฉพาะของพวกเขาเอง
ชาร์ลี คิม ได้ร่วมประสบการณ์ตอนเป็นเด็กกับเราที่ช่วยให้เขาสร้างวัฒนธรรม
ณ เน็กซ์ จัมพ์ มันได้ให้วิสัยทัศน์แก่เขาที่จะสร้างบริษัททำให้แม่และพ่อ
ของเขาภูมิใจ
เมื่อตอนเป็นเด็กวัยรุ่น ชาร์ลี คิม อยู่ภายในไนจีเรีย ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ผลไม้ท้องที่คุณภาพย่ำแย่ ชาร์ลี คิม มองเห็นเเม่ของเขารักษาเมล็ดมะม่วงที่ดีที่สุด และเมล็ดของผลไม้อื่น ปลูกมันภายในหลังบ้านของพวกเขา ภายในความพยายามที่จะฉลาดกว่าแม่ของเขา ชาร์ลี คิม ได้ไปพบเธอและพูดว่า
แม่ คุณไม่รู้หรือว่าต้นไม้นั้นใช้หลายปีที่จะเจริญเติบโต เราอยู่ที่นี่
เพียงสองปีเท่านั้น ทำไมคุณทำสิ่งนี้ เเม่ของเขาได้ตอบด้วยคำพูดที่
เรียบง่าย เพราะว่ามันเป็นสิ่งถูกต้องที่จะทำ มันกลายเป็น เมื่อชาร์ลี
คิม และครอบครัวของเขาอยู่ภายในไนจีเรีย 17 ปี และจบลงด้วยการมี
ผลไม้ดีที่สุดภายในชุมชน
เราได้ค้นพบสูตรโดยทั่วไปภายในวัฒนธรรมบริษัทถูกสร้่างอย่างไร :
ฉันดีขึ้น + คุณดีขึ้น = เราดีขึ้น วัฒนธรรมสร้างที่จะช่วยเหลือบุคคลปรับปรุงตัวพวกเขาเอง เพื่อความมุ่งหมายของการช่วยเหลือบุคคลอื่น
ส่วนผสมที่สำคัญต่อความสำเร็จเป็นการกระตุ้นความสมดุล และสร้าง
วงจรเจริญเติบโตของฉันดีขึ้นต่อคุณดีขึ้น การลงทุนทางวัฒนธรรมของ
เราที่จะทำให้บุคคลของเราดีขึ้น เพื่อความมุ่งหมายของทำให้ดีขึ้น เข้ม
แข็งขึ้น ฉลาดขึ้น ดังนั้นเราสามารถช่วยเหลือบุคคลอื่น
เมื่อเราเดินผ่านสำนักงานของเน็กซ์ จัมพ์ มันกลายเป็นชัดเจนว่าการพัฒนาทางร่างกายมองเห็นได้ชัดที่สุดของวัฒนธรรมเน็กซ์ จัมพ์ โต๊ะเเวดล้อมด้วย
อาหารว่างเเละเครื่องดื่มสุขภาพ สำนักงานมีห้องโยคะ และพื้นที่ฟิตเนสส์
กว้างใหญ่ เมแกน แมสเซนเจอร์ ได้วางรากฐานจุดมุ่งของพวกเขาต่อสุขภาพทางร่างกาย
ด้วยการกล่าวว่าพวกเขากระตุ้นบุคคลทุกคนไปห้องออกกำลังอย่างน้อยที่สุดสองครั้งต่อสัปดาห์ เราเชื่อว่าร่างกายที่สุขภาพดีสำคัญต่อบุคคลทุกคน ดังนั้นเราได้กระตุ้นมันให้มากเท่าที่เป็นได้
ผู้ก่อตั้งบริษัทต้องการสร้างบริษัทที่แม่และพ่อของเราภูิมิใจเราต่อการสร้างบริษัท เขารู้สึกว่าพ่อเเม่ต้องการสิ่งดีที่สุดอย่างเดียวเท่านั้นต่อลูกของพวกเขา และจะทำทุกสิ่งทุกอย่างภายในอำนาจของพวกเขา เพื่อพวกเขาดีที่สุดที่พวกเขาสามารถเป็น ด้วยเหตุนี้เขาได้แนะนำนโยบายของการจ้างงานตลอดชีพฝังรากภายในความเชื่อว่าพ่อแม่ไม่เคยปลดลูกของพวกเขา ถ้าพวกเขาทำตัวไม่ดีหรือขาดประสิทธิภาพ ไม่ว่าเราอาจจะต่อสู้มากน้อยแค่ไหน เราไม่เคยกำจัดครอบครัว เราต้อง
ทำมันให้ทำงานได้ นายที่ยิ่งใหญ่ไม่เคยปลดบุคคลออกจากงาน คำแนะนำของเขาดูเหมือน
ขัดเเย้งทั้งความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและภูมิปัญญาที่มักจะอ้างถึงว่าผู้
บริหาราควรจะ “ว่าจ้างให้ช้า และไล่ออกอย่างรวดเร็ว” แต่ไซมอน ซิเนค
ได้กล่าวว่าวิถีทางที่แตกต่างกันจำเป็นภายในบริษัท “ว่าจ้างช้า และไม่
เคยไล่ออก”
Cr : รศ สมยศ นาวีการ