jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ข้อถกเถียงสิทธิสตรี ในชุดความคิดทางอิสลามการเมือง ตอนที่ ๑ - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ข้อถกเถียงสิทธิสตรี ในชุดความคิดทางอิสลามการเมือง ตอนที่ ๑

ข้อถกเถียงสิทธิสตรี ในชุดความคิดทางอิสลามการเมือง ตอนที่ ๑

 

ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน

ศูนย์อิสลามและอิหร่านศึกษา  วทส.

 

กระแสการกลับมาของรัฐบาลตอลิบานทำให้สื่อกระแสหลักตะวันตกหันมาตั้งข้อสังเกตในเรื่องสิทธิสตรีชาวอัฟกันอย่างกว้างขวางทีเดียว ถึงกับทำให้มีบางส่วนยังไม่แน่ใจว่า คำสัญญาดังกล่าวจะเป็นจริงได้แค่ไหนในทางปฏิบัติ โดยหญิงชาวกรุงคาบูลผู้หนึ่งบอกกับบีบีซีว่า “ฉันไม่เชื่อที่พวกเขาพูด มันเป็นแผนลวงที่จะหลอกเอาตัวพวกเราไปลงโทษ ฉันจะไม่เรียนหรือทำงานภายใต้กฎของพวกเขาเด็ดขาด”

สตรีชาวอัฟกันอีกผู้หนึ่งบอกว่า “ถ้าผู้หญิงสามารถทำงานและได้รับการศึกษาจริง นั่นก็ตรงกับนิยามของคำว่าเสรีภาพในแบบของฉัน ตราบใดที่สิทธิของผู้หญิงทั้งสองอย่างนี้ได้รับการปกป้อง ฉันยินดีจะคลุมศีรษะตามหลักการของอิสลาม แต่จะไม่ยอมสวมชุดคลุมบุรกาที่ปกปิดทั้งตัว ซึ่งไม่ใช่การแต่งกายตามหลักอิสลามอย่างที่เข้าใจกัน”

ประเด็นปัญหาเรื่องสตรีในโลกอิสลามถือว่าเป็นประเด็นที่คนนอกสังคมมุสลิมไม่รู้และเข้าใจผิดกันมากและเมื่อมองจากภายนอกด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจแล้ว ภาพพจน์ของสตรีในสังคมมุสลิมอาจจะกลายเป็นบุคคลลึกลับ บุคคลที่มีสถานภาพเป็นที่กังขาในความเท่าเทียมกับบุรุษ เป็นประเด็นที่ผู้เลื่อมใสในลัทธิเพศนิยม (feminism) หยิบยกมาโจมตีในเวทีโลกอยู่เนืองๆ

การฉายภาพถึงบทบาทของสตรี ถือว่ารัฐคือบทบาทสำคัญของตัวแสดงนั้น เพื่อจะศึกษาทำความเข้าใจสถานภาพและบทบาทของสตรี และยังถือว่ากรบวนทัศน์ทางการเมืองแบบอิสลามการเมืองยุคปัจจุบันก็คงมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเด็นสตรีในอิสลามได้อย่างกว้างขวางและถูกต้อง ไม่ว่าในแต่ละสังคมอาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้างตามเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ ประเทศ ตลอดจนลัทธิการปกครอง แต่ทุกสังคมมุสลิมย่อมมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือการยึดถือตามแนวทางของอิสลาม ตามคำสอนในพระอัลกุรอานและตลอดจนคำสอนของนักวิชาการศาสนาท่านอื่นๆ ดังนั้น หากจะเริ่มกันที่หลักคำสอนของอิสลามแล้ว การเรียนรู้และทำความเข้าใจในสถานภาพ สิทธิและหน้าที่หรือคุณสมบัติของสตรีตามแนวทางอิสลาม จะเป็นปฐมบทเบื้องต้นที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในสังคมมุสลิม ไม่ว่าสังคมหรือชุมชนนั้นจะอยู่ที่ใดในโลก

แนวคิดอิสลามการเมืองนั้นถือว่ารัฐเป็นสิ่งจำเป็นตามธรรมชาติของมนุษย์ที่จะเป็นกลไกสำคัญอันจะนำไปสู่จุดมุ่งหมายแห่งอิสลามได้ คือการนำอิสลามมาใช้เพื่อสร้างความสันติและความเป็นธรรมในทุกแง่มุมของชีวิตของทั้งปัจเจกบุคคลและส่วนรวมทั้งนี้รัฐยังมีอำนาจในการส่งเสริมการทำความดีและยับยั้งการกระทำความชั่วซึ่งเป็นความชอบธรรมของรัฐในการให้คุณให้โทษดังกล่าวได้

อาบู มาลา เมาดูดี ได้แยกแยะองค์ประกอบหลักของระบบการเมืองการปกครองอิสลามไว้สามประการด้วยกันดังนี้ คือ  แนวคิดเรื่องความเป็นเอกภาพของพระเจ้าหรือเตาฮีด ในที่นี้หมายถึงมุสลิมต้องเชื่อว่าอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวที่เป็นผู้สร้าง ผู้อภิบาลและผู้มีอำนาจสุงสุดสากล มีสิทธิในการบังคับบัญชาและสั่งห้าม วางระเบียบต่างๆ ไม่มีผู้ใดที่เป็นภาคีต่อพระองค์ซึ่งสิ่งนี้เป็นการปฏิเสธอธิปไตยของมนุษย์ในทางการเมืองและในเรื่องของกฎหมายทั้งในระดับปัจเจกบุคคลหรือส่วนรวม เพราะไม่มีใครมีอำนาจในการออกกฎหมายนอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น(จรัญ มะลูลีม  อิสลามการเมือง ในการเมืองตะวันออกกลาง)

โดยทั่วไปแล้วแนวคิดทางการเมืองของนักการเมืองหรือนักปรัชญาการเมือง เขาจะมีพื้นฐานหลักคิดนั้น จากหลักปรัชญา ญาณวิทยา  มานุษยวิทยาและระเบียบวิธีการศึกษาที่เป็นการเฉพาะที่มีความสัมพันธ์กับตัวของเขา ดังนั้นนักปรัชญาการเมืองในโลกอิสลามหรือนักการเมืองทั่วไปจะผ่านกรอบแนวคิดดังกล่าวกันทั้งสิ้น จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม  ขอยกตัวอย่าง นักปรัชญาผู้โด่งดังของโลกอิสลาม  อบูนัสน์ อัลฟารอบี  กับการนำเสนอในปรัชญาการเมืองเรื่องนครแห่งอารยะ(City of Moral) ผ่านกรอบแนวคิดทางอภิปรัชญาและญาณวิทยา     ซึ่งได้นำเสนอว่าผู้นำรัฐหรือผู้ปกครองนั้น ต้องมีภาวะผู้นำ(LeaderShip) โดยผู้ปกครองนั้นต้องอยู่ในฐานะปราชญ์(Philosopher)ที่เข้าถึงองค์ปัญญาและมีระดับปัญญาที่พร้อมทุกขณะจิต  และถ้าผู้นำรัฐหรือผู้ปกครองมีภาวะความต่ำลงของปัญญาก็อาจจะทำให้นครแห่งอารยะ กลายเป็นนครแห่งความชั่วร้ายไป(City of Evil))

ภาพจำ ภาพจริง สิทธิสตรีในอิสลาม

เมื่อพูดสตรีมุสลิมวันนี้สิ่งแรกที่คนส่วนมากนึกถึงก็คือภาพของสตรีภายใต้ผ้าคลุมศรีษะ และเสื้อผ้าสีทึบที่ปกคลุมเรือนร่างอย่างมิดชิด หลายคนมองภาพของผู้หญิงถูกบังคับให้ต้องอยู่แต่ในบ้าน ต้องสวมใส่ผ้าคลุมศรีษะ และถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพอะไรทำนองนั้น เป็นภาพจำที่สะท้อนถึงความเลวร้ายของสตรีหรือร้ายไปกว่านั้นสื่อกระแสหลักพยายามจะชี้นำไปในทางที่เป็นลบต่อภาพลักษณ์ของสตรีในอิสลามเพื่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่อคำสอนของศาสนาถึงการละเมิดสิทธิสตรีอย่างรุนแรง และนำมาความไม่เข้าใจของคนส่วนใหญ่ต่อสตรี กลายเป็นการสร้างกระแสโหมโรงโจมตีศาสนาอิสลามในประเด็นเรื่องสตรีจนถึงวันนี้ก็ว่าได้

จนกระทั้งได้มีงานวิจัยด้านสตรีอิสลามได้ถูกเผยแพร่มากขึ้น ข้อมูลทางวิชาการถูกนำไปบรรจุไว้ในฐานข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้ ทำให้ผู้มีใจเป็นธรรมสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นจริงและตรวจสอบได้

ในปี  2020 ที่ผ่านมา ได้มีนักศึกษาสตรีชาวอิสราเอล ได้ทำดุษฎีนิพนธ์ ปริญญาเอก ว่าด้วยเรื่อง “อิทธิพล ท่านหญิงฟาติมะฮ์ บุตรตรีศาสดาอิสลาม”เธอได้เขียนผ่านงานวิจัยชิ้นนี้ว่า  โครงสร้างหลักทางนโยบายรัฐของอิหร่านต่อเรื่องบทบาทสตรี เป็นการตกผลึกทางสารัตถะวิถีแห่งธรรมะท่านหญิงฟาติมะห์ จนสามารถสร้างแบบอย่างสตรีในอิสลามได้อย่างภาคภูมิ และท่านหญิงฟาติมะห์คือแรงบันดาลใจของการยืนหยัดต่ออิสลามการเมืองจนประสบความสำเร็จในสังคมแบบอิสลามอย่างน่าพิศวงทีเดียว

หรือถ้าตรวจสอบชุดความรู้เกี่ยวกับผู้หญิงหรือสตรีภายใต้ชุดคำอธิบายที่เป็นกระแสหลัก ที่ได้รับการถ่ายทอดโดยนักวิชาการจากฝั่งตะวันตกก็ดีหรือจากนักการศาสนาอิสลามหรือจากผู้รู้ที่อาศัยการตีความตัวบทจากแหล่งอ้างอิงมาจากคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์ศาสดา(ศ)หรือจากประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลามก็ดี ถือว่าในมุมหนึ่งได้ถูกถ่ายทอดออกมาเหมือนประหนึ่งว่าเป็นประเพณีและวัฒนธรรมของอิสลามว่า แท้จริงผู้หญิงในอิสลามได้ถูกโยงระหว่างเรื่องวินัยหรือเรื่องสิ่งต้องห้ามหรือสิ่งควรปฏิบัติเท่านั้น  โดยเป็นมายาคติว่าความเป็นผู้หญิงต้องเป็นผู้อยู่กับบ้านกับเรือน  เป็นภรรยาที่ดี อยู่ในโอวาทของผู้ปกครองและสามี เป็นอีกภาพจำหนึ่งที่สร้างความเข้าใจผิดต่อผู้หญิงในอิสลามอย่างกว้างขวาง หรือแม้แต่สื่อก็ได้ออกมาเป็นภาพซ้ำอยู่ทุกยุคทุกสมัยว่าสตรีในอิสลามคือเพศที่อยู่ภายใต้บุรุษ ไม่มีสิทธิทางการเมือง ทางสังคมใดๆ ไม่มีสิทธิในการเป็นนักบริหารอะไรทำนองนั้น

ทั้งๆที่ภาพจริงจากคำอธิบายในเอกสารประวัติศาสตร์ศาสนาและคัมภีร์อัลกุรอน หรือแม้แต่ในแบบฉบับของศาสดามุฮัมมัด(ศ)เอง ได้กล่าวถึงสตรีในหลากหลายสถานะและหลายบทบาท  เช่น ราชินีบิลกีส เป็นผู้นำทางการปกครองเมืองซาบาอ์แห่งเยเมนในยุคก่อนศาสดามุฮัมมัด   หรือพระนางมาเรียหรือท่านหญิงมัรยัม มารดาพระเยซูของชาวคริสต์ ได้แสดงถึงความเป็นหญิงในฐานะมารดาบริสุทธิ์ของศาสดาอีซา เป็นผู้ต่อสู้กับคำกล่าวหาและให้ร้ายจากสังคมเมื่อเธอให้กำเนิดบุตร โดยปราศจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือ พระนางอาซียะฮ์ ภรรยาของฟาโรห์ผู้อหังการ แต่เธอผู้เปี่ยมล้นความเมตตา ได้เป็นผู้ดูแลศาสดามูซา

หรือท่านหญิงฟาติมะฮ์ บุตรตรีแห่งศาสดาอิสลาม ผู้สูงศักดิ์และได้รับการย่กย่องว่า อุมมุ อะบีฮามารดาของบิดาของเธอเธอผู้มีบทบาททั้งในบ้านและในสมรภูมิสงคราม  ฟาติมะฮ์ เป็นนักท่องจำฮะดีษ  เป็นปราชญ์ และเป็นครูสอนประชาชนชาวมะดีนะฮ์  เป็นนักต่อสู้ และเรียกร้องสิทธิต่างๆในสังคม เธอถูกยกย่องว่าเป็นสตรีต้นแบบ  และอยู่ในฐานะ “ประมุขสตรีในสรวงสวรรค์” เลยทีเดียว

กลับกันสื่อกระแสหลักไม่ค่อยจะกล่าวถึงสถานะของผู้หญิงในอิสลามในทางบวกสักเท่าไหร่นัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงอิหร่านยุคหลังปฎิวัติ 1979  ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วสตรีในอิหร่านวันนี้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีและในด้านการศึกษา อิหร่านได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในการยกระดับการศึกษาของผู้หญิง ลดช่องว่างของหญิงชายในด้านการศึกษา ในด้านแรงงาน อิหร่านมีผู้หญิงที่ทำงานเป็นข้าราชการถึงหนึ่งในสามของจำนวนข้าราชการทั้งหมด มีผู้หญิงรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกต่างๆนับร้อย และในการเลือกตั้งท้องถิ่นในปี 1999 มีผู้หญิงถึง 5,000 คนลงสมัครรับเลือกตั้ง และในจำนวนนี้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้นำท้องถิ่นถึง 300 คน และยังจะได้เห็นบทบาทสตรีที่อยู่ในฐานะเป็นรองประธานาธิบดีของประเทศ หรือเป็นผู้ขับเคลื่อนทางสังคมอย่างน่าชื่นชม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *