ถ้าให้เลือกสิ่งหนึ่งที่เราปรารถนาจะไม่ให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราเลย ถ้าเราเลือกได้สิ่งนั้นคืออะไร?
ถ้าให้เลือกสิ่งหนึ่งที่เราปรารถนาจะไม่ให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราเลย ถ้าเราเลือกได้สิ่งนั้นคืออะไร?
ส่วนใหญ่ก็คงจะเลือกความทุกข์ ชีวิตนี้ถ้าไม่มีความทุกข์เสียเลย มันจะวิเศษเพียงใด แต่ความจริงก็มีอยู่ว่าเราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความทุกได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนด้วยชาติ ภาษาใด หรือว่ามั่งมีแค่ไหน ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีทางหนีความทุกข์พ้น
เวลามีความทุกข์เกิดขึ้นกับเรา ที่จริงมันไม่ได้เกิดขึ้นกับเราโดยตรง ส่วนใหญ่อาจจะเกิดกับทรัพย์สินเงินทองเช่น เงินหาย เงินที่ฝากไว้ในธนาคารถูกโกงเอาไปก็ด้วยกลอุบายของแก๊ง Call Center หรือไม่ก็เพื่อนใกล้ชิดมาโกงเอาไป นี่ก็ทุกข์
หรือว่าเกิดความเจ็บความป่วย ร่างกายติดขัด บางทีไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ว่ามันไม่สวยไม่งามเหมือนเมื่อก่อนหรืออย่างที่คาดหวัง อันนี้ก็ทุกข์ และเดี๋ยวนี้คนจำนวนมากก็ทุกข์ไม่ใช่เพราะสุขภาพแย่ แต่เป็นเพราะเรือนร่างไม่สวยงามอย่างที่หวัง
บางครั้งความทุกข์มาในรูปของงานการที่มีปัญหา หรือที่หนักกว่านั้นตกงาน หรือว่าต้องไปทำงานที่เขาถือว่าต่ำต้อยก็ทุกข์ ที่หนักกว่านั้นก็คือความสัมพันธ์ที่มันร้าวฉาน ความสัมพันธ์กับคนรักต้องเลิกทางกัน หรือว่าคนรักเกิดล้มหายตายจากไป
ทั้งหมดนี่ก็รวมสรุปที่ว่า ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ รวมทั้งปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น บางทีไม่ได้สูญเสีย แล้วก็ไม่ได้เจอเคราะห์ แต่ว่ามันได้ไม่สมอยาก อันนี้ก็ทุกข์
แล้วคนเราพอมีความทุกข์ก็มักจะตีโพยตีพายโวยวายคร่ำครวญ ที่ดีหน่อยก็พยายามที่จะหาทางแก้ทุกข์ หาทางจัดการกับต้นเหตุแห่งทุกข์ แต่จะดียิ่งขึ้นถ้าหากว่าเราระลึกถึงธรรมะไว้บ้าง แทนที่จะโวยวายตีโพยตีพายหรือคร่ำครวญ
นึกถึงธรรมะเอาไว้ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้นึกถึง จะนึกถึงก็แต่พระพุทธพระสงฆ์มากกว่า
ในบรรดาพระรัตนตรัยที่คนจะนึกถึงเวลาประสบทุกข์ก็นึกถึงแต่พระพุทธกับพระสงฆ์
นึกถึงพระสงฆ์ก็หมายถึงเกจิอาจารย์หลวงปู่หลวงตาที่คิดว่าจะมีอำนาจดลบันดาลให้หายทุกข์ได้ หรือนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพุทธคุณที่ประกอบด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ช่วยปัดเป่าความทุกข์ หรืออย่างน้อยๆก็ให้เป็นที่พึ่งพาของจิตใจ
อย่างคนส่วนใหญ่ถ้าเป็นชาวพุทธ เวลามีความทุกข์ก็ไปวัด ไปหาที่พึ่ง ที่พึ่งก็คือพระพุทธกับพระสงฆ์ แต่ไม่ค่อยนึกถึงพระธรรมเท่าไร
ทำไมถึงควรนึกถึงพระธรรม
ก็เพราะว่าถ้าเรานึกถูก มันจะช่วยให้อย่างน้อย เราไม่ซ้ำเติมตัวเอง เวลาเสียทรัพย์มันก็เสียแต่ทรัพย์แต่ว่าใจไม่เสีย เพราะว่านึกถึงธรรมะ นึกถึงธรรมะก็ได้หลายแง่
เช่นนึกถึงว่ามันไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน ทุกอย่างมันก็ไม่เที่ยง ทรัพย์สมบัติที่มีก็ไม่เที่ยง หรือนึกถึงความจริงว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทรัพย์ที่มีก็อยู่กับเราแค่เพียงชั่วคราวแล้ววันหนึ่งมันก็กลายเป็นอื่นไป
หรือจะตั้งถึงธรรมะในแง่ที่ว่า สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ต้องรู้จักปล่อยรู้จักวาง ถ้าเสียทรัพย์แล้วยังไปยึดติดในทรัพย์นั้น มันก็ทำให้ทุกข์ใจ เหมือนกับว่าใจถูกฉุด ทรัพย์ไม่ใช่แค่เสียอย่างเดียว ใจก็เสียด้วย แต่นึกถึงธรรมะก็จะช่วยทำให้ไม่ซ้ำเติมตัวเองคือเสียแต่ทรัพย์แต่ใจไม่เสีย
หรือเจ็บป่วยก็ป่วยแต่กาย แต่ใจไม่ป่วยด้วย ก็เพราะนึกถึงธรรมะที่ว่า ร่างกายย่อมมีวันแปรเปลี่ยนไป มันย่อมมีวันเสื่อม มันย่อมมีวันชรา หรือจะนึกไปถึงว่ามันไม่ใช่ของเราอย่างกายนี้ ที่ทุกข์ใจก็เพราะว่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา หรือไปนึกว่ามันเที่ยง
พอนึกถึงธรรมะมันก็ทำให้เราได้สติ เกิดปัญญาขึ้นมา หรืออย่างน้อยๆก็เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ไม่จมอยู่ในความทุกข์ สามารถที่จะฉุดใจออกจากความทุกข์ได้ กลับมารู้เนื้อรู้ตัว อันนี้ก็อานิสงส์ของธรรมะ มันก็ช่วยทำให้ไม่ซ้ำเติมตัวเอง
บ่อยครั้งเราซ้ำเติมตัวเอง เสียทรพัย์ไม่พอ ใจก็เสียด้วย ป่วยกายไม่พอ ใจก็ป่วย เวลาตกงาน จิตก็ตกไปด้วย อย่าว่าแต่อะไรเลย แม้แต่รถติดก็ปล่อยให้จิตตกแล้ว แทนที่จะเสียแค่เวลาก็มาเสียอารมณ์ บางทีก็ระบายใส่ลูกใส่หลานใส่คนรักที่อยู่ใกล้ตัว บางทีก็เสียความสัมพันธ์เข้าไปด้วย อันนี้เรียกว่าซ้ำเติมตัวเอง
แต่ถ้าเรานึกถึงธรรมะ ถ้านึกเป็นนึกถูก ก็ไม่ซ้ำเติมตัวเอง และยิ่งกว่านั้นก็จะทำให้ผ่อนหนักเป็นเบา เพราะว่าถ้าปล่อยให้ใจจมดิ่งไปอยู่กับความทุกข์ สุขภาพก็ย่ำแย่ ไม่ใช่แค่สุขภาพกาย สุขภาพจิตด้วย
ถ้าเรารู้จักนึกถึงหรือใช้ธรรมะบ้าง หนักก็กลายเป็นเบา คนมาต่อว่าด่าทอ มันก็ไม่หงุดหงิดหัวเสีย ไม่โกรธแค้น ยังนอนหลับได้ หรือจะดียิ่งกว่านั้นก็คือว่า เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี ก็เพราะธรรมะนี้แหละความทุกข์มันก็กลายเป็นของดีได้
อย่างหลวงพ่อท่านหนึ่งบอกว่า คนดีนะใครปาขี้หมามา เขาก็มองให้กลายเป็นดอกไม้ได้ คนดีในที่นี้ก็ไม่ได้หมายถึงคนมีศีลอย่างเดียวนะ แต่รวมถึงคนที่มีใจดี มีสติมีปัญญา ใครปาขี้หมามา เขาก็มองให้กลายเป็นดอกไม้
เจอความเจ็บความป่วย ก็ทำให้ได้เห็นสัจธรรมความจริงของสังขาร ของร่างกาย หรือบางทีอาจจะไม่ทันเห็นถึงขั้นนั้น แต่ก็ทำให้ได้สติว่าเราควรใช้ชีวิตนี้เพื่ออะไร
หลายคนเอาแต่ทำมาหาเงินจนล้มป่วย พอป่วยก็หันมาสนใจธรรมะเพราะว่าป่วยเป็นโรคร้าย หันมาสนใจปฏิบัติธรรม ทำกรรมฐาน ก็เลยพบถึงความสงบเป็นความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน แล้วก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ชีวิตต้องการ แต่เรามองข้ามไป พบจุดหมายของชีวิต
บางคนก็บอกว่า พบชีวิตใหม่เพราะป่วยเป็นมะเร็ง ขอบคุณที่เป็นมะเร็งเพราะทำให้มาพบชีวิตใหม่ บางคนที่เคยเครียดเพราะธุรกิจ จะเอาอย่างไรดีเพราะว่ามีธุรกิจร้อยล้านพันล้าน เครียด แต่ว่าพอป่วย เขาก็ได้คิดเลยว่า คนเราตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ และยิ่งกว่านั้นตอนที่ยังไม่ตาย เงินที่มีอยู่ก็ใช้ไม่หมด เราจะไปทุกข์กับเรื่องทรัพย์สมบัติเรื่องกิจการไปทำไม
ทีแรกก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะขายอะไรดี แต่พอคิดได้แบบนี้ ขายให้หมดเลย เหลือแต่กิจการแค่แห่งสองแห่งเอาไว้เลี้ยงตัวกับครอบครัว เวลาที่เหลืออยู่ทำอะไร ก็อยู่กับครอบครัว มีเวลาเจริญสติ มีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาชมนกชมไม้ทำสวน ชีวิตที่เคยเร่งรีบก็กลายเป็นชีวิตที่เนิ่นช้าแบบสโลว์ไลฟ์ ชีวิตที่เคยรุ่มร้อนก็กลายเป็นชีวิตที่สงบเย็น ก็เพราะว่าได้คิดในระหว่างที่ป่วยนี้แหล่ะ
ถ้าไม่ป่วยก็ไม่ได้นึกถึงความตาย แล้วพอไม่ได้นึกถึงความตายมันก็ยังหลงสิ่งฉาบฉวยในทางโลกซึ่งล้วนแต่เป็นสมมุติทั้งนั้น บางคนก็เลยบอกว่าขอบคุณที่ป่วย เพราะว่ามันทำให้ชีวิตได้กลับมาพบสาระที่แท้จริง
เราสามารถจะหาประโยชน์จากความทุกข์ได้ ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกอยู่เสมอว่า ความเจ็บป่วยสามารถทำให้เราฉลาดได้ ป่วยทุกครั้งก็ให้มันฉลาดทุกที ฉลาดในเรื่องของสัจธรรมความจริง เรื่องของสังขาร
ที่จริงไม่ใช่ป่วยอย่างเดียว สูญเสียทรัพย์ การงานล้มเหลว มันก็สอนสัจธรรมให้เราว่ามันไม่มีอะไรที่เราจะยึดมั่นถือมั่นได้เลย ไม่มีอะไรที่เป็นของเราได้อย่างแท้จริง ถ้ามองแบบนี้มันก็ได้ประโยชน์
บางครั้งชีวิตเราเจอทุกข์มามาก แล้วบางครั้งก็อาจจะรู้สึกคับแค้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราขอบคุณความทุกข์ความยาก อย่างผู้ชายคนหนึ่งลำบากตั้งแต่เล็กเพราะพ่อไม่สนใจครอบครัวเลย ปล่อยให้แม่เลี้ยงดูลูกๆหลายคน ลำบากมาก ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งกินกันทั้งบ้าน 6-7 คน
ตัวเขาเองต้องดิ้นรนหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แม่ น้องตั้งแต่เล็กตั้งแต่เรียนประถม มัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย ต้องรู้จักหาเงินหาทอง ในระหว่างนั้นก็มีเรื่องขัดแย้งกับพ่อเป็นประจำ ถูกพ่อตบตี บางทีเขาก็อยากจะต่อสู้
เขารู้สึกคับแค้นมาก ทำไมต้องมาเกิดในครอบครัวแบบนี้ แต่พอเวลาผ่านไป 20-30 ปี เขากลายเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ตอนหลังก็รับพ่อซึ่งป่วยมาดูแลเพราะยังมีความสำนึกในบุญคุณของพ่อ
ตอนหลังพ่อเมื่อพ่อใกล้จะตาย เขาก็กราบอกพ่อก่อนที่พ่อจะสิ้นลม แล้วก็บอกว่าเป็นเพราะป๊าทำให้ผมมีวันนี้ แทนที่จะเกลียดชังพ่อ กลับขอบคุณ เพราะการที่พ่อประพฤติตัวแบบนี้ ทำให้เขามีความเข้มแข็ง ทำให้เขารู้จักพึ่งตนเอง ทำให้เขามีระเบียบวินัย ทำให้เขา ต้องดิ้นรนขวนขวายในการทำมาหากินจนกระทั่งประสบความสำเร็จ
เขาขอบคุณพ่อที่ทำให้เขามีวันนี้ คือวันที่เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจและรวมถึงในชีวิตด้วย ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเกลียด ไม่มีความอาฆาตพยาบาท เพราะว่าสามารถที่จะมองเห็นคุณประโยชน์ของการมีพ่อเป็นแบบนี้ อันนี้ก็เรียกว่ารู้จักมอง
ก็เรียกว่าใช้ธรรมะมาพิจารณาชีวิตที่ผ่านมา มันก็ทำให้เห็นประโยชน์ของความทุกข์ เห็นของประโยชน์ของความยากลำบาก ธรรมะนั้นมันช่วยได้ มันไม่ใช่เพียงแต่ช่วยให้หนักกลายเป็นเบา แต่มันช่วยทำให้ร้ายกลายเป็นดีด้วย
เพราะฉะนั้นเวลาเรามีความทุกข์ ก็อย่าเอาแต่โวยวายตีโพยตีพายก่นด่าชะตากรรม หรือเอาแต่ไปวัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ ไปกราบไปบูชาพระพุทธรูป วัดไหนที่เขาถือว่ามีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไป หลวงพ่อโสธร พระพุทธชินราช อันนั้นก็ดีอยู่อย่างน้อยก็เป็นที่พึ่งทางใจ หรือไม่ก็ไปกราบหลวงปู่หลวงตาเกจิอาจารย์ หวังให้ท่านช่วยสะเดาะเคาะ ขจัดปัดเป่า ก็ดีอยู่แต่อย่าลืมธรรมะก็แล้วกัน
Facebook Comments