ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (19)
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (19)
ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์
อิมามมะฮ์ดี เป็นอิมามท่านที่ 12
เป็นผู้สืบทอดฯท่านที่ 48
ศาสดาอีซา เป็นนบีท่านที่ 24
เป็นผู้สืบทอดฯท่านที่ 30
รวม 36+78
รวมยอด 114
โอ้อัลลอฮ์! ได้โปรดส่งอิมามมะฮ์ดีผู้ทรงเป็นนายแห่งกาลเวลามาสู่โลกนี้โดยเร็วไวเถิด.
หมายเหตุ
1.ฟาโรห์เป็นชื่อทั่วๆไปสำหรับบรรดาผู้ปกครองของอียิปต์โบราณ ฟาโรห์ที่อยู่ร่วม สมัยกับศาสตามชื่อว่า’รวมเมสที่ 2 และร่ะร่งของราถูกทำให้เป็นมันมีไว้มีการค้นพบในปี ค.ศ. 1881 และขณนี้ถูกเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ในกรุงไคโร
- Joosha หรือ Joshua Bin Noor ในไบเบิล
- อุซูล อัลกะฟี เล่ม 1 หน้า 39.
- บิฮารุ้ลอันวาร เล่ม 14 หน้า 331.
- บิฮารุ้ลอันวาร เล่ม 14 หน้า 320.
- บิฮารุ้ลอันวาร เล่ม 14 หน้า 289.
- บิฮารุ้ลอันวาร เล่ม 14 หน้า 323.
- ศาสดาอีชามาปฏิบัติภารกิจของการป็นศาสนทูต นับตั้งแต่แรกเกิดเป็นเวลา 34 ปี อันเป็นวาระที่ท่านถูกขึ้นสู่ชั้นฟ้า.
บทที่ 4
การต่อต้านและการก่อกบฏต่อคำบัญชาของพระเจ้าการก่อกบฏ เป็นคำสองคำที่มีความหมายแตกต่างกันคำแรกหมายถึงการยังคงปล่อยให้มีคำบัญชาของพระเจ้าปรากฏอยู่ แต่ต่อต้านไม่ให้มีการนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เช่น การห้ามดื่มสุราการห้ามตั้งซ่องโสมาณี การห้ามตั้งปอนดาสิโน และการห้ามตั้งธนาคารที่ปลอดดอกเบี้ย เป็นต้น
ส่วนคำหลังหมายถึง การประกาศยกเลิกกฎหมายของพระเจ้าโดยสิ้นชิงโดยอาศัยอำนาจรัฐ ทั้งในระบอบเผด็จการ ระบอบคอมมิวนิสต์และระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย เป็นต้น โดยนำเอากฎหมายของมนุษย์มาประกาศใช้แทน เช่น อำนาจการปกครองประเทศเป็นแบบอัตตาธิปไตยการประกาศยกเลิกการนับถือศาสนาต่างๆ ในอำนาจนั้นๆ และอนุญาตให้มีการนับถือศาสนาต่างๆ ได้ แต่การออกกฎหมายต้องไม่จำกัดเสรีภาพในความอยากใคร่ของพลเมือง เช่น อนุญาตให้ให้บุคคลเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสกันได้ และอนุญาตให้บุคคลดับชีวิตของตนเองได้ในกรณีพิเศษหนึ่งๆ เช่น การเจ็บป่วยทางกายและใจที่ไม่มีทางรักษาหาย เป็นต้น
หากเมื่อผู้หนึ่งได้ศึกษาถึงบททั้งสามที่ผ่านมาอย่างละเอียด ย่อมเห็นได้ด้วยตนเองว่า การต่อต้านคำบัญชาของพระเจ้านั้นจะเป็นปฐมบท นำไปสู่การก่อกบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้าในที่สุด ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ เรื่องของพญามารดังที่กล่าวถึงแล้วในบทที่ 1
พญามารเริ่มต้นด้วยกับการต่อต้านพระบัญชาของพระเจ้า ที่ให้มันสุหยุดต่ออาคัม ด้วยกับการใช้เหตุผลของมันเองว่า เนื่องจากมันสร้างมาจากธาตุไฟและถูกสร้างมาก่อนอาดัม จึงมีความสูงส่งกว่าอาดัมเพราะอาดัมถูกสร้างมาจากธาตุดินที่ต่ำต้อย
ผลจากการต่อต้านคำสั่งของพระเจ้าดังกล่าว จึงทำให้พญามารก้าวไปสู่การก่อกบฏ โดยมันขอต่อพระเจ้าให้มันมีอำนาจลวงล่อมวลมนุษย์ส่วนหนึ่ง นับจากยุดสมัยของอาดัมจนถึงวันอวสานของโลก โดยให้พวกเขาทั้งหมดละทิ้งการศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว หันไปกราบไหว้เทวรูปเจว็ด ดวงเดือน ดวงดาว ต้นไม้ ภูเขา ธรรมชาติต่างๆ หรือยงให้พวกเขาตั้งตนเป็นพระเจ้า เป็นผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอวตารของพระเจ้า เป็นต้น ดังที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้
นับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ ทั้งๆ ที่พระเจ้าทรงเวลาใครใจเห็นเลือกา!!อนุมัติให้ตามคำขอของมันโดยมีเงื่อนไขว่า ผลกรรมของมันดังกล่าวนั้นจะต้องถูกลงโทษด้วยกับการถูกเผาในไฟนรกอันร้อนแรงพร้อมกับมวลมนุษย์ที่เชื่อฟังปฏิบัติตามมันในวันโลกหน้า แต่พญามารก็ยอมตามนั้นที่จะให้พระเจ้านำมันและพลพรรคของมันไปเผาในไฟนรก ซึ่งเป็นเรื่องแปลกแต่จริง!และยากต่อการทำความเข้าใจ
แต่หากเมื่อได้ลำดับเหตุการณ์ของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นขึ้นกับบุตรทั้งสองของอาคัม คือกอบิลและฮาบิล เราจึงเริ่มจะเข้าใจ ทั้งนี้เพรระเมื่อบุคคลหนึ่งไม่ปรารถนาที่จะอยู่ร่วมชีวิตกับอีกบุคคลหนึ่งแล้วไซร้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุเพราะความเกลียดชังอันเกิดจากความริษยา หรือด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม จึงมีทางเลือกอยู่สองทางคือหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ ทางที่สองคือการกำจัดผู้นั้นให้ตายไปจากโลกนี้หรือจับไปขังคุก
กอบิลตัดสินใจเลือกในทางที่สอง ทั้งๆ ที่ฮาบิลได้กล่าวเตือนกอบิลแล้วว่า หากกอบิลฆ่าเขา กอบิลจะต้องถูกลงโทษในไฟนรก แต่กอบิลก็ปารถนาที่จะเลือกเช่นนั้น โดยขอเพียงอย่างเดียวว่าให้เขามีชีวิตยู่โดยปราศจากฮาบิล
โปรดสังเกตว่า พญามารต่อต้านพระบัญชาของพระเจ้าโดยไม่ยอมสุหยูดต่ออาดัม เป็นเพราะความหยิ่งจองหอง กอบิลฆ่าฮาบิลเป็นเพราะความอิจฉาริษยา ส่วนการต่อต้านและการก่อกปฎอีกประเภทหนึ่งก็คือการปฏิเสธ ไม่ยอมรับอัลลอฮ์ว่าเป็นพระเจ้าองดียวที่มีอำนาจสูงสุด แต่กลับไปยอมรับเอาสิ่งอื่นที่ถูกสร้างมาเป็นพระเจ้า เช่น กลุ่มชนของศาสดานุฮ์ศาสดาฮูดและศาสตาซอและห์ เป็นต้น ทั้งๆ ที่กลุ่มชนทั้งสามนี้ได้รับการพร่ำเตือนจากบรรดาศาสดาของพวกเขาแล้ว และได้รับคำเตือนถึงภัยพิบัติที่จะมาเยือนทั้งโลกนี้และโลกหน้า แต่พวกเขาก็ได้ตัดสินใจเลือกที่จะเคารพกราบไหว้เทวรูปต่อไป ถึงแม้อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาก็ตาม
ผู้คนเหล่านี้จึงได้ชื่อว่าเป็นพวกกราบไหว้เทวรูปหรือบรรดาผู้ปฏิเสธ(กาฟิรุน) และในที่สุดภัยพิบัติอันร้ายแรงก็ได้บังเกิดขึ้นแก่พวกเขาจริงๆส่วนพวกที่กราบไหว้เทวรูปด้วยและกราบไหว้พระเจ้าด้วย ถูกเรียกว่าเป็นพวกตั้งภาคี (มุชริกูน)
บุคคลอีกประเภทหนึ่ง ที่อัลลอฮ์ได้ประทานความรู้ความสามารถต่างๆ ให้กับเรา ตลอดจนอำนาจการปกครองในทางอาณาจักร เมื่อยิ่งใหญ่มากเข้าจึงพลงลืมตนเองและคิดไปว่าตนมีอำนาจสิทธิ์ขาดที่จะบัญชาให้ใครมีชีวิตอยู่หรือจะให้ใครตายก็ได้
เมื่อความหลงตนเองเพิ่มอัตรามากขึ้น ม่านกั้นที่จะทำให้เขาเห็นอัดตาหรือความเป็นปัจเจกที่แท้จริงของตนเอง ซึ่งเขาเคยยืนยันกับจิตวิญญาณของเขามาก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ ว่าอัลลอฮ์ทรงเป็นพระภิบาลของเขา จึงถูกชักเข้ามาปิดบัง จนดวงตามองไม่เห็นธรรมที่อยู่ด้านหลังม่า
เมื่อดวงตามองไม่เห็นธรรมเสียแล้ว ความธธรรมจึงปรากฏขึ้นในจิตวิญญาณของเขา ดังนั้นผู้คนประเกทนี้อัล กุรอานจึงเรียกพวกเขาว่า’ซอลิมูน’ หรือผู้อธรรมต่อตนเอง
กษัตริย์สององค์คือนัมรุดและฟาโรห์ ผู้เป็นกลุ่มชนของศาสดาอิบรอฮีม และศาสดามูซา ตามลำดับ จึงเป็นบุคคลประมาพดังกล่าวนี้ และในที่สุดจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าจอมปลอม ที่อาศัยวิชาไสยศาสตร์และโทราศาสตร์เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อว่า พวกเขาเป็นพระเจ้าจริงๆ
เมื่อศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านดังกล่าว ได้นำสัจธรรมความจริงอันเป็นสัญญาณหนึ่งๆ จากพระเจ้ามาแสดง เช่น กองทัพแมลง เข้าถล่มกองทัพนานาชาติของจักรพรรดินัมรูดจนพินาศย่อยยับ และงูที่เป็นของแท้ของมูซาได้จับกินงูจอมปลอมของฟาโรห์จนหมดสิ้น เมื่อนั้นแหละผู้คนจึงมีดางตาที่มองเห็นธรรม
บุคคลอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ เมื่อพระเจ้าทรงรับการวอนขอของพวกเราเช่นพวกผิวในสมัยของศาสดามูซา ที่ต้องการจะมีวันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าสักวันหนึ่งในหนึ่งอาทิตย์ หรือ Holiday เพื่อพวกเขาจะได้ทำการภักดีต่อพระเจ้าเพียงอย่างเดียว โดยหยุดการประกอบอาชีพใดๆ ทั้งหมด
แต่เมื่อพระองค์ทรงทดสอบพวกยิวกลุ่มนี้ด้วยกับการกำหนดวันชะบาโต หรือวันเสาร์หรือวันที่เจ็ดของอาทิตย์ให้กับพวกเขาตามที่ขอมาและต่อมาพระองค์ได้ทรงทำให้ฝูงปลามาปรากฎอยู่ที่ริมทะเลอย่างมากมาย