jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (35) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (35)

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (35)

ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์

จักรออตโตมานล่มสลาย พวกเขาจึงจัดตั้งประเทศใหม่ๆ ขึ้นมานับได้ ประมาณ 54 ประเทศ ที่น่าขำก็คือ ประเทศหรือรัฐอาหรับในตะวันออก กลางจำนวนหลายสิบประเทศกลับจัดตั้งการปกครองในระบอบกษัตริย์ขึ้น เช่นเดียวกับระบอบกษัตริย์ของชาวอิสราเอลในอดีต ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ การพัฒนาในด้านการเมืองของกลุ่มประเทศอาหรับเกือบทั้งหมดจึงล้าหลัง เมื่อเทียบกับของชาวยิวอิสราเอลและชาวคริสเตียนในยุโรปและสหรัฐ อเมริกา

นับเป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกก็คือ ชาวอาหรับที่สืบเชื้อสายโดยตรง มาจากศาสดาอิสมาอีลนั้น ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์อัน ยาวนานนับได้ถึง 4,000 ปีว่า พวกเขาได้เคยจัดตั้งระบอบกษัตริย์ที่มีการ สวมมงกุฎขึ้นครองราชย์เช่นเดียวกับพวกกรีก โรมัน เปอร์เซียและชาวยุโรป ในยุคกลางมาก่อน แต่มาบัดนี้ชาวอาหรับกลับนำเอาระบอบสมบูรณาญา สิทธิราชของบรรดาผู้ที่เคยเป็นศัตรูกับพวกตนมาใช้ปกครอง ผู้คนที่เป็น ชาวมุสลิมจึงดูไม่ออกจริงๆ ว่าบรรดากษัตริย์อาหรับเหล่านี้ พวกเขายังถือ ตนว่าเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากศาสดาอิสมาอีลหรือไม่ หากพวกเขาถือตน ว่าเป็น! คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ความเป็นกษัตริย์ของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นมาได้ อย่างไร? และใครเป็นผู้สถาปนาให้พวกเขาขึ้นครองราชย์ และใครเป็นผู้ แต่งตั้งให้พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ฮะรอมัยทั้งสอง (มักกะฮ์กับมะดีนะฮ์) โดย มีการตกลงกับพวกพญามารอย่างลับๆ เพื่อยกนครเยรูซาเล็มซึ่งมีมัสยิด อักซอซึ่งเป็นฮะรอมที่สามของโลกอิสลามให้กับชาวยิวไซออนิสต์ เป็นผู้ พิทักษ์ ! เมื่อได้พรรณนามาถึงตรงนี้จึงนึกขึ้นได้ว่า มันเป็นเพียงการเริ่ม ต้นของบทที่ 10 เท่านั้น

ที่ว่าน่าขำก็คือ ทั้งๆ ที่ชาวยิวอิสราเอลมีสิทธิอย่างเต็มที่ๆ จะจัดตั้ง รัฐยิวของตนขึ้นมาในรูปของราชอาณาจักรหรือราชวงศ์ เพราะพวกเขาเคย เป็นผู้ขอให้ศาสดาองค์หนึ่งของเขาวิงวอนต่อพระเจ้า เพื่อทรงแต่งตั้งกษัตริย์

องค์หนึ่งให้กับพวกเขา พระเจ้าจึงทรงแต่งตั้งกษัตริย์ฏอลูตหรือซาอูลให้กับ พวกเขา อันเป็นที่มาของราชอาณาจักรอิสราเอลและยูดา ดังได้กล่าวถึงราย ละเอียดไปแล้ว แต่พวกยิวกลับจัดตั้งรัฐยิวไซออนิสต์ขึ้นและจัดการ ปกครองรัฐไปตามใจปรารถนาของตนเอง ถึงแม้จะมีการโฆษณาชวนเชื่อ ว่าจะสถาปนามหาอาณาจักรของอิสราเอลหรือกษัตริย์เดวิดขึ้นมาใหม่ก็ตาม แต่ถ้าหากจะทำได้ก็เป็นเพียงทางด้านภูมิศาสตร์เท่านั้น นั้นคือการยึดครอง ดินแดนจากแม่น้ำยูเฟรติสทางทิศตะวันออกจรดอ่าวอะกอบาทางทิศตะ วันตก ด้วยกับการใช้อำนาจทางกำลังทหารอันเกรียงไกรของตน ซึ่งใน ขณะนี้กองทัพยิวแห่งสหรัฐอเมริกากำลังวางแผนการเพื่อเปิดศึกถล่มอิรัก ให้เสร็จสิ้นไปภายในพริบตา ดุจดังกษัตริย์โซโลมอนทรงนำเอาบัลลังก์ ของราชินีบิลกิสแห่งเยเมนมาไว้ที่นครเยรูซาเล็มได้ในพริบตากระนั้น

แต่ในการจัดตั้งรัฐอิสราเอลในทางจิตวิญญาณนั้นพวกเขาจะกระทำ ไม่ได้ เพราะพวกเขาได้ปฏิเสธคำสอนของโมเสสในคัมภีร์เตาเราะฮ์ไปเกือบ หมดสิ้นแล้ว และพวกเขายังเป็นศัตรูกับพระเยซูและศาสดามุฮัมมัดศาสน ทูตของพระเจ้าอีกด้วย ทั้งนี้เพราะศาสนทูตทั้งสองได้มาเปิดเผยความ ฉ้อฉลของพวกยิวทั้งสี่กลุ่มดังกล่าว ที่เป็นผู้ทรยศต่อคำสอนของโมเสส ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกยิวไซออนิสต์ในปัจจุบัน หลักฐานอันชัดแจ้งมี ปรากฏให้เห็นได้ทั้งในคัมภีร์อัล กุรอานและในพระคริสต์ธรรมใหม่

หากผู้หนึ่งเมื่อได้อ่านมาถึงตรงนี้อยากจะกล่าวออกมาว่า โลกที่กำลัง อยู่ในยุคโลกาภิวัตน์หรือโลกเทคโนโลยีสารสนเทศหรือโลกไร้พรมแดนนั้น ถูกแบ่งออกเป็นสามก๊กคงจะไม่ผิด นั้นคือ ก๊กยิว ก๊กคริสต์และก๊กมุสลิม ส่วนใครจะเป็นโจโฉ ซุนกวนและเล่าปี่ ก็ต้องไปศึกษาหาความจริงในประวัติ ศาสตร์กันเอาเอง

แต่เนื่องจากได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ต่อกัน ระหว่างชาวยิวสามก๊ก ในนครมะดีนะฮ์กับท่านศาสดามุฮัมมัดศาสนทูตของพระเจ้าไปแล้วอย่างยืด

ยาว จึงเห็นเป็นความยุติธรรมที่จะได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาว ธ์ระหว่าง คริสเตียนกับชาวมุสลิมนับตั้งแต่ต้นจนถึงสมัยปัจจุบัน เพื่อจะได้รู้กันว่า ใครเป็นใครในหมู่ของชาวคริสต์และในหมู่ของชาวมุสลิม และทำไมพวกเขา ทั้งสองก๊กจึงต้องทำศึกสงครามต่อกันนานนับหลายร้อยปี ทั้งๆ ที่ทั้งสอง ฝ่ายต่างก็อ้างว่าเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้า ในพระเยซู ในคัมภีร์อินญีลและ ในนครเยรูซาเล็มอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเคยเป็นกิบลัต (ทิศที่หันสู่ในเวลานมาช) แรกของชาวมุสลิมมาก่อนในสมัยของศาสดามุฮัมมัดศาสนทูตท่านสุดท้าย เช่นเดียวกัน

ชาวมุสลิมมีคำกล่าวประจำตัวของพวกเขาอยู่เสมอเมื่อประสงค์จะ ลงมือกระทำในสิ่งที่ดีงามใดๆ นั้นคือคำกล่าวที่ว่า “ขออัลลอฮ์ทรงปกป้อง คุ้มครองข้าพระองค์ให้พ้นจากมารร้ายชัยตอนที่ถูกสาปแช่ง”

การสาปแช่งพญามารและพลพรรคของมันนั้น ได้มีการบันทึกไว้ อย่างชัดแจ้งในคัมภีร์ต่างๆ ของพระเจ้า อันเนื่องมาจากการที่กษัตริย์นัม รูดหรือนิมรอดสร้างหอคอยแห่งบาบิลหรือบาเบล ณ นครบาบิโลน เพื่อ ประกาศการทำสงครามกับพระเจ้าของอิบรอฮีม ในคราที่นัมรูดไม่อาจทำ ตามคำท้าของศาสดาอิบรอฮีมได้โดยที่ให้เขานำดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากทาง ทิศตะวันตก หากเขาเป็นพระเจ้าที่แท้จริง

คำสาปนี้ทำให้ความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติเกิดการขัดแย้ง การต่อสู้และแตกแยกกัน ตราบเท่าที่ศาสนาที่ถูกสาปของกษัตริย์นัมรูด ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ นั้นคือ จะต้องมีความแตกแยกและการทำลายล้าง เผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยน้ำมือของมนุษย์เอง ดังที่ได้กล่าวแล้ว

ถ้าหากศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่แท้จริงของพระเยซูและไม่ใช่ศาสนา ของกษัตริย์นัมรูดที่ถูกสาป ดังนั้นประวัติศาสตร์ที่จดบันทึกกันไว้ในเวลา 2,000 ปีที่ผ่านมา ก็ควรจะแสดงให้เห็นได้อย่างแม่นมั่นว่า ด้วยกับการเผย แพร่ศาสนาคริสต์จึงทำให้เกิดความเป็นเอกภาพขึ้นเช่นกัน ซึ่งมีแนวโน้มที่

จะทำให้มนุษยชาติเป็นภราดรภาพหนึ่งเดียวกัน ที่เต็มไปด้วยความรักและ สันติภาพ โดยไม่คำนึงถึงชาติกำเนิด สีผิว สถานภาพ วัฒนธรรม หรือ สัญชาติของบุคคลหนึ่งๆ

จึงใคร่ขออนุญาตต่อท่านผู้อ่านที่จะต้องขยับขยายเรื่องนี้ให้กว้าง ขวางออกไปอีกสักประมาณห้าหกหัวข้อใหญ่ เพื่อทำให้บทที่สิบนี้จบลงได้ อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ หาไม่แล้วก็ไม่อาจที่จะเจาะเข้าไปสู่บทต่อไปได้ ซึ่ง จะเป็นเรื่องราวของการวางแผนขั้นเบ็ดเสร็จร่วมกันของผู้ปกครองฝ่ายยิว กับฝ่ายคริสเตียน เพื่อทำสงครามล้างผลาญกับฝ่ายมุสลิมในขั้นแตกหักต่อ ไป โดยมีนครมักกะฮ์ นครมะดีนะฮ์และนครเยรูซาเล็มเป็นเดิมพัน ซึ่ง เปรียบประดุจดังกับการได้กุมชะตากรรมของโลกเอาไว้ในมือ หากฝ่ายใด ได้ครอบครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ผลลัพธ์อันเกิดจากการฝ่าฝืนพระเยซูคริสต์

ก. ผลกระทบในบางประการ

สิ่งที่นักบุญเปาโลกระทำไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ท่านได้รับมอบอำนาจ ใดๆ มาจากพระเยซูหรือไม่ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้คนที่สนใจ ศึกษา โองการเกือบจะสุดท้ายของพระคริสต์ธรรมใหม่ได้ให้คำตอบนี้กับ เรา

“ข้าพเจ้าเตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะ เพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ใน หนังสือเล่มนี้แก่ผู้นั้น”

“และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรง เอาส่วนแบ่งของผู้นั้นที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตและที่มีอยู่ในวิสุทธนครนั้น ซึ่งบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย” (วิวรณ์ 22:18-49)

หากว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งถูกต้อง ดังนั้นนักบุญเปาโลและบรรดาสาวกของ

เขา จะต้องได้รับความเดือดร้อนจากคำสาปนี้ของอัลลอฮ์ บัดนี้ขอให้เราอ้าง อิงไปยังเหตุการณ์บางเหตุการณ์จากที่มีอยู่ในจำนวนนับพันๆ เรื่อง

1. ความขัดแย้งระหว่างคณะนาซารีนกับคณะเจษฎาจารย์

ได้เกิดความขัดแย้งรุนแรงอย่างหนักในราวปี ค.ศ. 61/62 ระหว่าง นักบุญยอห์นกับสาวกจำนวน 112 คนของพระเยซู (กิจการของอัครทูต 11.2, 3, 15:1, 2, 24) ซึ่งขณะนี้เป็นที่รู้จักกันว่าคณะนาซารีน เช่นเดียว กันกับนักบุญเปาโลและบรรดาผู้ที่มีความไม่ลงรอยกัน รวมทั้งนักบุญปี เตอร์และบรรดา เจษฎาจารย์” ของพวกเขา ผู้ซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นหลาย พันคนในช่วง ค.ศ. 60 ความขัดแย้งมีรูปแบบที่รุนแรงถึงขนาดว่าในปี ค.ศ. 62 นักบุญจอห์นและคณะนาซารีน 112 คน และบรรดาสาวกของพวกเขา จำต้องหนีเอาชีวิตรอดจากดินแดนยูดาเข้าไปในซีเรียและในประเทศอื่นๆ

2. การตายของนักบุญเปาโลที่โรม

สารานุกรมอเมริกานา พิมพ์ปี 1956 เล่ม 24 หน้า 160 แสดงให้ เห็นว่าเปาโลถูกจับกุม ถูกลงโทษ และตัดศีรษะ ในปี ค.ศ. 64/65 ที่เมือง โรม โดยพระราชอาญาของจักรพรรดิเนโร ถ้าหากนักบุญยอห์นเป็นฝ่าย ผิดไม่ใช่นักบุญเปาโลแล้ว แน่นอนนักบุญยอห์นก็จะต้องถูกจับกุม ลงโทษ และถูกตัดศีรษะ !

3. สาเหตุของการล่มสลายสองครั้งของกรุงเยรูซาเล็ม

เมื่อกรุงเยรูซาเล็ม เต็มไปด้วยกับเหล่าสาวกของลัทธิทัมมูรหรือนัม รูดหรือนิมรอดเกิดอะไรขึ้นบ้าง เยรูซาเล็มถูกทำลายล้างจนราบเรียบและ ถูกกษัตริย์เนบูชัดเรชชารลบล้างลงในปี 607 ก่อนคริสต์ศักราช มาบัดนี้ นครเยรูซาเล็มและพวกนาซีรีนได้อพยพหลบหนีออกไปแล้ว หลักศรัทธา ของพวกเจษฎาจารย์เป็นแบบเดียวกันกับความเชื่อของลัทธินัมรูด ซึ่งเป็น เหตุให้นครเยรูซาเล็มต้องถูกทำลายลงมาก่อนแล้ว ดังนั้นคำสาปของพระ เจ้าจึงถูกส่งลงมายังพวกเจษฎาจารย์อีกครั้งหนึ่ง เยรูซาเล็มจึงถูกจักรวรรดิ

โรมันทำลายลงอย่างราบคาบอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 70 ดังนั้นนครเยรูซาเล็ม จึงถูกทำลายลงด้วยกันรวมสองครั้งด้วยสาเหตุอันเดียวกัน นั้นคือ เพราะ ประชาชนชาวเมืองไปยึดในลัทธินัมรูด ครั้งหนึ่งโดยอาศัยชื่อของลัทธิ “บาอัล” และจากนั้นอาศัยชื่อของพวก เจษฎาจารย์” สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ ผู้หนึ่งได้เล็งเห็นถึงคำสาปนั้นที่ปรากฏอยู่ในประโยคสุดท้ายของพระคริสต์ ธรรมใหม่ที่ได้นำมาอ้างถึงแล้วข้างต้นดอกหรือ !

4. คำเตือนสุดท้ายของนักบุญยอห์น

ประมาณยี่สิบห้าปีหลังจากนั้น นักบุญยอห์นได้กล่าวเตือนบรรดา สาวกของพระเยซู ให้อยู่ห่างจากศาสนาของนัมรูดแห่งนครบาลิโลน และ กล่าวเตือนว่าศาสนานี้ (ซึ่งได้รับการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่โดยเปาโลและปี เตอร์และพวกเจษฎาจารย์ของพวกเขา) มิใช่เพียงแต่จะลวงโลกเท่านั้น แต่ในที่สุดมันจะนำไปสู่การทำลายล้างภายหลังจาก เจ็ดจักรวรรดิ มาถึง และได้ผ่านพ้นไป (กิจการของอัครทูต บทที่ 17 และ 18) และรายละเอียด ของเจ็ดจักรวรรดิจะนำไปกล่าวไว้ในบทหน้าหาก พระเจ้าทรงประสงค์

5. ความเป็นเอกภาพของศาสนจักร

ถ้าหากหลักความเชื่อของพวกเจษฎาจารย์เป็นเรื่องถูกต้องเช่นเดียว กับพวกนาซารีนแล้ว พวกเขาก็จะต้องคงความเป็นเอกภาพไว้เป็นศาสนา หนึ่งเดียวกัน โดยที่พระเยซูทรงเป็นผู้นิพนธ์คัมภีร์ของท่านตามบัญชาของ พระเจ้า แต่เมื่อมาถึงในศตวรรษที่สองพอดี ศาสนจักรจึงแตกออกเป็นสาม เสี่ยง นั้นคือศาสนจักรแห่งโรม แอนติออคและอเล็กซานเดรีย

6. สาเหตุแห่งความแตกแยก

ปรากฏอยู่ในหนังสือ ‘Islam and Christian Theology หรือ เทววิทยาของอิสลามและคริสเตียน หน้า 44 นิพนธ์โดย เจ. วินด์โร สวีท แมน ส่วนที่ 1 เล่ม 1 พิมพ์ปี 1945 โดยสำนักพิมพ์ลัทเธอร์เวิร์ท ลอน ดอนและเร็ดฮิล ดังอ่านได้ความว่า

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *