jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (18) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (18)

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (18)

ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ กล่าวว่า “อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึงสิบสองคอลีฟะฮ์” หลังจากนั้นท่านได้กล่าวคำหนึ่งที่ข้าพเจ้าฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นนั้นข้าพเจ้าจึงถามบิดาของข้าพเจ้าว่า “ท่านศาสนทูตพูดอะไร” บิดาของข้าพเจ้าบอกว่า “พวกเขาทั้งหมดจะมาจากกุเรช” (บุคอรี มุสลิม และอบูดาวูดโปรดดูใน ‘ฮะดิษซอเฮียะฮ์ ของอรุณ บุญชม เล่ม 3 หน้า 389)

 

รายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ บิน อับบาส ได้กล่าวว่า: ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ เคยกล่าวว่า

 

“แท้จริงบรรดาคอลีฟะฮ์ของฉัน และบรรดาทายาทของฉัน และบรรดาข้อพิสูจน์ของอัลลลอฮ์ ที่มีไว้สำหรับมวลมนุษย์ทั้งหลาย ภายหลังจากฉันแล้วมี 12 คน คนแรกผู้ซึ่งเป็นพี่น้องของฉัน ส่วนคนสุดท้ายคือลูกของฉัน” มีคนถามว่า”โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ใครเล่าที่เป็นลูกน้อกน้องของท่าน” ท่านตอบว่า “อะลึ อิบนิ อบีฎอลิบ” มีคนถามอีกว่า “ใครเล่า!ที่เป็นลูกชายของท่าน” ท่านกล่าวว่า “อัล มะผู้ซึ่งทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม เหมือนอย่างที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมมาก่อน ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งทรงแต่งฉังฉันมาในฐานะผู้ทธิ์อย่างแท้จริงสำหรับการเป็นผู้แจ้งข่าวดีและตักเตือนว่า ถึงแม้อายุขัยของโลกจะยังเหลือไม่เกินหนึ่งวันก็ตาม แน่นอนอัลลอฮ์ จะยึดเวลาให้แก่วันนั้นจนกระทั่งอัล มะฮ์ดีบุตรชายของฉันออกมาปรากฎ แล้วรูฮูลลอฮ์ อีชาบุตรมัรยัมก็จะลงมาแล้วยืนนมาชตามหลังเขา โลกสว่างไสวด้วยรัศมีแห่งพระผู้อภิบาล และอำนาจของพระองค์จะแผ่ครอบคลุมทั้งภาคตะวันออกและตะวันตก” (มักตัล ฮูเซน ของคอวาริชมี เล่ม 1 หน้า 146)

 

ฮะดิษของท่านศาสดามุฮัมมัด ที่ว่าด้วยความประเสริฐและเกียรติดคุณของท่านอะลึ อิบนิ อบีอลิบและลูกหลานของท่านนั้นมีอยู่ว่าท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ อันซอรี ได้ยืนขึ้นถามท่านศาสนทูตว่า”โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ในจำนวนลูกหลานของท่านอะลี นั้นมีใครบ้างที่เป็นอิมาม “

 

ท่านศาสนทูต ตอบว่า “อัล ฮาชันและอัล ฮูเซน ซึ่งเป็นหัวหน้าสองคนของบรรดาชายหนุ่มแห่งสวนสวรรค์ ต่อจากนั้นได้แก่หัวหน้าของบรรดาปวงบ่าวที่ภักดีต่ออัลลอฮ์ ในสมัยของเขานั่นคือ อะลี บิน ฮูเซน ต่อมาได้แก่อัล บากิร มุฮัมมัด บิน อะลี ญาบิร เอ่ย ! เจ้าจะได้พบเขาผู้นี้ ครั้นเมื่อเจ้าพบเขาแล้วก็จงบอกเขาว่า ฉันฝากสลามมา ต่อมาได้แก่ ซอดิก ญะอ์พัรบินมุฮัมมัด ต่อมาได้แก่ กาชิม มูชา บิน ญะอ์ฟัร ต่อมาได้แก่ ริฏอ อะลีบิน มูซา ต่อมาได้แก่อัต ตะก็ มุฮัมมัด บิน อะลี ต่อมาได้แก่ อัซ ซะกี อัลฮาซัน บิน อะลี และต่อมาได้แก่บุตรชายของเขานั้นคือผู้ดำรงไว้ซึ่งความชอบธรรมชื่อว่า มชัมมัด มะฮ์ดี แห่งประชะชาติของฉัน ซึ่งแผ่นดินจะเพรียบพร้อมไปด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรรม ดังเช่นที่เคยไปด้วยความไม่ชอบธรรมมาก่อน ญาบิรเอ๋ย ! เขาเหล่านั้นคือคลีฟะฮ์ของฉันและเป็นทายาทของฉัน และเป็นผู้ถอดแบบไปจากฉัน ใครที่เคารพเชื่อฟังเขาก็เท่ากับเคารพเชื่อฟังฉัน และหากใครที่ทรยศศต่อเขาก็เท่ากับทรยศต่อฉัน ใครที่ปฏิเสธคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาก็เท่ากับปฏิเสธฉัน”อัล ชามุลนาซิบ เล่ม 1 หน้า 186)

 

จากวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด รวมสามบทข้างต้น จึงเป็นความสัตย์จริงที่ทำอิมาม อะลี คือ อิมามที่ 1 และอิมามมะฮ์ดี คืออิมามที่ 12ซึ่งทั้ง 12 ท่านนี้ จึงเป็นผู้สืบทอดฯ ท่านที่ 37 ถึงท่านที่ 48 ตามลำดับ

 

มันหมายความเช่นใด ! ที่อิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ ทั้ง 12 ท่าน ล้วนเป็นบุตรหลานสืบต่อกันมาจากท่านศาสดามฮัมมัด ผู้ทรงเป็นนบีท่านที่ 25และเป็นผู้สืบทอดฯ ท่านที่ 36 ! คำตอบคือ 48 ผู้สืบทอดฯ + (25 + 36) -109 นั้นคือ ลำดับวิวรณ์ของบทที่ 61 นั่นเอง ซึ่งปรากฏอยู่ ณ ยุธที่ 20และภาค (มันซิล) ที่ 7 นั้นคือ 109+28+7=144=12×12 x 12 x 12 x 1

 

ยิ่งไปกว่านั้นอีก ศาสดาอีซาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูต นับตั้ง47%แต่วันที่มารดาของท่านอุ้มท่านแนบอกมายังกลุ่มชนชนของท่านในวัยทารก ซึ่งเมื่อนับจากวันนั้นจนถึงวันที่ศาสดามฮัมมัด ได้รับการแต่งตั้งตั้ง (มับอัษ)ให้เป็นศาสนทูตเมื่อท่านมีอายุครบ 40 ปีบริบูรณ์ จึงมีระยะเวลาห่างกันอยู่ 622 ปี (จันทรคติ) พอดี นั้นคือ 588 + 34 ” = 622 ปี ซึ่งหลักฐานการมับอัษศาสนทูตตรงกับวันที่ 27 รอญับ ณ นดรมักกะฮ์ เมื่อท่านอายุ 40ปี มีปรากฎเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว ณ บทที่ 62 โองการที่ 2 หรืออาจเขียนเรียงตัวเลขกันได้คือ 6 2 2

 

ถ้าหากผู้หนึ่งเห็นว่าสิ่งนี้เป็นความบังเอิญหรือเป็นมากล หรือไม่ยอมรับความสัตย์จริงของศาสตามฮัมมัดและอัล กุรอานที่ท่านรับวิวรณ์ลงมาแล้วละก็! จงเปิดไปดูบทที่ 6 โองการที่ 20 ดังมีความว่า

 

บรรดาผู้ที่เราประหานคัมภีร์ลงมาให้ต่างจดจำเขา(มุฮัมมัด)ได้ประดุจดังที่พวกเขาจดจำบรรดาบุตรชายของพวกเขาได้ (กระนั้น) บรรดาผู้ที่หลงลืมตัวตนของพวกเขาเอง พวกเขาจะไม่ยอมเชื่อ(อัล กุรอาน 6:20)

 

ดังนั้น ผู้คนที่ไม่ยอมเชื่อศาสดามฮัมมัด ก็คือบรรดาผู้ที่หลงลืมตัวเอง ซึ่งก็คือบรรดาผู้ที่ประสบกับความหายนะนั่นเอง

 

สถานะของศาสดาอีซาในการเป็นรอชูลขณะที่ท่านอายุ 7 ขวบ ซึ่งมีชาวยิวกลุ่มหนึ่งยอมรับท่าน แต่ชาวยิวกลุ่มใหญ่ของประเทศกลับปฏิเสธท่าน เหมือนกับที่ศาสดามุฮัมมัด เริ่มเปิดเผยตัวของท่านต่อสาธารณชนในฐานะรอซูลในปีที่ 5 ณ นตรมักกะฮ์ ผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ศรัทธาในตัวท่าน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวอาหรับทั้งที่นับถือเทวรูป ชาวคริสต์และชาวยิว ต่างพากันปฏิเสธในตัวท่าน ทั้งๆที่พวกเขาต่างก็รู้จักสัญลักษณ์ของท่านเป็นอย่างดี ดังนั้นศาสดามฮัมมัดจึงเริ่มถูกต่อต้านจากลุ่มชนของท่าน เช่นเดียวกับที่พระเยซูต้องประสบ โดยมีระยะเวลาท่างกันอยู่ประมาณ 620 ปี (จันทรคติ) นั่นเอง

 

เราไม่อาจที่จะปล่อยให้บทที่ 3 นี้ดำเนินต่อไปอย่างยึดยาวได้อีกแล้วจึงจำเป็นต้องหยุดลง ณ ตรงนี้ด้วยกับข้อสรุปที่ว่า การที่ชนชาวยิวอิสราเอลปฏิเสธในการมาของศาสดาอีซาหรือพระเยซู จึงทำให้พวกเขาแตกออกเป็น71 จำพวก ส่วนบรรดาชาวคริสต์หรือนัศรอนีต่างพากันปฏิเสธการมาของศาสดามฮัมมัด จึงทำให้พวกเขาต้องแตกออกเป็น 72 จำพวก และประชาชาติของศาสดามุฮัมมัด ต้องแตกออกเป็น 73 จำพวก ก็เพราะพวกเขาปฏิเสธในการมาของผู้สืบทอดฯ 12 ท่านแห่งอะฮ์ลบัยต์

 

ดังนั้นจึงมีเพียงหนึ่งพวกของในแต่ละกลุ่มชนของชาวยิว (ยะฮูลี)ชาวคริสต์ (นัศรอนี) และชาวมุสลิมเท่านั้นที่จะได้เข้าสวรรค์ นอกนั้นพวกเขาล้วนแล้วต้องตกเป็นชาวนรกที่มีไฟร้อนแรง

 

ชาวยิวและซาวคริสต์จึงมีกลุ่มที่เป็นชาวสวรรค์รวม 2 กลุ่ม ส่วนที่ต้องเป็นชาวนรกมีจำนวน (70 + 71) = 141 กลุ่ม มันหมายความเช่นใด !คำตอบมีปรากฏอยู่แล้วในบทที่ 2 โองการที่ 140-141 ดังมีความว่า

 

หรือพวกเจ้าจะกล่าวว่าอิบรอฮีม อิสมาอีล อิสฮาก ยะอ์กูบและบรรดาวงศ์วานล้วนแล้วแต่เป็นผิวและคริสต์กระนั้นหรือ เจ้า (มุฮัมมัด)จงประกาศเถิดว่า พวกท่านหรืออัลลฮ์กันแน่ที่รู้ดีกว่ากัน และจะมีใครอีกเล่าที่ฉัลฉลยิ่งไปกว่าบุคคลที่ปิดบังสักชีพยานที่เขาได้รับมาจากพระองค์ และอัลลลอย่อมไม่ทรงละเลยต่อสิ่งที่พวกท่านประพฤติ (อัล กุรอาน 2:140)

 

นั้นเป็นประชาชาติที่ล่วงลับไปแล้ว สำหรับพวกเขาก็มีสิ่งที่พวกเขาพากเพียรไว้ และสำหรับพวกเจ้าก็มีสิ่งที่พวกเจ้าพากเพียรไว้ และพวกเจ้าจะไม่ถูกสอบสวนถึงสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นประพฤติ(อัล กุรอาน 2:141)

 

หรืออีกนัยหนึ่ง ชาวยิว ชาวดริสต์และชาวมุสลิม ต่างมีนะกีบ อมีรและอิมามของนบีแต่ละท่านๆ ละ 12 คน ดังนั้น 71 + 72 + 73 = 216และ 216 + 12 = 228 และเมื่อหากนับจากบุตรของศาสดาอิสมาอีลจนถึงศาสดามุธัมมัด มีศาสดาจำนวน 19 ท่าน (25 – 6) ดังนั้นนปีแต่ละท่านจึงมีผู้แทนของตนท่านละจำนวน 12 คน (228 + 19)

 

สักชีพยานของการมี 12 ผู้สืบที่กลุ่มชนทั้งสามพวกดังกล่าวได้รับมาจากพระเจ้า จึงเป็นเงื่อนไขอันสำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้พวกเขาเป็นผู้ครัทธาหรือกลับกลายเป็นผู้ฉ้อฉล (ซอลิมูน) ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะเปิดเผยมันหรือจะปิดบังซ่อนเร้นสัจรรมความจริงนี้ ซึ่งบุทที่ 2 โองการที่ 140จึงใช้วลีที่ว่า ‘กะตะมะ ชะฮาดะดัน อินดะฮู’ (ปิดบังสักชีพยานของเราที่ได้รับมาจากพระองค์) ที่เขียนด้วยอักษรอาหรับจำนวน 12 อักษร

 

เนื่องจากเรื่องราวของศาสดามฮัมมัด และบรรดาอิมามทั้ง 12 ท่านผู้ซึ่งเป็นอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านตามนัยแห่งอัล กุรอานบทที่ 33 และโองการที 33 ได้มีการกล่าวถึงไว้อย่างละเอียดแล้วในหนังสือหลายเล่มของทางสถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม เช่น มารู้จักกับ 14มะฮ์ซูมีน (ผู้บริสุทธิ์สะอาด) กันเถิด จึงขอเว้นไว้ไม่กล่าวถึงในบทนี้

 

ณ บัดนี้มวลมนุษยชาติที่อยู่ในยุคสมัยสุดท้ายของโลก ต่างรอคอยการมาของผู้แทนแห่งตระกูลวงศ์ของอิสราเอล คือท่านศาสดาอีซาหรือพระเยซู ผู้ทรงเป็นนปีท่านที่ 24 และเป็นผู้สืบทอดฯ ท่านที่ 30 และผู้แทนแห่งตระกูลวงศ์ของท่านฮาชิม คือท่านอิมามมะฮ์ดี ผู้ซึ่งเป็นผู้สืบทอดฯ ท่านที่ 48 และเป็นอิมามท่านที่ 12 โดยที่ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองของพระเจ้า จะกลับมาเป็นสัญญาณหนึ่งอันสำคัญของวันอวสาน เพื่อการสถาปนาความยุติธรรมที่แท้จริงขึ้นบนโลก โดยการบำราบปราบปรามความอยุติธรรมที่เคยมีอยู่บนโลกนี้ให้สินซาก และจะมาอรรถาธิบายความหมายอันแท้จริงของคัมภีร์อัล กุรอาน คัมภีร์เล่มสุดท้ายของพระเจ้า ซึ่งมีจำนวน 114 บท ให้กับมวลมนุษยชาติได้เข้าใจ และการนี้จะไม่มีผู้ปฏิเสธหลงเหลืออยู่เลย

 

มันหมายความเช่นใดในสัญลักษณ์อันเป็นตัวเลขดังนี้

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *