สตีเฟน โควี่ย์ : นิสัยอย่างที่แปด
สตีเฟน โควี่ย์ : นิสัยอย่างที่แปด
ทหารเป็นตัวอย่างของความเป็นผู้นำบนลงล่าง เหนือสิ่งอื่นใด ชีวิตต้องมี
ความเสี่ยงภัย เราไม่มีโอกาสเพื่อความผิดพลาด แต่เดวิด มาร์เค ได้ใช้ข้อยกเว้นต่อแนวคิดนั้น เมื่อเขากลายเป็นผู้บัญชาการเรือดำน้ำนิวเคลียร์ หลักการพื้นฐานของเขาคือ การใช้โมเดลผู้นำ-ผู้ตามของกองทัพเรือโดยธรรมชาติไม่มีประสิทธิภาพ
เดวิด มาร์เค ได้รับเอาความคิดของการมอบหมายการตัดสินใจไปยังบุคคลใกล้ชิดที่สุดกับข้อมูล ด้วยการใช้วิถีทางนี้ เขารู้สึกว่าเขาอาจจะมีโอกาสของการฟื้นฟูเรือได้ โดยไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิคเกี่ยวกับมัน
ดังนั้นเขาได้ดำเนินการโมเดลผู้นำ-ผู้นำทางเลือกของเขา องค์การส่วนใหญ่ได้มรดกโมเดลผู้นำ-ผู้ตามจากยุคของการสร้างพีรามิดภายในอียิปจ์
โบราณ ไปจนถึงโรงงานของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
โมเดลผู้นำ-ผู้ตาม ไดัถูกออกแบบที่จะประสานงานเเรงงานกายภาพเพื่อความมุ่งหมายที่
หลากหลาย ไม่ว่าเป็นการสร้างพีรามิดและถนน หรือการขุดถ่านหิน
โมเดลนี้เกี่ยวกับการควบคุมบุคคล ดังนั้นมันได้เเยกบุคคลเป็นสองกลุ่ม ผู้นำและผู้ตาม ความเชื่อแกนของโมเดลผู้นำ-ผู้นำคือบุคคลทุกคนเป็นผู้นำโดยศักยภาพ และพวกเขาให้สิ่งที่ดีที่สุดของพวกเขา เมื่อพวกเขาสามารถกระทำในฐานะนั้น เดวิด มาร์เค
ได้กล่าวว่า ความเป็นผู้นำควรจะหมายถึงการ
ให้การควบคุม ไม่ใช่การรับการควบคุม และการสร้่างผู้นำ ไม่ใช่การ
สร้างผู้ตาม
เดวิด มาร์เค ได้ปฏิรูปลูกเรือที่ขวัญเสียไปสู่กองกำลังที่ให้อำนาจ เเรงจูงใจต่อสู้
ภายในเพียงแค่หนึ่งปี พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะคิดอย่างเข้มแข็ง ตัดสินใจ
อะไรที่ต้องทำ ไม่ใช่การรอคำสั่ง โมเดลผู้นำ-ผู้นำให้บุคคลรับผิดชอบ
เพื่อปัญหาและแก้ปัญหา ไม่ใชรอถูกบอกให้ทำอะไร ดังนันบุคคลมอง
ตัวพวกเขาเองเป็นผู้นำไม่ใช่ผู้ตาม โมเดลนี้อยู่บนสมมุติฐานที่แตกต่างกัน
เกี่ยวกับบุคคล บุคคลทุกคนสามารถเป็นผู้นำ และองค์การมีประสิทธิภาพ
มากที่สุด เมื่อบุคคลทุกคนคิดและกระทำเหมือนผู้นำ
โมเดลผู้นำ-ผู้นำปฏิบัติต่อบุคคลเป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่า เพิ่มแรงจูงใจ
ของบุคคลและความสำเร็จขององค์การ ยิ่งกว่านั้นการปรับปรุงที่มาจาก
โมเดลนี้มีความยั่งยืน เพราะว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะหรือบุคลิกภาพของผู้นำคนหนึ่ง ผู้นำได้ถูกพัฒนาทั่วทั้งองค์การ
บุคคลได้ความสบายด้วยความคิดของการเป็นผู้ตาม กระทำอะไรที่พวก
เขาถูบอกให้ทำ และไม่มีอย่างอื่น ภายในโมเดลผู้นำ-ผู้ตาม ตลอดเวลา
บุคคลที่ถูกปฏิบัติเป็นผู้ตามจะปฏิบัติต่อบุคคลอื่นเป็นผู้ตาม เมื่อมันเป็น
รอบของพวกเขาที่จะนำ ในขณะที่โมเดลผู้นำ-ผู้นำ กดดันเราให้ผลักดัน
อำนาจและความรับผิดชอบไปสู่ระดับล่างลำดับชั้นขององค์การเท่าที่
เป็นไปได้ นาทีที่เราหยุดบอกบุคคลให้ทำอะไร เราได้เริ่มต้นการพัฒนา
ผู้นำเเล้ว
โมเดลลำดับชั้นสมัยเดิมของความเป็นผู้นำใช้ไม่ได้ต่อไปอีกแล้ว บุคคล
ต้องการ “ทำไม” ความมุ่งหมาย บุคคลต้องการการให้อำนาจและเหตุผล
ที่จะริเริ่มการกระทำ เราได้เข้ามาสู่ความเป็นผู้นำบนพื้นฐานความมุ่งหมาย
เดวิด มาร์เค ได้ค้นพบข้อบกพร่องพื้นฐานของโมเดลผู้นำ-ผู้ตาม เมื่อ
ลูกเรือของได้พยายามทำตามคำสั่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าคุณบอกเรา
ให้ทำ เขารับรู้ว่าความผู้นำที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ต้องร่วมกันทั่ว
ทั้งองค์การ ดังนั้นบุคคลสามารถใช้ความรู้และความสามารถที่จะบรรลุ
เป้าหมายของทีมได้
หนังสือของเขา “Turn the Ship Around” ได้อธิบายกระบวนการของ
เขา และเขาได้พิมพ์เครื่องหมายการค้าเป็น “Intent-Based Leadership”
เดวิด มาเค ได้รับรู้อันตรายของโมเดลผู้นำ-ผู้ตามสมัยเดิมปฏิบัติกันโดย
ทั่วไปภายในทหาร ลูกเรือของเขาทำตามคำสั่งอย่างตาบอด แม้ว่าพวกเขารู้ว่าคำสั่งไม่ถูกต้อง ดังนั้นเขาได้หันหลังอย่างกล้าหาญต่อโมเดลนี้
เขาได้ให้อำนาจแก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาที่จะเป็นผู้นำ การทำให้
บุคคลแต่ละคนรู้สึกมีคุณค่าและใช้ศักยภาพของพวกเขาอย่างเต็มที่
เขาได้เรียกมันว่า “ความเป็นผู้นำบนพื้นฐานความมุ่งหมาย” ไอบีแอล
โมเดลไอบีเเอล ไม่ได้อยู่บนพื้ฐานของการใช้อำนาจจากบุคคลหนึ่งไป
ยัง
บุคคลอื่นเหมือนเช่นโมเดลผู้นำ-ผู้ตาม แต่อยู่บนพื้นฐานของความมุ่งหมาย
ร่วมกันระหว่างบุคคล การเปรียบทางทหารคือ โมเดลผู้นำ-ผู้ตามเหมือนกับการบังคับบัญชาและการควบคุม แต่โมเดลไอบีเอลเหมือนกับการบัง
คับบัญชาของภารกิจ เขาฟื้นฟูเรือดำน้ำของเขา ด้วยการปฏิบัติต่อลูกเรือของเป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ตาม และให้การควบคุม ไม่ใช่ใช้การควบคุม
สตีเฟน โควีย์ ได้กล่าวว่า มันเป็นองค์การที่ให้อำนาจมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น
และเขาได้เขียนเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของกัปตันเดวิด มาเคภายในหนัง
สือของเขา “The 8th Habit : From Effectiveness to Greatness”
สตีเฟน โควีย์ ได้กล่าวว่า คุณอาจจะสามารถซื้อบุคคลกลับด้วยเช็คเงินเดือน ตำแหน่ง อำนาจ แต่ความฉลาด ความลุ่มหลง ความจงรักภักดี และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เป็นความสมัครใจเท่านั้น หนังสือเล่มนี้พิมพ์เมื่อ ค.ศ 2004 มันเป็นเรื่องราวต่อเนื่องของ “The Seven Habits of Highly Effective People” พิมพ์ครั้งเเรกเมื่อ ค.ศ 1989
“The Seven Habits of Highly Effective People” ได้ระบุนิสัยเจ็ดอย่างที่สามารถช่วยเหลือคุณกลายเป็นบุคคลมีประสิทธิภาพมากขึ้นภายในชีวิตส่วนบุคคลและอาชีพ การทำงานด้วยกันได้กลายเป็นมีคุณค่ามากกว่า
การแข่งขันระหว่างกัน
เมื่อย้อนหลังไปยุคอุตสาหกรรม งานส่วนใหญ่เป็นทางร่างกาย ความแตกต่างภายในประสิทธิภาพของบุคคลค่อนข้างน้อย แต่ในขณะนี้เรา
อยู่ภายในยุคข้อมูล ตรงที่ความรู้เป็นทักษะที่สำคัญของเรา แต่ยังคงถูก
คิดและดำเนินงานเหมือนยุคอุตสาหกรรม แต่กระนั้นหนังสือ The 8th Habits สร้างบนนิสัยเจ็ดอย่างต้นกำเนิด และเพิ่มนิสัยอย่างที่แปดเข้ามา
การเข้าถึงระดับที่สูงขึ้นของอัฉริยะมนุษย์ภายในความเป็นจริงใหม่
ของวันนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงของการคิด กรอบความคิดใหม่และ
ทักษะใหม่ โดยสรุป นิสัยใหม่ ความท้าทายที่สำค้ญของโลกของเราวันนี้
คือ การค้นหาเสียงของเรา และบันดาลใจบุคคลอื่นค้นหาเสียงของพวกเขา มันเป็นอะไรที่สตีเฟน โควี่ย์ เรียกว่านิสัยที่แปด เรามีบทเรียนสามอย่างของหนังสือเล่มนี้
*ความเป็นอิสระของคุณที่จะเลือกเป็นของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณเกิด
มาด้วย
*การสร้างความไว้วางใจด้วยความเป็นมิตร การรู้ว่าเมื่อไรที่จะกล่าวคำขอโทษ และทำตามคำสัญญาของคุณ
*การให้อำนาจบุคคลอื่นด้วยการยอมให้การควบคุม และให้พวกเขารับ
ผิดชอบ
สตีเฟน โควีย์ กล่าวว่า ผมมีโอกาสนั่งเรือดำน้ำนิวเคลียร์ ยูเอสเอส ซานตา เฟ ของกัปตันเดวิด มาร์เค ระหว่างการเดินทาง ผมได้มองเห็นผลกระทบโดยตรงของวิถีทาง
ความเป็นผู้นำของเขา มันมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออะไรที่ผมคิดว่า
เป็นไปได้ในแง่ของสถานที่ทำงานที่ให้อำนาจและผูกพัน ผมกำลังฝึก
อบรมนายทหารกองทัพเรือยูเอสภายในความเป็นผู้นำระหว่างยุคดอม
คอม เมื่อผมเริ่มต้นได้ยินเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างพิเศษอย่างแท้จริง
เกิดขึ้นบนเรือดำน้ำภายในฮาวาย เมื่อโอกาสเกิดขึ้นที่จะได้นั่งซานตา
เฟ ผมได้คว้ามันทันที ผมไมเคยมองเห็นการให้อำนาจอย่างนี้มาก่อนเลย
เรายืนอยู่บนสะพานของเรือดำน้ำนิวเคลียร์หลายพันล้านเหรียญบนน้ำ
ที่สดใส แล่นไปบนผิวน้ำอย่างสงบ ภายหลังอยู่บนเส้นทางไม่นาน นาย
ทหารหนุ่มคนหนี่งเข้าหากัปตันและกล่าวว่า ผมมุ่งหมายที่จะนำเรือลำนี้
ดำลงสี่ร้อยฟุต กัปตันเดวิด มาร์เค ถามเกี่ยวกับการติดต่อโซนาร์ และความลึก และแนะนำนายหทหารหนุ่มคนนี้ให้เราอีกไม่กี่นาทีบนสะพาน ก่อนดำเนินการความมุ่งหมายของเขา ตลอดวันบุคคลได้เข้าหากัปตันมุ่งหมายที่จะทำอย่างนี้หรืออย่างนั้นบางครั้งกัปตันได้ถามคำถามหนึ่งหรือสอง
เขาได้รักษาการตัดสินใจปลายของภูเขาน้ำแข็งไเพื่อการยืนยันของเขาเอง ส่วนใหญ่ของภูเขาน้ำแข็ง 95% ของการตัดสินใจอื่น ได้ถูกทำโดยไม่มีการยุ่งเกี่ยวหรือการยืนยันด้วยกัปตันไม่ว่าอะไรก็ตาม ผมไม่สามารถกล่าวว่า ผมได้มองเห็นกัปตันออกคำสั่ง ผมถามเดวิด มาร์เค เขาบรรลุการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร เขากล่าวว่าเขาต้องการให้อำนาจบุคคลของเขาไปไกลเท่าที่เป็นไปได้สามารถเกิดขึ้นภายในขอบเขตของกองทัพเรือ
ภายในนิสัยอย่างที่แปด เขาได้เปิดศักยภาพมากขึ้นต่อนิสัยทั้งหมด ด้วยการก้าวจากประสิทธิภาพไปสู่ความยิ่งใหญ่ โลกวันนี้ได้แตกต่าง ด้วยความซับซ้อน ความท้าทาย
และความคลุมเครือมากขึ้น หนังสือ “7 Habits” ได้ให้เราคำอธิบายที่ชัดเจน
ของปัญหาเหล่านี้ทุกอย่าง แต่ได้ให้ความชัดเจนลึกลงไปภายในขั้นตอน
ต่อไป – นิสัยอย่างที่แปด นิสัยอย่างที่แปดของบุคคลที่มีประสิทธิภาพสูง
คือ การค้นหาเสียงของคุณ และบันดาลใจบุคคลอื่นทำอย่างเดียวกัน
นิสัยล่าสุดนี้ไม่ได้เพิ่มต่อนิสัยเจ็ดอย่างต้นกำเนิด แต่แสดงมิติอีกอย่่าง
หนึ่งของความมีประสิทธิภาพที่จะยกระดับพฤติกรรมของแต่ละนิสัยเจ็ดอย่างอื่น สตีเฟน โควีย์ ได้แสดงว่าเราค้นพบเสียงได้อย่างไร ด้วยจิตใจ
หัวใจ ร่างกาย และจิตวิญญานทุกอย่างถูกผูกพัน คุณต้องพิจารณา
ความสามารถตามชาติของคุณ อะไรที่คุณรักจะทำอย่างแท้จริง และ
อะไรที่คุณสนใจอย่างแท้จริง คุณต้องฟังเสียงภายในยืนยันมโนธรรม
ของคุณ บอกคุณอะไรถูกต้องที่จะทำ เราสามารถค้นพบเสียงของเรา เนื่องจากของขวัญกำเนิดที่ไม่ได้เปิดสามอย่างคือ ความเป็นอิสระที่จะเลือก กฏตามธรรมชาติ/หลักการ และความฉลาดสี่อย่าง ความคิด ร่างกาย ความรู้สึก และจิตวิญญาน
“The 8 Habit” ได้ทำให้ชัดเจนและเสริมแรงการกล่าวก่อนหน้านี้ของ
สตีเฟน โควีย์ว่าการพึ่งพาระหว่างกันมีคุณค่าสูงกว่าการพึ่งพาตนเอง นิสัยอย่างที่แปดคือ ค้นหาเสียงของคุณ และบันดาลใจบุคคลอื่นค้นหาเสียงของพวกเขาเสียงเป็นรหัสของสตีเฟน โควีย์ต่อ “ลักษณะที่สำคัญส่วนบุคคลเฉพาะ” และบุคคลที่บันดาลใจบุคคลอื่นค้นหาเสียงของพวกเขาเป็นผู้นำที่่ต้องการในขณะนี้
และเพื่ออนาคต นิสัยอย่างที่แปดได้แสดงว่าเราสามารถปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์และความยิ่งใหญ่อย่างไร
เพื่อที่จะกระโดดอย่างรวดเร็วและเจริญเติบโตภายในยุคใหม่นี้ เราต้อง
เปลี่ยนแปลงสายตาที่เรามองโลกของเรา เราต้องรับรู้ว่าบุคคลไม่ใช่สิ่งของ
ที่จะควบคุมและจูงใจ แต่เป็นมนุษย์ด้วยจิตใจ ร่างกาย หัวใจ และจิตวิญ
ญาน จุดสำคัญของยุคนี้คือ การปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์ด้วยการ
รับรู้ทั้งบุคคล และมันเป็นนิสัยอย่างที่แปดเกี่ยวกับอะไร นิสัยอย่างที่แปด
ได้เพิ่มมิติใหม่และปลดปล่อยต่อนิสัยแจดอย่างที่จะก้าวจากประสิทธิภาพไปสู่ความยิ่งใหญ่
สตีเฟน โควีย์ กล่าวว่า เพื่อที่จะช่วยเหลือบุคคลอื่นค้นหาเสียงของพวกเขา คุณต้องค้นหาเสียงของคุณก่อน คุณสามารถทำมันได้รวดเร็ว
เท่าไร ขึ้นอยู่กับคุณใช้ของขวัญที่คุณได้ตอนเกิดดีเเค่ไหน ไม่เหมือน
กับต้นไม้ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ หรือสัตว์ ชีวิตเป็นเพียงแค่ปฏิกิริยา
สัญชาติญานเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด เราเป็นมนุษย์ที่จะเลือกการกระทำ
ต่อไปของเรา เราไม่สามารถควบคุมอะไรที่เกิดขึ้นต่อเรา เเต่เรามั่นใจว่า
สามารถตัดสินใจ เราจะตอบสนองมันได้ดีเเค่ไหน ดังนั้นขั้นตอนต่อไป
ก้าวขึ้นไปหรือลงมาขึ้นอยู่กับคุณ
ถ้าบุคคลบางคนปฏิบัติต่่อคุณไม่ดี มันอาจจะเป็นนายของคุณ มันขึ้นอยู่
กับที่จะยอมมัน หรือเดินออกไป แต่กระนั้้น ความเป็นอิสระที่จะเลือกไม่ได้
เป็นปัจจัยรับผิดชอบภายในการค้นหาเสียงของคุณเท่านั้น สตีเฟน โควีย์
ได้กล่าวถึงความฉลาดสี่อย่างด้วย
ผู้นำยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ เช่น ผ่านความท้าทายที่สำคัญภายใน
ชีวิตของพวกเขา ผ่านการต่อสู้ของพวกเขา วีรบุรุษสงครามโลกครั้งที่สอง
และประธานาธิบดีอเมริกัน ดไวท์ ไอเซนฮาวด์ ได้กล่าวคำพูดอ้างอิงที่สำคัญรวมเอาความสำคัญของการออกเสียง ประวัติศาสตร์ของเสรีชนไม่เคยถูกเขียนโดยบังเอิญ แต่โดยการเลือก การเลือกของพวกเขา
เราต้องการรู้ความลับต่อความสำเร็จหรือไม่ หนังสือช่วยเหลือตัวเอง
ไอคอนเล่มนี้โดยสตีเฟน โควีย์ เเสดงเรากลายเป็นบุคคลที่มีประสิทธิ
ภาพมากขึ้นอย่่างไร ไม่เพียงแต่ภายในธุรกิจเท่านั้น แต่ภายในชีวิตที่
เหลืออยู่ของเราด้วย ด้วยการเปลี่ยนแปลงเรามองโลกอย่างไร
้สตีเฟน โควีย์ ได้กล่าวถึงนิสัยเจ็ดอย่างของบุคคลที่มีประสิทธิภาพสูง
ต่อไปนี้
1 การเริ่มต้นทำก่อน
การริเริ่มกระทำและรับผิดชอบการตัดสินใจของเรา มากกว่าเพียงแค่
การริเริ่มกระทำ การเริ่มต้นทำก่อนหมายถึงการรับความรับผิดชอบต่อชีวิตของเรา ดังนั้นเราจะไม่ตำหนิพฤติกรรมของเราต่อปัจจัยภาย
นอกเหมือนเช่น สถานการณ์ แต่ยอมรับมันเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกอย่างมีสติบนพื้นฐานค่านิยมของเรา ในขณะที่บุคคลที่รับมือถูกขับเคลื่้อน
ด้วยความรูึสึก บุคคลที่ทำก่อนถูกขับเคลื่อนด้วยค่านิยม
บุคคลที่ทำก่อนตัดสินใจพวกเขาจะตอบสนองต่อสถานการณ์ภายนอกอย่างไร แต่บุคคลที่รับมือตอบสนองตามสถานการณ์ บุคคลที่ทำก่อน
รับความรับผิดชอบเเละการควบคุมชีวิตของพวกเขา บุคคลหลายคนรับมือ พวกเขายอมให้สถานการณ์กำหนดพฤติกรรมของพวกเขา ไม่ใช่ทำก่อน การรับผิดชอบต่อการตัดสินใจและพฤติกรรมของพวกเขา เรา
ทุกคนรู้บุคคลบางคนตำหนิปัญหาของพวกเขาทุกอย่างต่ออะไรภายนอก
การควบคุมของพวกเขา เหมือนเช่นสภาพแวดล้อมของพวกเขา
สตีเฟน โควีย์ ได้อธิบายบุคคลเหล่านี้เป็นการรับมือ พวกเขาเชื่อว่าชีวิตนั้นเกิดขึ้นต่อพวกเขา และไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาสามารถทำเกี่ยวกับมัน บุคคลที่ทำก่อนเข้าใจความเป็นจริงของสถานการณ์ ในขณะที่รับรู้ว่าพวกเขาสามารถเลือกที่จะตอบสนองต่ออะไรอย่างไรด้วย ด้วยความตระหนักตัวเองนั้นได้เกิดพลังที่จะเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งของเราต่ออะไรที่เราสามารถ
ควบคุมภายในชีวิตของเราและกังวลน้อยลงเกี่ยวกับอะไรที่เราไม่สามารถควบคุม
2 การเริ่มต้นด้วยเป้าหมายภายในใจ
การระบุเป้าหมายและความมุ่งหมายภายในชีวิตของเรา และใช้มันเป็น
แนวทางที่จะตัดสินใจและลำดับความสำคัญการกระทำของเรา ถ้าเรา
เริ่มต้นบางสิ่งบางอย่างโดยไม่พิจารณาเราต้องการจบลงที่ไหน เราจะเพียงแค่ไปอย่างไม่มีเป้าหมาย และไม่เคยบรรลุเป้าหมายของเรานิสัยที่สองอยู่บนรากฐานของจ้นตนาการ ความสามารถจินตนาการภายในใจของคุณ อะไรที่คุณไม่สามารถมองเห็นในปัจจุบันด้วยสายตา
ของคุณ
มันอยู่บนหลักการที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างสองครั้ง เรามีการสร้างทาง
ความคิด – ครั้งแรก และการสร้างทางกายภาพ – ครั้งที่สอง การสร้างทาง
กายภาพตามการสร้างทางความคิด ทำนองเดียวกับอาคารเดินตามพิมพ์
เขียว เพื่อที่จะเข้าใจนิสัยนี้ได้ดีขึ้น สตีเฟน โควีย์ ได้ขอให้คุณจินตนาการงานศพของคุณ เขาขอให้คุณคิดถีงอยากจะให้บุคคลที่รักของคุณจดจำคุณอย่างไร คุณอยากจะให้พวกเขารับรู้ความสำเร็จของคุณ แลพิจารณา
อะไรเป็นความแตกต่างที่คุณสร้างภายในชีวิตของพวกเขา
การเริ่มต้น
ด้วยเป้าหมายภายในใจเกี่ยวกับการถามคำถามตัวเราเอง พิจารณาเป้า
หมายชองเรา และเหตุผลเบื้องหลังต้องการที่จะบรรลุมัน ความมุ่งหมาย
อะไรที่ผมพยายามบรรลุ ผมต้องการผลลัพธ์อะไร ทำไมผลลัพธ์เหล่านี้
สำคัญหรือมีคุณค่า การตอบคำถามเหล่านี้เป็นรากฐานของการเริ่มต้น
ด้วยเป้าหมายภายในใจอย่างแน่นอน มันเกี่ยวกับการก้าวไปสู่อนาคต
และการพิจารณามันดูเหมือนอะไรต่อคุณด้วย โดยทั่วไปบุคคลถูกจูงใจโดยอนาคตไม่ใช่อดีต ดังนั้นการรู้ว่าเราต้องการให้อนาคตของเราเป็นอะไรสามารถเป็นแหล่งที่มาของแรงจูงใจที่เข้มแข็ง
3 การทำสิ่งที่สำคัญก่อน
การลำดับความสำคัญเวลาและพลังของเราต่อสิ่งที่สำคัญภายในชีวิต
ของเรา และเรียนรู้ที่จะกล่าวว่าไม่ต่อสิ่งที่สำคัญน้อย นิสึยนี้เกี่ยวกับการ
ให้ลำดับความสำคัญ เราต้องคิดอะไรสำคัญที่สุด และวางมันไว้ลำดับแรกอยู่เสมอ การรู้คุณค่าของเราช่วยให้เราเข้าใจอะไรที่เราต้องการภายในชีวิต แต่เราเริ่มต้นบรรลุสิ่งเหล่านี่ได้อย่างไร คำตอบคือ การลำดับความสำคัญ การลำดับความสำคัญอะไรที่นำเราไปใกล้ที่จะบรรลุเป้าหมาย
เหนือสิ่งอื่นใด
มันหมายถึงการมีความตั้งใจทำอะไรที่เราต้องการทำที่จะช่วยเหลือเราและกล้าหาญพูดว่าไม่ต่ออะไรที่ไม่ สตีเฟน โควี่ย์ อธิบายว่าเราควรจะสามารถระบุงานที่สำคัญ และลำดับความสำคัญของมันเหนือสิ่งอื่นใด เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นรายรอบตัวเรา เรามีโอกาสที่จะพลาดสิ่งที่สำคัญ ทำไมมันสำคัญที่เราต้องสร้างรายการงานที่สำคัญสูง “สิ่งเเรก” โดยพื้นฐานเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดภาบในชีวิตของเรา ดังนั้นเราควรจะบริหารตารางเวลาของเราตามลำดับความสำคัญของเราที่จะให้งานสำคัญทุกอย่างทำตามเวลา
นิสัยที่สามเกี่ยวกับการกำหนดลำดับความสำคัญของคุณ และการบรรลุความสำเร็จนิสัยที่หนึ่งและที่สอง นิสัยนึ้ตรงที่นิสัยหนึ่งและที่สองมาด้วยกัน มันแสดงการใช้เวลามากขึ้นอย่างไรภายในช่องที่สองของสี่ช่องของการบริหารเวลา การวางสิ่งแรกลำดับเเรกเกี่ยวกับการลำดับความสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ และการหลีกเลี่ยงการสูญเสียเวลา มันง่ายเหลือเกินที่จะหลีกเลี่ยงงานท้าทายและทำต่ออะไรที่เรารู้สึกทำอย่างสบาย มันนำไปสู่สิ่งที่สำคัญได้ล้าหลังไป
4 การคิดแบบชนะ-ชนะ
การแสงหาประโยชน์ร่วมกันภายในทุกการเกี่ยวพันระหว่างกันและความ
สัมพันธ์ และการมองหาข้อแก้ปัญหาที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวพัน ชีวติคือการเจรจาต่อรอง เมื่อเข้าไปสู่สถานการณ์กับบุคคลอื่น บุคคลหลายคนแสวงหาผลลัพธ์แบบชนะ-แพ้ ทุกการเกี่ยวพันระหว่างกันที่พวก
เขามี ไม่ว่าการทำงานหรือชีวิตส่วนบุคคลของพวกเขา ได้ถูกมองเป็นการแข่ง
ขัน กลับกันบุคคลที่มีประสิทธิภาพมองผลประโยชน์ต่่อการให้บุคคลทุกคนอย่างยุติธรรม และส่งเสริมความสัมพันธ์ทางบวกระยะยาว การเข้าสู่
สถานการณ์อย่างเต็มใจที่จะเจรจาต่อรองจนทั้งสองฝ่ายพอใจ นิสัยนี้
ไม่ได้เกี่ยวกับการประนีประนอม มันเกี่ยวกัยความผูกพันต่อข้อตกลงที่ดี
ต่อบุคคลทุกคน ด้วยการใช้ความร่วมมือร่วมใจและความเข้าใจ หรือตัดสินใจไม่ทำข้อตกลง และเดินออกไป เราส่วนใหญ่เรียนรู้วางรากฐาน
คุณค่าตัวเองบนการเปรียบเทียบและการแข่งขัน เราคิดเกี่ยวกับความ
สำเร็จในแง่ของบุคคลบางคนล้มเหลว ถ้าผมชนะ คุณแพ้ หรือถ้าคุณชนะ
ผมแพ้ ชีวิตกลายเป็นเกมผลรวมเป็ยศูนย์ การมองแบบชนะ-ชนะเป็นสัง
เวียนความร่วมมือ ไม่ใช่การแข่งขัน ชนะ-ชนะ เป็นกรอบของจิตใจและ
หัวใจที่แสวงหาประโยชน์ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอภายในการเกี่ยวพันระ
หว่างกันของมนุษย์ ชนะ-ชนะ หมาบถึงข้อตกลงหรือข้อแก้ปัญหาเป็น
ประโยชน์และความพอใจร่วมกัน ความคิดชนะ-ชนะ นิสัยที่สี่ ต้องมีความกล้าหาญที่จะเเสวงหาประโยชน์ร่วมกันจากทุกการเกี่ยวพัน
ระหว่างกันของมนุษย์ ไม่ใช่การมีผู้ชนะข้างหนึ่ง และผู้แพ้อีกข้างหนึ่ง
การบรรลุวิถีทางชนะ-ชนะของการเกี่ยวพันระห่างกันกับบุคคลอื่น
มากกว่าเพียงแค่ความอ่้อนโยน หรือมองหาการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว
ข้อแก้ปัญหาชนะ-ชนะ ไม่ง่าย เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะบรรลุข้อแก้ปัญหาชนะ-ชนะ คุณควรจะเสนอเเนะ ไม่มีข้อตกลง
5 การเข้าใจผู้อื่นก่อนก่อนให้ผู้อื่นเข้าใจเรา
การรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ และพยายามเข้าใจมุมมองของบุคคลอื่น
ก่อนการแสดงออกของเราเอง “บุคคลส่วนใหญ่ไม่ได้รับฟังด้วยความมุ่งหมายที่จะเข้าใจ พวกเขารับฟังที่จะตอบ” สตีเฟน โควีย์
กล่าว เขาได้อธิบาย
ว่า ถ้าเราต้องการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับบุคคลอื่น เราต้องเข้า
ใจอะไรที่พวกเขาสื่อสารแ่ก่เราก่อน ในขณะที่มันไม่ได้สอนเราเหมือน
การอ่าน การเขียน หรือการพูด การรับฟังเป็นทักษะการสื่อสารที่มีพลัง
มากที่สุดอย่างอย่างหนึ่งที่บุคคลสามารถมี แต่เราส่วนใหญ่ได้ขาดไป
เรารับฟังด้วยความมุ่งหมายที่จะตอบสนอง เมื่อเราควรจะรับฟังที่จะ
เข้าใจ นิสัยนี้ได้สอนเราว่าด้วยการรับฟังอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่
กรองอะไรที่เราได้ยินด้วยความอคติและมุมมองของเรา เราสามารถ
เข้าใจมุมมมองของบุคคลอื่นก่อนการนำเสนอของเราเอง ความเข้าใจนี้
สร้างบรรยากาศของความเข้าอกเข้าใจ และความผูกพันต่อการตัดสินใจ
สตีเฟน โควีย์ กล่าวว่า โดยปรกติบุคคลรับฟังด้วยความมุ่งหมายที่จะตอบ
ไม่ใช่ความเข้าใจ มันเป็นวิถีทางที่ไม่เหมาะสมของการสื่อสาร บุคคลใช้
เวลาอ่านและเขียน แต่ไม่สนใจต่อการรับฟัง ภายในนิสัยนี้ เขาได้ให้แนว
คิดของการีับฟังอย่างเข้าใจผู้อื่น เพราะว่ามันช่วยให้เข้าใจมุมมองของ
บุคคลอื่นอย่างมีประสิทธิภาพ สตีเฟน โควี่ย์
ได้ระบุว่าเพื่อที่จะสร้างความ
สัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง และนำด้วยความชัดเจน คุณต้องเข้าใจอย่างแท้จริง
ก่อนอะไรที่บุคคลทั้งพูดและรู้สึกภายในการสนทนา โดยปรกติมันอ้างถึง
การรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ เมื่อคุณเข้าใจเรื่องราวของพวกเขา ถีงตอนนั้น
คุณจึงตอบ บนพื้นฐานพวกเขาได้พูดอะไร มันได้หลีกเลี่ยงความคิด
ที่มีอยู่ก่อนที่คุณอาจจะมี การลดโอกาสของความขัดเเย้ง และทำให้คุณ
ฟังอย่างอย่างตั้งใจ
6.การสร้างการเสริมแรง
การทำงานอย่างร่วมอกร่วมใจกับบุคคลอื่นที่จะบรรลุเป้าหมาย และสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญมากกว่าที่บุคคลใดก็ตามสามารถบรรลุคนเดียว
ด้วยคำพูดที่ง่าย
การเสริมแรงหมายถึง สองหัวดีกว่าหัวเดียว การเสริมแรงเป็นนิสัยของ
ความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ มันเป็นการทำงานเป็นทีม การเปิดใจกว้าง
และการค้นหาข้อแก้ปัญหาใหม่ต่อปัญหาเก่า แต่มันไม่ได้เกิดบนตัวมันเอง
มันเป็นกระบวนการอย่างหนึ่ง และผ่านทางกระบวนการนั้น บุคคลนำ
ประสบการณ์และความสามารถส่วนบุคคลของพวกเขาทุกอย่างมาสู่โต๊ะ
การเสริมแรงทำให้เราค้นพบอะไรร่วมกันที่เราไม่น่าจะค้นพบด้วยตัวเรา
เอง เมื่อบุคคลเริ่มต้นเกี่ยวพันกันอย่างจริงใจ และพวกเขาเปิดกว้างต่อ
อิทธิพลระหว่างกัน พวกเขาได้เริ่มต้นที่จะได้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ใหม่ ความสามารถของการคิดค้นวิถีทางใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจาก
ความแตกต่าง
โดยพื้นฐานการเสริมแรงกันหมายความว่า ถ้าเราวางสองสิ่งรวมเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์มากกว่าการรวมสองสิ่งแยกจากกัน หนึ่งบวกหนึ่งสามารถเท่ากับสามหรือมากกว่า ถ้าคุณทำงานด้วยกัน เมื่อบุคคลทำงานด้วยกัน
รับมือความท้าทาย การใช้จุดเเข็งแยกจากกันของบุคคลทุกคน มันดีกว่า
ต่อสู้ระหว่างกัน และพยายามทำมันคนเดียว เพื่อการทำงานด้วยกัน เราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจความไว้วางใจและเคารพกันและกัน
ตามสตีเฟน โควีย์วิถีทางที่ดีของการค้นพบข้อแก้ปัญหาคือ การสร้างสภาพแวดล้อมตรงที่บุคคลทุกคนสามารถร่วมความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับการใช้
ประสบการณ์และความสามารถของพวกเขา ดังนั้นข้อแก้ปัญหาที่ดี
ที่สุดอย่างหนึ่งสามารถถูกเลือกจากการรวมความคิด มันเป็นวิถีทางที่ดีกว่ามาก เพราะว่ามันช่วยสร้างผลลัพธ์ที่มีคุณภาพด้วยความพยายาม
รวมกัน ไม่ใช่แต่ละบุคคลให้ข้อแก้ปัญหา
7 การลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ
การใช้เวลาที่จะฟื้นฟูเเละปรับปรุงตัวเราเองทางร่ายกาย ความคิด ความรู้สึก และจิตวิญญาน เพื่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง นิสัยอย่างที่เจ็ดเกี่ยวกับการปรับปรุงตัวเอง เครื่องมือของเราอาจจะเพียงพอต่องาน แต่ถ้าเราไม่เคยหยุดลับมันให้คม มันจะกลายเป็นประสิทธืภาพน้อยลงและน้อยลง สตีเฟน โควีย์ ได้
ใช้การเปรียบเทียบของคนตัดไม้เลื่อยต้นไม้ ถ้าเขาเลื่อยโดยไม่หยุดลับเลื่อยของเขาให้คม ในที่สุดมันจะกลายเป็นทู่ และเขาไม่สามารถตัดต้นไม้ได้อีกต่อไป ด้วยการใช้เวลาลงทุนภายในการฟื้นฟูตัว
เราเองทางร่างกาย ความคิด สังคม และจิตวิญญาน เราให้อำนาจแก่ตัว
เราเองที่จะปฏืบัติงานได้ดีที่สุดอยู่เสมอ มันบันดาลใจบุคคลอื่นให้กระทำ
อย่างเดียวกัน การลับเลื่อยให้คมหมายถึงการรักษา และการยกระดับ
ทรัพย์สิินยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณมี – ตัวคุณเอง มันหมายถึงการรายการที่สมดุลต่อการฟื้นฟูตัวคุณเองภาบในสี่ด้านของชีวิตของคุณ : ร่างกาย ความคิด สังคม และจิตวิญญาน เมื่อคุณฟื้นฟูตัวคุณเองภายในแต่ละสี่ด้าน คุณได้สร้างการเจริญเติบโต และเปลี่ยนแปลงภายในชีวิตของคุณ
สตีเฟน โควี่ย์ได้กล่าวถึงเทคนิคแตกต่างกันที่จะฟื้นฟูทรัพย์สินสี่อย่างเหล่านี้ผ่านทาง
การออกกำลังกาย โภชนาการ การอ่าน การนั่งสมาธิ การบริหารความ
เครียด เป็นต้น ปรัชญาเบื้องหลังนิสัยที่เจ็ดคือ ใช้เวลาหยุดพักและลงทุน
มันภายในตัวเราเอง มันเป็นการลงทุนที่จำเป็นมากที่สุดอย่างหนึ่งที่เราต้องทำกับตัวเราเอง เพราะว่าไม่มีใครจะทำมันแก่เร
การวางสิ่งเเรกก่อนเป็นนิสัยที่สามของหนังสือของสตีเฟน โควีย์ เราได้วางสิ่งเเรกก่อนหรือไม่ การวางสิ่งเเรกก่อนหมายถึง การทำสิ่งสำคัญที่สุดภายในชีวิตขอวเรา สตีเฟน โควีย์ ได้เเยกความเป็นผู้นำจากการบริหาร การบริหารที่มีประสิทธิภาพคือ การวางสิ่งแรกก่่อน ในขณะที่ความเป็นผู้นำตัดสินใจสิ่งแรกคืออะไร นี่เป็นตรงที่การลำดับความสำคัญแสดงบทบาทที่สำคัญสตีเฟน โควีย์ ได้แยกกิจกรรมเป็นสี่ประเภท สำคัญและเร่งด่วน สำคัญและไม่เร่งด่วน ไม่สำคัญและเร่งด่วน ไม่สำคัญและไม่้เร่งด่วน
เขาได้มองเห็นว่าเราใช้เวลามากเกินไปกับความไม่สำคัญและเร่งด่วน และล้มเหลวที่จะหลีกทางให้เวลาเฉพาะต่อสำคัญและไม่เร่งด่วน
ตารางการตัดสินใจของไอเซนฮาวร์ แบ่งตารางสี่ช่องบนพื้นฐานของความเร่งด่วนและความสำคัญของตัดสินใจต่อไปนี้
ช่องที่ 1 ทำก่อน
งานสำคัญและเร่งด่วน มันเป็นงานที่ต้องการความสนใจของเราทันที และงานที่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายระยะยาวและภารกิจ งานเหล่านี้เราต้องทำทันที งานมีระดับความสำคัญสูงสุด และควรจะเป็นความสนใจของเราทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด โดยทั่วไปงานภายในช่องนี้เป็นวิกฤติและปัญหาด้วยกำหนดเวลา
ช่องที่ 2 ตัดสินใจเมื่อไร
งานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน งานเหล่านี้เราจะกำหนดเวลาที่จะทำภายหลัง มันไม่มีกำหนดเวลาที่กดดัน และไม่ต้องการการกระทำทันทีของเรา มันเป็นงานที่เราเพียงแค่กำหนดเวลาที่จะทำในอนาคต โดยทั่วไปช่องที่สองเป็นงานที่สามารถช่วยเราโดยส่วนบุคคลหรือวิชาชีพ หรือช่วยธุรกิจของเราบรรลุเป้าหมายระยะยาว
ช่องที่ 3 มอบหมายมัน
งานไม่สำคัญแต่เร่งด่วน มันเป็นงานที่โผล่ขึ้นมาและต้องการความสนใจทันที แต่เพราะว่ามันไม่สำคัญ มันไม่จำเป็นต้องการเ
วลาของเรา ดังนั้นมันสามารถถูกมอบหมายแก่ใครก็ตาม งานสำคัญต่อเราน้อยกว่าบุคคลอื่นแต่ยังคงเร่งด่วน
ช่องที่สี่ 4 กำจัดมัน
งานไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน ดังนั้นเราสามารถในกรณีส่วนมากเพียงแค่กำจัดมันจากรายการของเรา ส่วนใหญ่แล้วงานเหล่านี้ไม่ต้องทำ และถูกพิจารณาเป็นการสูญเวลาโดยบุคลลส่วนใหญ่
สตีเฟน โควีย์ ได้กล่าวเปรียบเทียบนิสัยที่เจ็ด การลับเลื่อยให้คม ด้วย
การเล่าเรื่องคนตัดไม้
วันหนึ่งเรากำลังเดินภายในป่า และเราได้พบชายคนหนึ่งเลื่อยต้นไม้อยู่
คุณทำอะไรอยู่ เราถาม คุณมองไมเห็นหรือ เขาตอบอย่างหงุดหงิด ผมกำลังเลื่อยต้นไม้ คุณดูแล้วเหนื่อย คุณทำมานาน
เท่าไรแล้ว เราถาม สองหรือสามชั่วโมงแล้ว เขากล่าว เหงื่อไหลลงจากคาง
ของเขา เลื่อยของคุณดูแล้วทื่
อ ทำไมคุณไม่หยุดพักสองสามนาที
และลับเลื่อยให้คม ผมมั่นใจว่า มันจะเลื่อยได้เร็วขึ้นมาก ผมไม่มีเวลาลับ
เลื่อยให้คม ผมยุ่งเหลือเกินกับการเลื่อย เขาตอบ
สตีเฟน โควีย์ ได้อธิบายนิสัยข้อเจ็ดด้วยการใช้การเปรียบเทียบของคนตัดไม้ คนตัดไม้ได้เลื่อยไม้อยู่ภายในป่านานหลายวัน เมื่อวันหนึ่งผ่านไปเขาสังเกตุว่าประสิทธิภาพการผลิตของเขากำลังลดลง มันทำให้ยากขึ้นแ
ละยากขึ้นที่จะเลื่อยแต่ละวัน
ตามมา เหนือสิ่งอื่นใด กระบวนการตัดทำให้ความคมทู่ลง ความคมยิ่งทู่
ลงเท่าไร ความพยายามที่ต้องใช้เลื่อยยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แน่นอน
ข้อแก้ปัญหาของคนตัดไม้คือ ต้องหยุดเป็นระยะลับเลื่อยให้คม
ภายในวิถีทางอย่างเดียวกัน เราสมารถใช้ขั้นตอนป้องกันความเหนื่อย
หน่าย และรักษาการปฏิบัติงานที่สูงไว้ด้วยการลับเลื่อย การลับเลื่อย
เกี่ยวกับการเติมพ
ลังตัวเราเองภายในสี่ด้านของชีวิต : ร่างกาบ จิตใจ
สังคม-อารมณ์ และจิตวิญญาน
*ร่างกาย เกี่ยวพันกับการดูแลร่างกายกายภาพของเรา มันสำคัญเพราะว่า
ถ้าร่างกายของเรารู้สึกเหนื่อย มันกลายลำบากที่จะนำมาประสิทธิภาพการ
ผลิต ไม่ว่าเราจะเราทุ่มเทความพยายามมากเเค่ไหน
*สังคม-อารมณ์ การมีชีวิตทางสังคมที่ดี การสร้างการเชื่อมโยงที่มีคุณค่ากับบุคคลอื่น
*ความคิด การเรีย
นรู้บางสิ่งบางอย่างที่ใหม่ การอ่านและการเขียน หนังสือ
เป็นที่ปรึกษาของเรา
*จิตวิญญาน การขยายตัวเองทางจิตวิญญานผ่านการนั่งสมาธิ การใช้เวลา
พักผ่อนภายในธรรมชาติ
ความสมดุลภายในสี่มิ
ติของการเติมพลังจะสำคัญ การละทิ้งด้านใดก็ตาม
กระทบทางลบต่อด้านที่เหลืออยู่ การเติมพลังกลายเป็นมีประสิทธิภาพเมื่อ
เราจัดการกับสี่มิติภายในวิถีทางที่สมดุล
ตามสตีเฟน โควีย์ การลับเลื่อยให้คมเกี่ยวกับการใช้เวลาที่จะชุบชีวิต และทำให้สดชื่นภายในสี่มิตืของธรรมชาติของเรา ดังนั้นเรามีประสิทธิมากขึ้นภายในงานของชีวิตของเรา มันหมายถึงการทำงานอย่างฉลาดขึ้น ไม่ใช่หนักขึ้น มันทำให้นิสัยอื่นหกอย่างเป็นไปได้ เมี่อเราลับเลื่ิอยให้คม เรารักษาและยกระดับทรัพย์สินยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามี – ตัวเราเอง นิสัยที่เจ็ดของบุคคลที่มีประสิทธิภาพสูงลับเลื่อยให้
คมสามารถช่วยให้ทำงานได้สำเร็จภายในเวลาที่น้อยด้วยความสมบูรณ์
ปรัชญาเบื้องหลังนิสัยนี้คือ ใช้เวลาพักบ้าง และลงทุนมัน ภายในตัวคุณเอง มันเป็นการลงทุนที่จำเป็นมากที่สุดอย่างหนึ่งที่เราต้องทำด้วยตัวเราเอง เพราะว่าไม่มีบุคคลออื่นจะทำมันเพื่อเรา
ครั้งหนึ่งอับราฮัม ลินคอล์น พูดว่า “ให้ผมหกชั่วโมงตัดต้นไม้ และผมจะใช้
สี่ชื่อโมงเเรกลับขวานให้คม”
ภายใน 7 Habits of Highly Effective People สตีเฟน โควีย์ กล่าวว่า
ความผู้นำและการบริหารเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน ความเป็นผู้นำไม่ใช่การบริหาร ความเป็นผู้นำต้องมาก่อน การบริหารเป็นจุดมุ่งบรรทัดล่าง เราสามารถบรรลุอะไรอย่างไร ความเป็นผู้นำมุ่งบรรทัดบน เราต้องการบรรลุอะไร ด้วยถ้อยคำของทั้งปีเตอร์ ดรัคเกอร์ และวอร์เรน เบนนิส การบริหารคือ การทำอะไรอย่างถูกต้อง ความเป็นผู้นำคือ การทำอะไรที่ถูกต้อง การบริหารคือ ประสิทธิภาพภายในการปีนขั้นบันได ความเป็นผู้นำพิจารณา
ขั้นบันไดพิงกำเเพงที่ถูกต้องหรือไม่
ภายในการอธิบายความแตกต่างระหว่างการบริหารและการเป็นผู้นำ
สตีเฟน โควีย์ ได้เขียนว่า
ครั้งหนึ่งเรามีกลุ่มผู้สร้างตัดทางของพวกเขาผ่านป่าด้วยมีดดาบ พวกเขาเป็นผู้สร้าง ผู้แก้ปัญหา พวกเขาตัดผ่านพุ่มไม้ ขจัดมันออกไป พวกเขากำลังทำงานภายในธุรกิจ ผู้บริหารอยู่เบื้องหลังพวกเขา ผู้บริหารผลักดันพวกเขา เดินตามกระบวนการ ลับมีดดาบให้คม เขียนคู่มือปฏิบัติงาน กำหนดตารางเวลาทำงาน และการจ่ายค่าตอบแทนแก่คนงาน
ในขณะที่ผู้นำทำงานบนธุรกิจ ผู้นำปีนต้นไม้สูงที่สุด สำรวจสถานการณ์ทั้งหมด และร้องตะโกน “ผิดป่า” การบริหารมุ่งที่ระเบียบวิธีการทำงานอย่าง
มีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติงานเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นพวกเขาได้ตอบสนอง “หยุดพูด” เรากำลังสร้างความก้าวหน้า การบริหารมุ่งในขณะนี้ การเป็นผู้นำมุ่งในอนาคต การบริหารคือ การวางสิ่งแรกก่อน ในขณะที่ความเป็นผู้นำตัดสินใจสิ่งแรกคืออะไร มันเป็นการบริหารที่วางมันก่อน วันต่อวัน เวลาต่อเวลา การบริหารเป็นวินัยดำเนินการกับมัน
Cr : รศ สมยศ นาวีการ