ความธรรมดาแห่งความชั่วร้าย
ความธรรมดาแห่งความชั่วร้าย
ภายหลังการเข้าฟังการสอบสวนของอาชกรรมสงครามนาซี อดอล์ฟไอชมาน แฮนนาห์ แอเรนดท์ ยืนยันความน่ากลัวเกี่ยวกับชายคนนี้ไม่ใช่ความชั่วร้ายทางศีลธรรมของเขาเลย มันเป็นความธรรมดาแท้จริงของเขา เธอได้ใช้ชื่อรองหนังสือ 1963 ของเธอบนเรื่อง “Eichmann in Jerusalem : A Report on the Banality of Evil”แอนนาห์ แอเรนดท์ได้แสดงคำถามว่า บุคคลสามารถกระทำอย่างโหดร้ายโดยไม่โหดร้ายอย่างแท้จริงหรือไม่แฮนนาห์ แอเรนดท์ ได้ทำรายงานการสอบสวนอาชญกรรมสงครามอดอล์ฟ ไอชมาน เขาจะรับผิดชอบต่อการขนส่งชาวยิวหลายล้านคนไปทำงานและฆ่า ณ ค่ายกักกัน แต่กระนั้นทั้งที่มันเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายอดอล์ฟ ไอชมานตัวเขาเองยืนยืนไม่มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของเขา เขาไม่ได้แสดงความไม่พอใจต่อบุคคลที่ไม่ดีกับเขาหรือสำนึกผิดต่อ การกระทำของเขา เขาได้อ้างว่าเขาเพียงแค่ทำงานของเขา และทำตามคำสั่งแฮนนาห์ เเอเรนดท์ เชื่อว่าอดอล์ฟ ไอชมาน เป็นบุคคลธรรมดาพยายามเดินตามอาชีพของเขาภายในพรรคนาซี เขาได้ถูกคิดว่าปฏิบัติการกระทำที่ชั่วร้ายโดยไม่มีความมุ่งหมายชั่วร้าย มันสามารถเป็นไปได้หรือไม่ ความหมายของสิ่งนี้น่าประหลาดใจ เราทุกคนจะมีโอกาสกระทำภายในวิถีทางที่ชั่วร้าย เเม้ว่าเราไม่ได้ชั่วร้ายโดยเนื้อเเท้ฟิลลิป ซิมบาร์โด อาจารย์จิตวิทยา มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้เชื่อว่าบุคคลธรรมดาใครก็ตามสามารถกระทำภายในวิถีทางที่ชั่วร้ายได้ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม เส้นระหว่างดีและชั่วซึมผ่านได้และเกือบทุกคนสามารถถูกล่อใจข้ามมันได้ เมื่อเราได้ถูกกดดันโดยปัจจัยทางสถานการณ์ ฟิลลิป ซิมบราโว ได้ดำเนินการทดลองเรือนจำสแตนฟอร์ดเมื่อ ค.ศ 1971 เขาได้สรรหานักศึกษาสแตนฟอร์ดโดยใช้หนังสือพิมพ์ท้องที่ ผู้ทดลองได้คัดเลือกผู้สมัคร 24 คนจากมากกว่า 70 คน ที่ได้ถูกพิจารณาสุขภาพทางร่างกายและความคิด พวกเขาจะได้รับรายได้วันละ 15 เหรียญ และผู้มีส่วนร่วมถูกสุ่มมอบหมายเป็นกลุ่มของนักโทษและผู้คุมจำนวนเท่ากัน การทดลองเรือนจำของสแตนฟอร์ดเกี่ยวพันกับการมอบหมายให้ผู้มีส่วนร่วมเป็นนักโทษหรือผู้คุมภายในการออกแบบเรือนจำจำลอง ผู้มีส่วนร่วมได้รับเครื่องแบบ นักโทษได้ถูกอ้างถึงโดยตัวเลขไม่ใช่ชื่อ และพวกเขามีความเป็นส่วนตัวที่จำกัดเป้าหมายของฟิลลิป ซิมบราโดคือ สังเกตุการเกี่ยวพันระหว่างกันภายในและระหว่างกลุ่มสองกลุ่ม การทดลองได้ถูกจัดตารางเวลา สิ้นสุดหนึ่งถึงสองสัปดาห์ แต่กระนั้นภายหลังหกวันเท่านั้น การทดลองได้ถูกจบลงก่อนกำหนด เนื่องจากการทกลองได้บานปลายจนควบคุมไม่ได้ เมื่อนักโทษได้ได้ถูกบังคับอดทนต่อความโหดร้าย และการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์จนเกินไปด้วยน้ำมือของผู้คุมของพวกเขา การทดลองแสดงโดยคำพูดของซิมบราโดว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาสามารถกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้อย่างไรฟิลลิป ซิมบราโด ได้เสนอแนะว่าบุคคลธรรมดาจะสามารถกระทำภายในวิถีทางที่โหดร้าย เพราะว่าพวกเขาทำตามอย่างไม่คิดต่อบทบาทที่กำหนดโดยอำนาจหน้าที่ แม้ว่า ซิมบราโด ไม่ได้เสนอแนะว่าการกระทำที่โหดร้ายเป็นผลลัพธ์ของ เพียงแค่ทำตามคำสั่ง เขาเชื่อว่าผู้คุมเหล่านี้อาจจะเชื่อว่าพวกเขาเพียงแค่ทำงานของพวกเขา เนื่องจากปัจจัยทางสถานการณ์ที่ซึมเข้าไปสู่ความแตกต่างของอำนาจ ความรู้สึกนี้จะถูกสะท้อนภายในอดอล์ฟไอชมานต่อบทบาทของเขาภายในโฮโลคอสท์
แฮนนาห์ แอเรนดท์เป็นนักปรัชญา และนักคิดทางการเมือง เกิดภายในครอบครัวเยอรมัน-ยิวเธอถูกผลักดันหลบหนีจากเยอรมันระหว่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ขึ้นมาสู่อำนาจ เเละได้มีชีวิตอยู่ภายในปารีสแปดปีต่อไป เมื่อ ค.ศ 1941 เธอได้อพยพไปอเมริกา และชื่อรองของหนังสือของเธอได้แนะนำถ้อยคำที่มีชื่อเสียง “Banality of Evil” ความเป็นธรรมดาแห่งความชั่วร้าย ความชั่วร้ายกลายเป็นธรรมดา เมื่อบุคคธรรมดามีส่วนร่วมภายในมัน ได้สร้างระยะห่างจากมัน และได้ให้เหตุผลกับมันด้วยวิถีทางที่นับไม่ได้มันไม่มีปริศนาทางศีลธรรม ความชั่วร้ายไม่ได้ดูเหมือนความชั่วร้ายถ้อยคำช่วยชีวิต ความเป็นธรรมดาแห่งความชั่วร้าย ได้ยึดความคิดว่าการกระทำชั่วร้ายไม่จำเป็นต้องกระทำโดยบุคคลชั่วร้าย แต่มันสามารถเพียงแค่เป็นผลลัพธ์ของการเชื่อฟังคำสั่งตามหน้าที่ของระบบราชการแนวคิดนี้ได้ถูกสนับสนุนโดยการศึกษาทางจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงสองอย่าง การทดลองช็อตไฟฟ้าของสแตนลี่ย์ มิลแกรม และการทดลองเรือนจำของสแตนฟอร์ด ทั้งสองการทดลองได้พิสูจน์ตามคาดคะเนว่าบุคคลธรรมดาสามารถถูกนำได้ง่ายไปสู่การกระทำที่เลวร้าย เพียงแค่ทำตามคำสั่ง ทำร้าย ลบหลู่ หรือฆ่าได้ถ้อยคำได้อ้างอิงพฤติกรรมของอดอล์ฟ ไอช์มาน ณ การสอบสวนเป็นชายที่ไม่ได้เเสดงความผิดต่อการกระทำของเขาการยืนยันว่าเขาไม่รู้สึกรับผิดชอบ เพราะว่าเขาเพียงแค่ทำงานของเขา เขาทำหน้าที่ของเขา เขาไม่เพียงเเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น เขาเชื่อฟังกฏหมายด้วย ความเป็นธรรมดาแห่งความชั่วร้าย เป็นความคิดว่าบุคคลธรรมดาได้กระทำความโหดร้ายโดยไม่มีความตระหนัก ความระมัดระวัง หรือการเลือกนักข่าวไม่กี่ร้อยคนภายในห้องพิจารณาคดีเยซูเลม และผู้ชมโทรทัศน์หลายล้านคนภายนอก ได้จ้องมองที่ชายคนหนึ่งภายในกรงกระจก อะไรที่พวกเขาได้คาดหวังคือ ศูนย์รวมเเห่งความชั่วร้าย ปีศาจร้ายที่ถูกกล่าวหาจากการฆ่าผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กที่บริสุทธ์หกล้านคน อะไรที่พวกเขาได้มองเห็นชายที่ผอมและหัวล้าน อายุ 55 ห้าปี ดูแล้วคล้ายกับพนักงานธนาคารมากกว่าคนขายเนื้อ อดอล์ฟ ไอชมานให้การยืนยันจากข้างหลังกรงกระจก เพื่อการป้องกันเขาจากโฮโลคอสท์ เขายืนยันว่าเขาไม่ได้กำหนดนโยบาย เเต่ดำเนินการเท่านั้นนั่นคือ เขาจะเป็นเพียงฟันเฟืองตัวหนึ่งเท่านั้นภายในเครื่องจักรของการทำลาย ภายในวันสุดท้ายของคำให้การของเขา เขายอมรับว่าแม้ว่าเขาผิดภายในการตระเตรียมการขนส่งชาวยิวหลายล้านคนไปสู่ความตายของพวกเขา เขาไม่รู้สึกถึงของผลที่ตามมาผมเพียงแค่ทำตามคำสั่ง ทำให้บุคคลรับรู้ห่างไกลจากผลลัพธ์ที่ตัวพวกเขาทำให้เกิด บุคคลไม่รู้สึกเชื่อมโยงจากการกระทำของเขาเมื่อพวกเขาทำตามคำสั่ง แม้ว่าพวกเขาผูกพันกับการกระทำ การเกิดขึ้นของคำอธิบายใหม่ต่อทำไมบุคคลทำสิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่ความคิดตามสัญชาติญานบุคคลที่เลวร้ายทำสิ่งที่น่ากลัว และการสอบสวนอดอล์ฟไอช์มาน ได้ให้ความเป็นไปได้ที่บุคคลธรรมดาเผชิญกับสภาวะที่เหมาะสม อาจจะทำสิ่งที่น่ากลัวผิดธรรมดาได้ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซียร่วมกันสร้างศาลทหารระหว่างประเทศ ตั้งเเต่ ค.ศ 1945 ถึง ค.ศ 1946 ผู้นำนาซีเยอรมันได้ถูกพิจารณาคดีต่ออาชกรรมสันติภาพ อาชญกรรมสงคราม และอาชญกรรมความเป็นมนุษย์ นูเรมเบิรก เยอรมันถูกเลือกเป็นสถานที่ของการสอบสวนต่อการเป็นจุดศูนย์กลางของการระดมโฆษณาชวนเชื่อของนาซีนำไปสู่สงครามฝ่ายพันธมิตรต้องการให้นูเรมเบิกเป็นสัญลักษณ์ความตายของนาซี เยอรมัน ศาลได้ประขุมกันภายในพระราชวังแห่งความยุติธรรม ณ นูเรมเบิรก ได้ถูกขยายก่อนหน้านี้โดยนักโทษเยอรมันให้พอดีกับผู้ถูกคุมขัง 1,200 คนคำสั่งของผู้บังคับบัญชา รู้จักกันเป็น การป้องกันนูเรมเบิรก หรือเพียงแค่ทำตามคำสั่ง ด้วย เป็นคำแก้ฟ้องภายในศาลที่บุคคลไม่ว่าใครก็ตามไม่ควรจะถูกพิจารณาความผิดของการทำอาชญกรรมที่ได้ถูกสั่งโดยผู้บังคับบัญชา การสอบสวนนูเรมเบิรกได้รับความสนใจอย่างมากที่การป้องกันผู้บังคับบัญชาสั่ง ภายหลังได้กลายใช้แทนกันกับการป้องกันนูเรมเบิรก การป้องกันทางกฏหมายที่ระบุว่าจำเลยทำตามคำสั่งเท่านั้นภาษาเยอรมัน Befehl ist Befehi แปลว่า คำสั่งคือคำสั่ง และดังนั้น ไม่ตัองรับผิดชอบต่ออาชญกรรมของพวกเขาผู้พิพากษา ณ นูเรมเบิรก ได้ปฏิเสธ การป้องกัน ทำตามคำสั่ง พวกเขากล่าวว่าเมื่อบุคคลทำตามคำสั่งที่ผิดกฏหมายภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ เขาต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้น ยกเว้นแต่ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง เช่น ถ้าบุคคลสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าคำสั่งผิดกฏหมาย เขาจะต้องไม่รับผิดชอบ เเต่ผู้พิพากษา ณ นูเรมเบิรกยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้ต่อสมาชิกไอน์ซัทซ์กรุพเพิน – กำลังรบเฉพาะกิจไม่รู้ว่าการฆ่าประชาชนทั้งผิดกฏหมายและผิดศีลธรรมอดอล์ฟ ไอช์มาน เดินตามคำกล่าวอ้างของผู้กระผิดนาซีว่าเขาทำตามคำสั่งของบุคคลอื่นเท่านั้น แต่กระนั้นผู้พิพากษาของไอชมานได้สรุปว่าเขาเป็นผู้กระทำผิดที่สำคัญภายในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของยุโรป ดังนั้นเขาได้ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดของอาชญกรรมการฆ่าชาวยิว อาชญกรรมความเป็นมนุษย์ อาชญกรรมสงคราม และสมาชิกองค์การอาชญกรรม เขาได้ถูกประหารชีวิต และเมื่อ 1 มิถุนายน 1962 อดอล์ฟไอชมาน ได้ถูกประหารโดยการแขวนคอ ร่างกายของเขาได้ถูกเผา และเถ้าได้ถูกกระจายไปบนทะเล เลยพ้นน่านน้ำอาณาเขตของอิสราเอลถ้อยคำของฮานนาห์ แอเรนดท์ ความเป็นธรรมดาแห่งความชั่วร้าย ได้สร้างหนทางไปสู่วัฒนธรรมที่กว้างขึ้นของเรา มันได้ถูกพิจารณาอย่างกว้างขวางการเตือนที่มีประโยชน์ต่อความคิดที่ความโหดร้ายที่รุนเเรงเหมือนเช่นโฮโลคอสท์ ไม่เคยสามารถถูกคิดและดำเนินการอีกครั้งหนึ่งฮานนาห์ อาร์เดนท์ พบว่า อดอลฟ ไอช์มาน เป็นข้าราชการธรรมดาที่ค่อนข้างไม่น่าสนใจ ด้วยถ้อยคำของเธอ ไม่เป็นโรคจิตหรือซาดิสท์ แต่ธรรมดาอย่างน่ากลัว เขาได้กระทำโดยไม่มีแรงจูงใจใดก็ตาม นอกจากความก้าวหน้าทางอาชีพอย่างเข้มแข็งของเขาภายในระบบราชการนาซี อดอล์ฟ ไอซมานไม่ได้เป็นผู้ชั่วร้ายทางศีลธรรม เธอได้สรุปภายในการศึกษาของเธอ อดอล์ฟ ไอชมาน ได้ปฏิบัติการกระทำที่ชั่วร้ายโดยไม่มีความตั้งใจที่ชั่วร้าย ความจริงที่เชื่อมโยงต่อความไม่มีความคิดและความหลุดพ้นจากความเป็นจริงของการกระทำที่ชั่วร้ายของเขา ไอซ์มานไม่ได้เคยตระหนักอะไรที่เขากำลังทำ เนื่องจากการขาดความสามารถ…. คิดจากจุดยืนของบุคคลอื่น การขาดความสามารถความคิดเฉพาะนี้เขาได้กระทำอาชกรรมภายใต้สถานการณ์ทำให้มันเกือบจะเป็นไปไม่ได้ต่อเขาที่จะรู้หรือรู้สึกว่าเขากำลังทำผิด แฮนนาห์ แอเดนดท์ ได้เรียกชื่อคุณลักษณะร่วมเหล่านี้ของอดอล์ฟ ไอชมานเป็นความธรรมดาแห่งความชั่วร้าย : เขาไม่ได้ชั่วร้ายโดยเนื้อแท้ แต่เป็นผู้ร่วมที่ไม่ได้ลึกซึ้งและไม่เรื่องราวอะไรเลย เขาจะเป็นบุคคลที่ล่องลอยไปสู่พรรคนาซี เพื่อการค้นหาความมุ่งหมายและทิศทาง ไม่ได้ออกจากความเชื่ออุดมการณ์ที่ลึกซึ้ง อดอล์ฟ ไอช์มานทำให้เราคิดถึง The Stranger 1943 ฆ่าบุคคลโดยสุ่มและบังเอิญ แต่ทว่าภายหลังไม่รู้สึกสำนึกผิด มันไม่มีความตั้งใจเฉพาะหรือเเรงจูงใจชั่วร้ายที่ชัดดเจน การกระทำเพียงแค่ทำให้เกิดขึ้น”Eichmann in Jerusalem” ได้ถูกกำเนิด เมื่อฮานนาห์ อาร์เดนท์ ได้ไปเยซูซาเรม เพื่อการทำรายงานแก่ เดอะ นิว ยอรคเกอร์ บนการสอบสวนอดอล์ฟ ไอช์มาน ได้ถูกกล่าวหาต่ออาญชกรรมแก่ชาวยิว อาชญกรรมความเป็นมนุษย์ และอาชญกรรมสงคราม การสอบสวนเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ 15 เมษายน 1961 นิว ยอร์ค ไทม์ ได้ประกาศว่าอดอล์ฟไอช์มานได้ถูกจับตัวโดยสายลับอิสราเอลภายในอาร์เจนตินาเมื่อ 24 พฤษภาคม ค.ศ 1960 อิสราเอลและอาร์เจนตินาได้ถกเถียงกันถึลการคืนเชลยศึกอดอล์ฟไอชมานไปสู่อิสราเอล และในที่สุดสหประชาชาติได้ตัดสินใจความถูกต้องตามกฏหมายของการสอบสวนเยรูซาเลม ภายหลังการยืนยันว่าอดอล์ฟ ไอชมานต้องถูกพิจารณาคดีภายในอิสราเอล และฮานนาห์แอเรนดท์ ได้ขอผู้อำนวยการของนิว ยอรคเกอร์ ทำรายงานสมบูรณ์ของคดีอดอล์ฟ ไอชมาน ภายในอิสราเอลปฏิกิริยาครั้งเเรกของแอนนาห์ แอเรนดท์ ต่ออดอล์ฟ ไอช์มาน ชายภายในกรงกระจกไม่น่ากลัวเลย เธอยืนยันว่าการกระทำจะน่ากลัว แต่ผู้ทำค่อนข้างธรรมดาไม่ได้เป็นปีศาจหรือน่ากลัว การรับรู้ของแฮนนาห์แอเรนดท์ว่าอดอล์ฟ ไอชมาน ดูเหมือนบุคคลธรรมดา แต่กระนั้นเธอไม่เคยเขียนว่าไอชมานเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ตามที่เขาได้พยายามอ้าว ตามเธอเเล้วไอชมานไม่ได้เพียงเป็นฟันเฟืองภายในเครื่องจักรนาซี เท่านั้น แต่เป็นบุคคลที่กระตือรือร้นขนส่งชาวยิวไปสู่ความตายของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นถ้อยคำ ความสามัญแห่งความชั่วร้าย ไม่ได้หมายความแสดงถึงทฤษฎีทั่วไปของลักษณะความชั่วร้าย แม้แต่ไม่ใช่เผด็จการหรือความชั่วร้ายของนาซี แต่อะไรที่แฮนนาห์ แอเรนดท์ ได้สังเกตุเห็นเป็นข้อเท็จจริงหลักฐานส่วนตัวของบุคลิกภาพของไอชมาน ดังนั้นความเฉยชาแห่งความชั่วร้ายหมายความที่จะอธิบายไม่ใช่ลักษณะของการกระทำ แต่เป็นคุณลักษณะและเเรงจูงใจของผู้ทำ อดอล์ฟ ไอชมานด้วยการมองผ่านทางเลนส์ของระบบราชการที่แฮนนาห์ เเอเรนดท์ ได้เรียกว่า ปกครองโดยไม่มีใคร กลายเป็นอาวุธของเผด็จการที่เธอได้นำสู่แนวคิดของความเฉยชาแห่งความชั่วร้ายของเธอ แฮนนาห์ เเอเรนดท์ได้อธิบายระบบราชการเป็นการปกครองของระบบที่ซับซ้อนของหน่วยงานที่ไม่มีใครสามารถถูกให้รับผิดชอบ
บุคคลหนึ่งสามรถทำความชั่วร้ายโดยไม่ได้ชั่วร้ายหรือไม่ มันเป็นคำถามทำให้งงที่นักปรัชญา แฮนนาห์ แอเรนดท์ ยึดเมื่อเธอได้รายงานแก่วารสารนิว ยอรคเกอร์ เมื่อ ค.ศ 1961 เกี่ยวกับการสอบสวนอาชญกรรม นาซี ของอดอล์ฟ ไอชมัน มนุษย์เราสามารถกระทำความโหดร้านเหล่านี้เหมือนเช่นโฮโลคอสท์ได้อย่างไร พวกเขาเป็นปึศาจหรือซาดิสต์ ยินดีกับความเจ็บปวดของบุคคลอื่นหรือไม่ หรือยิ่งน่ากลัวมากขึ้น พวกเขาเป็นเพียงแค่บุคคลธรรมดาเหมือนคุณ แต่ไม่ตระหนักความรุนแรงของการตัดสินใจของพวกเขาหรือไม่แฮนนาห์ แอเรนดท์ นักปรัชญาการเมืองเยอรมัน-อเมริกันที่มีชื่อเสียงได้เสนอเเนะว่านาซีหลายคนของเยอรมันภายในสงครามโลกครั้งที่สองไม่ได้เป็นโซซิโอพาธคลุ้มคลั่ง แต่เป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่สงสัยการกระทำของพวกเขาเองอย่างเพียงพอ เมื่อ ค.ศ 1963 เธอได้เขียนผลงานวิเคราะห์การกระทำที่น่ากลัวของอดอล์ฟ ไอช์มันผู้จัดการที่สำคัญคนหนึ่งของโฮโลคอสท์
แฮนนาห์ แอเรนดท์ ได้รายงานการสอบสวนอดอล์ฟ ไอชมันแก่วารสารนิว ยอรคเกอร์ เธอต้องการค้นหามากขึ้นเกี่ยวกับจิตใจของชายคนนี้ว่ากระทำอะไรที่น่ากลัวภายในโฮโลคอสท์ และเข้าใจแรงจูงใจเบื้องหลังการตัดสินใจของเขา อะไรที่พบน่าตกตะลึงมาก ความเป็นธรรมดาของความชั่วร้ายที่น่าตกตะลึงด้วยการพลาดการสอบสวนนูเรมเบิรกไป การสอบอดอล์ฟไอชมันจะเป็น โอกาสครั้งเเรกของแฮนนาห์ แอเรนดท์เห็นและฟังนายทหารนาซีภายในเลือดเนื้อ ภายในการตอบสนองเธอได้ให้คำอธิบายที่น่าสนใจแต่สามารถโต้เเย้งได้ของอดอล์ฟ ไอชมัน แฮนนาห์ แอเรนดท์ ได้ตกตะลึงทันทีโดยอดอล์ฟ ไอชมันปรากฎตัวอย่างธรรมดาอย่างไร เขาไม่ได้แม้แต่น่ากลัว เธอได้อธิยายเขาเป็นนักทำตามที่ไม่ลึกซึ้ง ด้วยไม่มีความรู้สึกของความรับผิดชอบส่วนบุคคล แอนนาห์ เเอเรนดท์ ได้พบว่า อดอล์ฟ ไอชมัน เป็นข้าราชการธรรมดา ไม่ได้เป็นโรคจิตหรือซาดิสต์ แต่ธรรมดาอย่างน่ากลัว เขากระทำโดยไม่มีแรงจูงใจใดก็ตาม นอกจากขยันต่อความก้าวหน้าทางอาชีพของเขาภายในระบบราชการนาซี เป็นส่วนหนึ่งที่ยอมรับและสำคัญของกลุ่มนั้นและพิสูจน์ตัวเขาเองเป็นข้าราชการที่สมบูรณ์
เขาเชื่อฟังทุกคำสั่ง และทำตามบทบาทของเขาภายในการขับไล่ และทำลายล้างชาวยิวด้วยประสิทธิภาพสูงสุด แฮนนาห์ แอเรนดท์ ยืนยันว่า มันไม่ได้เป็นแรงจูงใจความเลวร้ายที่รุนเเรง เชื่อมโยงตัณหาเพื่ออำนาจ แก้เเค้น และเกลียดชังยิว อดอล์ฟ ไอชมันไม่ได้เป็นปึศาจร้ายไร้ศีลธรรม เขากระทำความชั่วร้ายโดยไม่มีความตั้งใจชั่วร้าย ข้อเท็จจริงเชื่อมโยงต่อความไม่มีความคิด การหลุดพ้นจากความเป็นจริงของการกระทำที่ชั่วร้ายไม่เหมือนนาซีบางคน อดอล์ฟ ไอชมัน ดูเหมือนไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชังยิวอย่างเข้มแข็ง เรามีนาซีจำนวนมากมีความสุขกับการเฆี่ยนตีชาวยิวจนตายภายในถนนต่อการไม่ได้ให้การทักทายไฮฮิตเลอร์แต่เขาไม่ได้เป็นนาซีเหล่านี้ แต่เขารับเอาวิถีทางนาซีที่เป็นทางการแต่ที่เลวร้ายกว่านี้มากมาก เขาได้ช่วยส่งชาวยิวหลายล้านคนไปสู่ความตาย เเต่กลายเป็นเขามองว่าเพียงแค่ทำตามคำสั่ง เขาไม่ได้ทำลายกฏหมายใดก็ตาม และไม่เคยฆ่าใครก็ตามด้วยตัวเขาเอง เขากระทำอย่างมีเหตุผล เขาถูกเลี้ยงดูให้เชื่อฟังกฏหมายและได้ถูกฝึกอบรมให้ทำตามคำสั่งบุคคลทุกคนรอบตัวเขาทำอย่างเดียวกับที่เขาทำ ด้วยการรับเอาคำสั่งจากบุคคลอื่น เขาไม่รู้สึกรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของงานประจำวันของเขามันไม่มีความต้องการต่ออดอล์ฟ ไอชมานที่จะมองบุคคลถูกรวมกลุ่มไปสู่รถบรรทุกวัวควาย หรือไปเยี่ยมค่ายกักกัน นี่คือชายที่บอกศาลว่าเขาไม่สามารถกลายเป็นหมอได้ เพราะว่าเขากลัวที่จะมองเห็นเลือดแต่เลือดยังคงอยู่บนมือของเขา เขาจะเป็นผลิตผลของระบบที่ห้ามเขาจากการคิดวิจารณ์เกี่ยวกับการกระทำของเขาเอง เขาจะเป็นเพียงเเค่ฟันเฟืองภายในเครื่องจักรระบบราชการนาซี และเป็นผู้ตามที่เชื่อฟังคำสั่งเมื่อแฮนนาห์ แอเรนดท์ พูดเกี่ยวกับความธรรมดาแห่งความชั่วร้ายเธอได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของเธอ เริ่มแรกเธอจะเชื่อต่อความน่ากลัวของศตวรรษที่ยี่สิบ โฮโลคอสท์ ไม่สามารถสร้างโดยแรงจูงใจธรรมดา เธอคิดว่ามันเป็นประเภทของความชั่วร้ายที่รุนแรงและเธอได้คาดหวังเมื่อเธอได้วางแผนเข้าร่วมการสอบสวนของอดอล์ฟ ไอช์มัน ภายในเยซูซาเลมที่เธอจะได้เห็นผู้กระทำผิดที่โหดร้าย ด้วยถ้อยคำของเธอ…..ความมุ่งร้าย ความเกลียด ความซาดิสต์ การรู้ว่าทำผิดภายใต้เเรงบันดาลใจโดยรายงานของแฮนนาห์ แอเรนดท์ เกี่ยวกับการสอบสวนของอดลอฟ์ ไอซ์มาน ภายในเยซูซาเรม สแตนลี่ย์ มิลแกรม นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน สงสัยว่าการยืนยันของเธอเกี่ยวกับ ความธรรมดาแห่งความชั่วร้าย นั่นคือการทำความชั่วร้ายสามารถมาจากบุคคลธรรมดาได้ทำตามคำสั่ง เมื่อพวกเขาทำงานของพวกเขา มันสามารถแสดงภายในห้องทดลองได้ การทดลองของมิลแกรม และการทดลองที่เกี่ยวพันกันได้แสดงว่าบุคคลส่วนใหญ่จะเชื่อฟังคำสั่งโดยผู้มีอำนาจ ทำอันตรายบุคคลบางคน เเม้ว่าพวกเขารู้สึกว่ามันผิด และเเม้ว่าพวกเขาต้องการหยุด
Cr : รศ สมยศ นาวีกา