ย่ำแย่ทั้งเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทย 

สบาย สบาย สไตล์เกษม

เกษม อัชฌาสัย

ย่ำแย่ทั้งเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทย

เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๕ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียได้ออกกฤษฏีกา อันหมายถึงคำสั่งของฝ่ายบริหาร ซึ่งชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้บังคับได้ทันที

กำหนดให้ระงับการขายน้ำมันดิบแก่บรรดาชาติต่างๆ และบริษัทต่างๆ ที่ร่วมหัวกัน ใช้มาตรการกดราคาน้ำมันส่งออกของรัสเซีย

เนื่องจากกลุ่มชาติรวมหัวกันใช้มาตรการต่อต้านรัสเซีย หวังลดรายได้จากการขายน้ำมันและบั่นทอนรายได้จากภาษีของรัสเซีย

อันเป็นหนึ่งในมาตรการตอบโต้ทางการค้าและทางเศรษฐกิจ ต่อกรณีที่รัสเซียปฏิบัติการทางทหารเป็นพิเศษในยูเครน

ซึ่งก็คือ การทำสงครามรุกรานประเทศยูเครนนั่นเอง

นี่คือสงครามเศรษฐกิจระดับโลก ที่ไม่แน่ว่าจะกลายเป็นสงครามยิง เต็ม”คาราเบล”เมื่อไร ก็ไม่รู้ได้

อย่าถามผมนะครับว่า “คาราเบล”แปลว่ากระไร ผมไม่รู้หรอก

แต่เห็นเขานำมาเขียน นำมาพูดกัน สนั่นเมือง เป็นแสลง เพื่อแสดงความ”สะใจ”ต่ออะไรต่อมิอะไร ในเวลานี้

คำสั่งดังกล่าวของ”ปูติน”จะมีผลบังคับใช้ ตั้งวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ เป็นต้นไปครับ

แต่ก็มีข้อยกเว้นให้ ยกเลิกได้ เฉพาะกรณีไป ด้วยคำสั่งลบล้างของ”ปูติน”เป็นการพิเศษ หากพิจารณาว่า ได้รับความร่วมมือจากประเทศหรือบริษัทนั้นๆ ถ้าผละออกมาเสียจาก ข้อตกลงตรึงเพดานราคาน้ำมันดิบของรัสเซีย

คงจะจำกันได้นะครับว่า กลุ่ม”จี๗” อันเป็นชาติผู้นำทางอุตสาหกรรม ร่วมกับสหภาพยุโรปและออสเตรเลีย ตกลงร่วมกันกันตรีง หรือกำหนดเพดานราคารับซื้อน้ำมันดิบ ที่ผลิตในทะเลของรัสเซีย ไว้ที่ไม่เกินที่ ๖๐ เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ไม่ให้รับซื้อ ในราคาที่สูงไปกว่านั้น

เพื่อลดรายได้รัสเซีย

โดยมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ที่ผ่านมา

กำหนดเพดานราคาน้ำมันนี้ นำมาใช้เป็นมาตรการคู่ขนานกับมาตรการห้ามส่งสินค้าของสหภาพยุโรป ว่าด้วยการส่งมอบน้ำมันดิบ เพื่อความแน่ใจว่า รัสเซียจะหมดความสามารถ ส่งน้ำมันไปขายยังชาติที่ ๓ ในราคาสูงได้

นอกจากนั้น ยังเป็นการประกันความเข้มงวดการจัดเก็บภาษีของรัสเซีย ในกรณีที่รัสเซียยังคงสามารถ ส่งน้ำมันดิบขายตลาดโลก

ข้อเท็จจริงก็คือ รัสเซียเป็นชาติที่ ๒ รองลงมาจากซาอุดีอาระเบียเท่านั้น ที่ส่งน้ำมันดิบขายในตลาดโลก

การบ่อนทำลายการค้าน้ำมันของรัสเซีย จึงน่าจะเกิดผลกระทบตามมาอีกมาก โดยเฉพาะในแง่การจัดหาและจัดส่ง ที่อาจระส่ำระสายในวงการน้ำมันดิบโลก

เป็นที่ชัดเจนครับว่า ความพยายามของกลุ่ม”จี๗”นั้น ก็เพื่อบั่นทอนความสามารถในการใช้จ่ายการทำสงครามในยูเครนของรัสเซีย

ซึ่งจะมีผลต่อการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ถึงหนึ่งในสาม ถือได้ว่าเป็นมาตรการบีบคั้นรุนแรงให้รัสเซียยุติสงคราม อีกทางหนึ่ง

การโต้ตอบของ”ปูติน”ที่เกิดขึ้น แน่ชัดว่า ชาติต่างๆ และบริษัทน้ำมันที่ได้รับผลกระทบจะต้องหันไปหา แหล่งน้ำมันดิบจากที่อื่น รวมทั้งซาอุดีอาระเบีย อิรัก หรือที่อื่นๆเท่าที่จะหาได้

ดีที่ไทยเรา มิได้มีส่วนร่วมต่อต้านใด ๆต่อรัสเซียอย่างเอาจริงเอาจัง ตามนโยบายเป็นกลางของเรา

ไทยเราจึงมีน้ำมันใช้ได้ตลอดกาล เพราะซื้อที่ไหนก็ได้ รวมทั้งจากการผลิตภายในของเราด้วย

พูดถึงภาวะราคาน้ำมันในบ้านเรา

ขมขื่นกันมากว่า ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันขายปลีกแพงเกินเหตุ

เป็นความแพงที่ส่งผล ต่อถึงราคาสินค้าและค่าบริการพลอยขึ้นสูงไปด้วย โดยไม่จำเป็น มลทำให้การทำมาหากิน ในระดับราหญ้าฝืดเคือง

เป็นการซ้ำเติม โหมกระหน่ำภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่เกิดอยู่แล้วจากการแพร่ระบาดของโรด”โควิด 9”

ชาวบ้านจะร้องเรียนมากเพียงไร ขอให้รัฐช่วยลดภาระราคาน้ำมันที่แพงเกินจริง

แต่รัฐก็ทำได้แบบกระย่องกระแย่ง อย่างคนอ่อนเปลี้ยเสียขา ขึ้นๆ ลงๆ หลอกๆ แต่มีแนวโน้มราคาแพงขึ้นทุกที

ไม่ตั้งใจแก้ไขปัญหา อย่างจริงใจและจริงจัง ถือว่า ตนเป็นรัฐบาลมาแล้วก็ไป จะให้ความสนใจแก้ทำไมกัน

ซึ่งนั่นเป็นเพราะอิทธิพลของบริษัทกลั่นน้ำมัน”อุดปาก”อยู่ โดย้เฉพาะในหมู่กลไกรัฐบาล จากล่างไปสู่บน หรือแม้ในหมู่ ครม.เอง

ในรูปของผลประโยชน์ ที่ไร้หลักฐานเอาผิด

ชาวบ้านจึงได้แต่ทำตาปริบๆ เพราะเสียงโวยไม่ได้รับการตอบสนอง

ในขณะที่ข้าวของ ก็แพงขึ้นทุกวี่ทุกวัน

จนคนในระดับรากหญ้า จะแห้งตายกันอยู่แล้ว

หวังอย่างเดียวว่า จะได้รัฐบาลใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า จริงใจกว่า เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่

ว่าก็ว่าเถอะ ผมอยากให้คนอย่าง”ปูติน”หรือ”สี จิ้นผิง”ขึ้นมาใช้อำนาจเผด็จการเด็ดขาด บริหารประเทศไทยเสียจริงๆ

เอ…หรือว่าเราจะไปเป็น คอมมิวนิสต์กันดี ?

ไม่เอาแล้ว ประชาธิปไตยแบบทุนนิยมเสรี ชนิดเอารัดเอาเปรียบคนจน(ส่วนใหญ่)

เพราะเวลานี้ มัน”ไม่เสรี”จริง

มันเป็น”ทุนนิยมผูกขาด”ไปแล้ว

พับผ่าสิ ครับ