jos55 instaslot88 Pusat Togel Online สตีฟ จ้อป ผู้บุกเบิกการนั่งสมาธิความมีสติของพุทธศาสนานิกายเซน - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

สตีฟ จ้อป ผู้บุกเบิกการนั่งสมาธิความมีสติของพุทธศาสนานิกายเซน

สตีฟ จ้อป ผู้บุกเบิกการนั่งสมาธิความมีสติของพุทธศาสนานิกายเซน

บิลล์ จอร์จ กล่าวว่าความเป็นผู้นำที่ดีไม่ได้เกี่ยวกับสถานภาพหรืออำนาจ หรือเเสร้งทำมันจนเราทำมันได้ ผู้นำที่ดีใชัเวลาที่จะรับรู้พวกเขาคือใคร และเดินตามความเชื่อ ค่านิยม และหลักการที่ยึดอย่างลึกซึ้งนำทางพวกเขา บุคคลกำลังมองเป็นบุคคลบางคนที่แท้จริงหรือไม่ บุคคลรู้ใครแท้จริงหรือไม่เท้จริง เราต้องเป็นจริงเพื่อที่จะได้ความไว้วางใจของบุคคล และถ้าพวกเขาไม่ไว้วางใจเรา
พวกเขาจะไม่เคยให้หัวใจทั้งหมดของพวกเขาแก่เรา พวกเขาอาจจะให้มือของพวกเขาแก่เรา แต่ไม่เคยให้หัวใจทั้งหมดแก่เรา พวกเขาไม่ผูกพันกับอะไรที่
พวกเขาทำ พวกเขาไม่ลุ่มหลงเลย เราต้องแท้จริงและจริงใจ เราไม่สามารถแสร้งเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่เป็น
ประสบการณ์ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่ผมมี เมื่แผมเป็นนักศึกษา ณ คณะบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ด เราได้พูดถึงบุคคลหนึ่งชื่อ โรเบิรต กรีนลีฟ เขาได้สร้างความคิดของความเป็นผู้นำเบบรับใช้ ผู้นำแบบแท้จริงเป็นผู้นำเบบรับใช้
เราอยู่ที่นี่เพื่อรับใช้ และบุคคลไม่ได้อยู่ที่นี่รับใช้เรา เราอยู่ที่นี่ที่จะรับใช้บุคคลอื่น
เพื่อการได้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นของผู้นำแบบแท้จริงกลายเป็นตระหนักตัวเองอย่างไร ผมได้พิจารณาแนวคิดของความมีสติ
ดังที่พุทธศาสนาได้พัฒนาผ่านทางการปฏิบัติของการนั่งสมาธิ ความมีสติ – การตระหนักกระบวนการทางจิตใจของบุคคล และความเข้าใจจิตใจทำงานอย่างไร – ให้เส้นทางแก่ผู้นำจัดการความท้าทายและความทุกข์ยากภายในวิถีทางที่ไม่คุกคามและขาดดุลยพินิจ มันเป็นขั้นตอนที่มีเหตุผลภายในกระบวนการของการได้ความตระหนักตัวเอง รวมกับประสบการณ์ที่แท้จริงภายในการนำ เพื่อสถานการณ์ที่ท้าทาย
บิลล์ จอร์จ เชื่อว่า ถ้าเราปรากฏตัวเต็มที่บนงาน เราจะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิมากขึ้น เราจะตัดสินใจดีขึ้น และเราจะทำงานกับบุคคลอื่นดีขึ้น ความเป็นผู้นำแบบมีสติเกิดขึ้นเมื่อเราเพิ่มความสามารถของเราให้เหมาะสมกับอะไรกำลังเกิดขึ้นภายในช่วงเวลา และเลือกการตอบสนอง เปรียบเทียบกับการ
โต้ตอบเมื่ออะไรเกิดขึ้น
ความมีสติสามารถทำให้ผู้นำปรากฏตัวเต็มที่ ตระหนักตัวพวกเขาเอง และผลกระทบของพวกเขาต่อบุคคลอื่น และรู้สึกไวต่อการตอบสนองของพวกเขาต่่อสถานการณ์ที่ตึงเครียด ผู้นาที่มีสติโน้มเอียงที่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นภายในความเข้าใจและสัมพันธ์ต่อบุคคลอื่น และจูงใจพวกเขาไปสู่เป้าหมายร่วม ผมนั่งสมาธิประจำนานกว่าสามสิบปี ความเป็นผู้นำแบบมีสติเป็นวิถีทางใหม่ต่อความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน การกลายเป็นผู้นำแบบมีสติไม่ง่าย เมื่อผมถามดาไล ลามะ เราสามารถพัฒนารุ่นใหม่ของผู้นำแบบมีสติอย่างไร เขาได้ตอบอย่างเรียบง่ายว่า พัฒนานิสัยประจำวันของการทบทวนความรู้สึกของตัวเอง เราต้องพัฒนาตัวเราเองอย่างต่อเนื่อง
เราเจริญเติบโตตัวเราที่เเท้จริงของเรา
การนั่งสมาธิไม่ได้เป็นการปฏิบัติทางศาสนาหรือจิตวิญญาน เเต่เป็นวินัยส่วนบุคคลที่จะคลายความเครียด การนั่งสมาธิเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างเดียวที่ผมได้ทำ ปรับปรุงความเป็นผู้นำของผม มันช่วยผมกลายเป็นตระหนักตัวเองมากขึ้น และเห็นอกเห็นใจตัวผมเองและบุคคลอื่นมากขึ้น มันสามารถทำให้ผมยังคงใจสงบและความคิดที่ชัดเจนภายในการเผชิญแรงกดดันและความไม่แน่นอน
การนั่งสมาธิสามารถทำให้บุคคลตระหนักสถานการณ์ของพวกเขา ตอบโต้ความเครียดน้อยลง และความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น นอกจากการนั่งสมาธิ บุคคลหลายคนเพิ่มความมีสติของพวกเขาผ่านทางการสวดมนต์ การเล่นโยคะ และการวิปัสนา
การวิจัยประสาทวิทยาบนผลกระทบของการนั่วสมาธิต่อสมอง แสดงว่ามันสามารถสร้างใหม่ส่วนของสมองที่กระทบความฉลาดทางอารมณ์
“Driven to Lead” หนังสือเล่มใหม่โดยพอล ลอรเรนซ์ ได้อภิปรายจิตใจสามารถสร้างใหม่โมเดลต่อความเป็นผู้นำอย่างไร
พอล ลอรเลนซ์ เริ่มต้นด้วยทฤษฏีต้นกำเนิดของชาร์ลส ดาร์วิน มันไม่ได้เป็นสายพันธุ์เข้มแข็งที่สุดที่อยู่รอด ไม่ได้ฉลาดที่สุด แต่เป็นปรับตัวมากที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลง เขาได้ขยายทฤษฎีนี้ต่อการพัฒนาของคุณสมบัติความเป็นผู้นำของจิตใจ
เพื่อการได้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้นของการนั่งสมาธิใช้การอย่างไร
ผมมีสิทธิพิเศษของการเกี่ยวพันหลายครั้งกับดาไล ลามะ และได้พัฒนาความสัมพันธ์กับยอนเกย์ มิงกูร รินโปเช อาจารย์การนั่งสมาธิพุทธศาสนาชาวธิเบตเเนวหน้า พวกเขาทั้งสองต้องการนำเสนอการนั่งสมาธิต่อชาวตะวันตก ไม่ได้เป็นความเชื่อทางศาสนา เเต่เป็นการปฏิบัติทางโลกที่สามารถกระทบทางบวกต่อชีวิตของเรา และมีส่วนช่วยต่อโลกที่สันติภาพมากขึ้น
การนั่งสมาธิเป็นสิ่งดีที่สุดที่ผมได้เคยทำ ทำให้ตัวผมเองใจสงบ และเเยก
ออกมาจาก โลกที่เชื่อมโยง 24/7 ทำงานเจ็ดวัน วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง ด้วยการรวมศูนย์ภายในตัวผมเอง ผมสามารถมุ่งความสนใจของผมต่อสิ่งที่สำคัญ พัฒนาความรู้สึกภายในของความเป็นอยู่ที่ดี และได้ความชัดเจนภายในการตัดสินใจ ความคิดสร้างสรรค์ที่สุดของผมมาจากการนั่งสมาธิ และการนั่งสมาธิสร้างความยืดหยุ่นจัดการระยะเวลาที่ยุ่งยาก ไม่มีข้อสงสัยมันได้ช่วยผมกลายเป็นผู้นำที่ดีขึ้น
ด้วยการมีส่วนร่วมกับดาไล ลามะ ณ การประชุมภายในซูริค ยอนเก มิงกรู รินโปเช และผมได้สำรวจ เราสามารถรวมกันแนวคิดทางพุทธศาสนาของการนั่งสมาธิความมีสติและความเป็นผู้นำแบบเเท้จริง พัฒนาผู้นำแบบมีสติอย่างไร ความเป็นผู้นำแบบมีสติมุ่งหมายที่จะพัฒนาผู้นำที่ตระหนักตนเอง
และเห็นอกเห็นใจ ด้วยการรวมกันของความเข้าใจทางตะวันตกของความเป็นผู้นำแบบแท้จริงกับภูมิปัญญาทางตะวันออกเกี่ยวกับจิตใจพัฒนามาหลายพันปีแล้ว
ดาไล ลามะ ได้อภิปรายความเป็นผู้นำภายในศตวรรษที่ 21 ผลลัพธ์ได้ถูกพิมพ์โดยฮาร์วาร์ด บิสซิเนส รีวิว ข้อความของเขาอย่างสั้นคือ ผู้นำวันนี้ต้องอยู่อย่างมีสติ ไม่เห็นแก่ตัว และเห็นอกเห็นใจ เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างองค์การ ชุมชน และสังคม ตรงที่บุคคลเจริญเติบโต รุ่งเรือง และร่วมมือร่วมใจ
ดาไล ลามะ พบว่าเรามนุษย์สามารถเรียนรู้อย่างมากจากผึ้ง ผึ้งไม่มีรัฐธรรมนูญ ตำรวจ หรือการอบรมศีลธรรม แต่มันทำงานด้วยกัน เพื่อที่จะอยู่รอด อาณานิคมอยู่รอดบนพื้นฐานความร่วมมือ มนุษย์มีรัฐธรรมนูญ ระบบกฏหมาย และกำลังตำรวจ เรามีความฉลาดอย่างมาก และความสามารถยิ่งใหญ่เพื่อความรักใคร่ แต่ทั้งที่มีคุณสมบัติผิดธรรมหลายอย่าง
เราดูเหมือนสามารถร่วมมือกันได้น้อย
ประเพณีทางพุทธศาสนาอธิบายสไตล์สามอย่างของความเป็นผู้นำแบบเห็นอกเห็นใจ กษัตรย์ นำจากแนวหน้า เสี่ยงภัย และสร้างตัวอย่าง คนพายเรือ ไปด้วยกันกับบุคคลภายในความดูแลของเขา และคนเลี้ยงแกะตามหลังฝูงแกะของเขา รักษาความปลอดภัย
ความเป็นผู้นำอย่างมีสติ เป็นการประชุมกันของตะว้นตกและตะวันออก เมื่อ ยองเกย์ มิงยูร์ รืนโปเช และบิลล์ จอร์จ ได้ค้นหาการรวมกันของหลักการของการนั่งสมาธิความมีสติของพุทธศาสนากับความเป็นผู้นำแบบทิศเหนือที่เเท้จริง การ
สัมนานี้แสดงกรอบความคิดใหม่ที่กล้าหาญ การฝึกอบรมการนั่งสมาธิได้ถูกรวมกับหลักการความเป็นผู้นำ พัฒนาความเป็นผู้นำเเบบมีสติ ทุ่มเท
สร้างโลกที่สันติภาพและสามัคคีมากขึ้น ยองเก มิงยูร์ รินโปเช เป็นดาวรุ่ง ท่ามกลางรุ่นใหม่ของอาจารยพุทธศาสนาชาวธิเบต ด้วยความสามารถที่
หายากนำเสนอภูมิปัญญาของธิเบตโบรานภายในวิถีทางที่สดใส หนังสือเล่มแรกของเขาคือ “The Joy of Living : Unlocking the Secret and of Happiness”

ไม่นานมานี้วารสารไทม์วาง “The Mindfullness Revolution” บนหน้าปกของมัน สามารถถูกมองเป็นการโฆษณาแฟชั่นธุรกุจล่าสุด หรือมันเป็นสัญ
ญานการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญภายในการคิดของผู้นำ
การใช้การปฏิบัติความมีสติ เช่น การนั่งสมาธิ ได้ยึดติด ณ บริษัทที่บรรลุความสำเร็จ เช่น กูเกิ้ล เจ็นเนอรัล มิลล์ โกลด์แมน แชค เเอปเปิ้ล เมด
โทรนิค และเอ็ทนา การมีส่วนช่วยต่อความสำเร็จของบริษัทเหล่านี้
จุดสำคัญของความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพเป็นความสามารถที่จะรวมหัวของเรา – ไอคิว กับหัวใจของเรา – อีคิว เราอาจจะมีไอคิวสูง แต่ถ้าเราไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ เราจะไม่บรรลุความสำเร็จ คุณลักษณะเหมือนเช่น
ความลุ่มหลง ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าอกเข้าใจ และความกล้าหาญ ทุกสิ่งเป็นเรื่องของหัวใจ และเราไม่สามารถสอนสิ่งเหล่านี้ภายในห้องเรียนของคณะบริหารธุรกิจ เราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ผ่านทางประสบการณ์ ด้วยการออกไปสู่โลก ด้วยการเรียนรู้ทักษะเหล่านี้
เพื่อการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่วันนี้ เราต้องมีหัวที่ยิ่งใหญ่ และหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ดังที่พระภิกษุนิกายเซนชาวเวียตนาม ดิช นัท ฮันห์ สอนผมหลายปีมาแล้ว
การเดินทางยาวที่สุดที่เราจะเคยใช้เป็นสิบเเปดนิ้วจากหัวของเราไปสู่หัวใจของเรา หัวใจของเราเป็นตรงที่คุณลักษณะความเป็นผู้นำที่สำคัญเหมือนเช่นความลุ่มหลง ความเห็นอกเห็นใจ และความกล้าหาญอาศัยอยู่ ด้วยการปฏิบัติความมีสติ ผู้นำแบบมีสติแสดงระดับที่สูงของความตระหนักตนเองและการกระทำอย่างตั้งใจ
ภายในหนังสือเล่มใหม่ของเขา “Focus” แดเนียล โกลแมน นักจิตวิทยา บิดาของความฉลาดทางอารมณ์ ได้ให้ข้อมูลสนับสนุนความสำคัญของความมีสติภายในการมุ่งความสามารถทางการคิดของใจ การเชื่อมโยงมันกับคุณลักษณะของหัวใจเหมือนเช่นความเห็นอกเห็นใจและความกล้าหาญ
เเดเนียล โกลแมน ได้อธิบายกรอบข่ายเพื่อความสำเร็จสามารถทำให้ผู้นำสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับนำทางความความสนใจและองค์การของพวกเขาไปตรงไหนด้วยการมุ่งตัวพวกเขาเอง บุคคลอื่น และโลกภายนอก
การนั่งสมาธิไม่ได้เป็นวิถีทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำแบบมีสติ ภายในห้องเรียนที่ผมสอน ณ คณะบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ด ผู้บริหารได้ร่วมขอบเขตของการปฏิบัติที่กว้างที่พวกเขาใช้ทำให้ใจของพวกเขาสงบ และได้ความชัดเจนภายในการคิด พวกเขาได้รายงานว่าตัวทำให้ความเป็นผู้นำของพวกเขาออกนอกรางไม่ใช่ขาดไอคิวหรือความแรงกล้า เพื่อพร้อมต่อความแรงกล้าอย่างรวดเร็วของชีวิตผู้บริหาร พวกเขาได้ปลูกฝังการปฏิบัติประจำวัน ทำให้พวกเขาฟื้นฟูจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาน บรรดาสิ่งเหลานี้คือ การสวดมนต์ การบันทึกประจำวัน การวิ่งออกกำลังกาย การเดินไกล
ณ แอปเปิ้ล ผู้ก่อตั้งสตีฟ จ้อป เป็นผู้นั่งสมาธิประจำ เขาได้ใช้ความมีสติ
สงบใจพลังทางลบของเขา มุ่งที่การสร้างผลิตภัณฑ์ไม่เหมือนใคร และท้าทายทีมของเขาบรรลุความเป็นเลิศ ภายใต้ความเป็นผู้นำของซีอีโอ มาร์ค เบอร์โทลินี เอ็ทนาได้ศึกษาอย่างกระตือรือร้นของทั้งการนั่งสมาธิและการเล่นโยคะ และผลกระทบทางบวกของมันต่อต้นทุนการดูแลสุขภาพของบุคคลของบริษัท ขอขอบคุณต่อวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง เอิรล แบคเคน
เมดโทรนิค มีห้องการนั่งสมาธิย้อนหลังไปยัง ค.ศ 1974 กลายเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันต่อความคิดสร้างสรรค์ของบริษัท
การปฏิบัติความมีสติไม่ได้จำกัดอยู่วัดพระพุทธศาสนาต่อไปอีกเเล้ว ที่จริงแล้วประโยชน์ของความมีสติต่อความเป็นผู้นำได้แพร่หลายอย่างมาก
การเป็นแท้จริงต้องการระดับที่สูงของความฉลาดทางอารมณ์ ดังที่อธิบายโดยเเดเนี่ยล โกลแมน ภายในหนังสือของเขาขื่อเดียวกัน องค์ประกอบศูนย์กลางของอีคิวคือ ความตระหนักตนเอง ความรู้สึกที่ลึกของตัวเราเอง
และผลกระทบของเราต่อบุคคลอื่น ภายในประสบการณ์ของผม ผู้นำส่วนใหญ่ต่อสู้นานหลายปีที่จะพัฒนาระดับนี้ของความตระหนักตนเอง บ่อยครั้งเหลือเกิน พวกเขาถูกเบี่ยงเบนโดยความต้องการบรรลุความสำเร็จตามสายตาของบุคคลอื่น และการยกย่องที่ตามมากับมัน
บริษัทมากขึ้นมองการฝึกอบรมความมีสติเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
เอ็ทนา ผู้รับประกันสุขภาพใหญ่ที่สุดลำดับสามของประเทศหุ้นส่วนกับ
มหาวิทยาลัยดุค ศึกษาการนั่งสมาธิและการเล่นโยคะ นักวิจัยพบการปฏิบัติเหล่านี้ลดระดับความเครียดลง 28% ปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ 20% ลดความเจ็บปวดลง 19% และปรับปรุงประสิทธิภาพของบุคคล 62 นาที
ต่อสัปดาห์
เมื่อ ค.ศ 2007 การสมรสของความมีสติและความเป็นผู้นำได้กลายเป็นความจริง ชาด หมิง ตัน วิศวกรซอฟท์แวร์ของกูเกิ้ล ได้เปิดโครงการนั่งสมาธิของกูเกิ้ล ปัจจุบันโครงการนี้สอนชาวกูเกิ้ล 2000 คนต่อปีนั่งสมาธิ
เพื่อกลายเป็นผู้นำที่ดีขึ้น เมื่อผมไปเยี่ยมกูเกิ้ล มันเป็นหลักฐานที่ความมีสติเป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งเบื้องหลังวัฒนธรรมนวัตกรรมและความสามัคคีของกูเกิ้ล
ความเป็นผู้นำแบบมีสติเป็นความคิดเกิดใหม่ภายในระยะเรื่มแรกของการพัฒนาและตรวจสอบความถูกต้อง มันให้คำสัญญาของการปฏิบัติที่มั่นคงยาวนานจากประเพณีตะว้นออกเหมือนเช่นศาสนาพุธภายในวิธีการทางโลก
พัฒนาระดับที่สูงขึ้นของความตระหนักตัวเองและความเห็นอกเห็นใจตัวเอง
ระดับที่สูงขึ้นของความสงบใจ ความชัดเจน ความเยือกเย็นของผู้นำแบบมีสติจะนำไปสู่ความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความเป็นผู้นำแบบมีสติจะช่วยรุ่นต่อไปของผู้นำแบบแท้จริงฟื้นฟูความไว้วางใจภายในความเป็นผู้นำของพวกเขา และสร้างองค์การที่ยั่งยืน เป้าหมายในที่สุดของมันคือ สร้างโลกที่สามัคคีและสันติภาพมากขึ้นเพื่อ
บุคคลทุกคนที่จะมีชีวิตอยู่
เมื่อ ค.ศ 1975 ภรรยาของผมและผมไปโครงการสุดสัปดาห์ของการนั่งสมาธิ
ณ เวลานั้น ผมทำงานไม่เคยหยุด กลับมาบ้านอย่างอ่อนแรง และทานอาหารเย็นสาย แม้แต่ผมถูกปฏิเสธต่อการประกันชีวิต เพราะว่าความดันโลหิตสูง ภายหลังการฝึกอบรม ผมเริ่มต้นนั่งสมาธิวันละสองครั้ง ไม่ได้เป็นการปฏิบัติทางจิตวิญญาน แต่เพื่อเหตุผลทางสุขภาพ สี่สิบต่อมา ผม
ยังคงปฏิบัติเป็นประจำ
การปฏิบัติของความเป็นผู้นำเบบมีสติให้เครื่องมือแก่เราวัดและจัดการชีวิต มันสอนเราให้ความสนใจต่อช่วงเวลาปัจจุบัน รับรู้ความรู้สึกและอารมณ์ ของเรา และรักษามันไว้ภายใต้การควบคุม โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ความเครียดสูง เมื่อเรามีความมีสติ เราตระหนักถึงการปรากฏของตัวเราเอง และวิถีทางที่เรากระทบบุคคลอื่น เราสามารถทั้งสังเกตุและ
มีส่วนร่วมภายในแต่ละช่วงเวลา ผมไม่ได้ใช้ถ้อยคำ ปฏิบัติ อย่างไม่สนใจ
เพื่อที่จะได้ความตระหนักและความชัดเจนเกี่ยวกับช่วงเวลาปัจจุบัน
เราต้องสามารถทำให้ใจของเราสงบ
การปฏิบัติสำรวจความรู้สึกตัวเองสำคัญที่สุดของผมคือ การนั่งสมาธิ
บางสิ่งบางอย่างผมพยายามทำยี่สิบนาทีสองครั้งต่อวัน ไม่มองถึงการปฏิบัติสำรวจความรู้สึกตัวเองที่เราเลือก การเดินตามความเป็นผู้นำแบบ
มีสติจะช่วยเราบรรลุความชัดเจนเกี่ยวกับอะไรสำคัญต่อเรา และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของโลกรายรอบเรา ความมีสติจะช่วยเรากวาดสิ่งไร้
สาระและความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่สำคัญ รักษาความลุ่มหลงต่องานของเรา และความเห็นอกเห็นใจต่อบุคคลอื่น และพัฒนาความสามารถที่จะให้อำนาจบุคคลภายในองค์การของเรา
บิลล์ จอร์จ ได้กล่าวว่า ผู้นำแบบลำดับชั้นและสั่งการแพร่หลายภายในศตรรษที่แล้วจางหายไปอย่างรวดเร็วภายในการยอมรับผู้นำแบบร่วมมือร่วมใจของวันนี้ เชื่อภายในความผู้นำที่กระจาย ณ ทุกระดับ ความคิดเก่าของผู้นำเป็นบุคคลฉลาดที่สุดภายในห้อง ดังเช่นซีอีโอของเอนรอน เจฟฟ์ สคิลลิ่ง ได้ถูกทดแทนโดยผู้นำด้วยระดับที่สูงของความฉลาดทางอารมณ์ ทักษะของอีคิว
สามารถฝึกอบรมได้ ผ่านทางการปฏิบัติความมีสติ และผู้นำปฏิบัติความมีสติ แสดงความฉลาดทางอารมณ์สูง ดังที่บิลล์ จอร์จ ได้กล่าวว่า แนวคิดเก่าของผู้นำได้ถูกทดแทนโดยสไตล์ใหม่ของผู้นำ ผู้นำแบบมีสติ
ผู้นำเบบมีสติทำการตัดสินใจจากหัวใจและจากจิตใจ พวกเขาตรวจสอบที่จะมั่นใจว่าอารมณ์ได้ถูกควบคุมด้วยการประเมินอย่างเหมาะสมกับทั้งสอง
อย่าง ผู้นำเบบมีสติไว้วางใจและให้อำนาจบุคคลของพวกเขา เมื่อปัญหาได้เกิดขึ้น ผู้นำแบบมีสติไม่ยอมกระโดดเข้าไปและเเก้ปัญหา พวกเขาจะถามคำถามที่เหมาะสมให้บุคคลของพวกเขาค้นหาคำตอบของพวกเขาเอง
ถ้าผลลัพธ์ทางลบเกิดขึ้นจากการตัดสินใจไม่ดี ผู้นำแบบมีสติใช้มันเป็นโอกาสเรียนรู้ ไม่ใช่การตำหนิบุคคลที่เกี่ยวข้อง

เมื่อบุคคลรู้สึกไว้วางใจและให้อำนาจตัดสินใจ การปฏิบัติงานของพวกเขาจะปรับปรุงดีขึ้น การยกย่องงานที่ดีและการตัดสินใจที่ดีสำคัญเท่าเทียมกัน บุคคลไม่เพียงแค่ถูกจูงใจด้วยรายได้ของพวกเขา พวกเขาต้องการรู้การมีส่วนช่วยของพวกเขาถูกยกย่องและชื่นชม ผู้นำแบบมีสติเพิ่มความผูกพันของบุคคลด้วยความมั่นใจว่าบุคคลถูกยกย่องและชื่นชมอย่างเหมาะสม
การพัฒนาวิถีทางความมีสติมากขึ้นต่อความเป็นผู้นำต้องใช้ความพยายามและความผูกพัน ขั้นตอนที่สำคัญคือ การเริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิความมีสติประจำวัน เราอาจจะถามตัวเราเอง การนั่งสมาธิความมีสติคืออะไร คำตอบค่อนข้างธรรมดา
มันเป็นการปฏิบัติที่ฝึกอบรมจิตใจของเราให้มุ่งอะไรเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาปัจจุบัน : อารมณ์ที่เรารู้สึก ความคิดของเรา สภาพแวดล้อมของเรา
และความรู้สึกของเรา เมื่อจิตใจถูกฝึกอบรมมุ่งที่ปัจจุบัน สิ่งรบกวนจากภายนอกและจากภายใน เช่น ความกังวล ถูกหยุดไว้ก่อน การให้พื้นที่เพื่อความชัดเจนและความตระหนัก
ภายในบทความของฮาร์วาร์ด บิสซิเนส รีวิว “Mindful Helps You Become a Better Leader” บิลล์ จอร์จ ได้อภิปรายวิชาที่นิยมแพร่หลายมาก ณ คณะบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ด เรียกว่าการพัฒนาความเป็นผู้นำแบบแท้จริง วิชานี้กระตุ้นผู้นำในอนาคตระบุค่านิยมและหลักการของพวกเขาให้ชัดเจน และพิจารณาคำนิยามความสำเร็จของพวกเขา บิลล์ จอร์จ ได้กล่าวถึงความมีสติทำให้ผู้นำยังคงอยู่ภายในปัจจุบันและรับรู้ความรู้สึกและอารมณ์อย่างไร เขามองว่าความมีสติทำให้สังเกตุและมีส่วนร่วมภายในแต่ละช่วงเวลา ในขณะที่รับรู้ผลกระทบที่อาจจะตามมาของการกระทำของเราต่อระยะยาว นี่ต้องการความสามารถที่จะสงบใจของเรา
ความมีสติเป็นการปฏิบัติของการสังเกตุตัวเองโดยไม่ตัดสิน ด้วยการมุ่งจิตใจของเราและเสียงข้างใน การปฏิบัติความมีสติมีทั้งการนั่งสมาธิ
การสวดมนต์ การบันทึกประจำวัน หรือการวิ่งออกกำลังกาย
ภายในโลกที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว ความมีสติทำให้เราสะสางใจที่วุ่นวาย มุ่งอะไรที่สำคัญและสร้างสรรค์ ผู้นำเหมือนเช่นอเรียนนา ฮัฟฟินตัน และสตีฟ จ้อป มีชื่อเสียงต่่อการปฎิบัติความมีสติของพวกเขา สตีฟ จ้อป ไม่ได้เป็นผู้บุกเบิกภายในเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ภายในเทคโนโลยีของสมองด้วย
สตีฟ จ้อป เป็นบุคคลหนึ่งของสองหรือสามไอคอนยิ่งใหญ่ที่สุด แข่งขันกับบิลล์ เกตส์ และมาร์ค ซัคเกอร์เบิรค เท่านั้น เขาถูกรู้จักกันมากที่สุดต่อความสามารถตำนานของเขา สร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรม
อะไรที่รู้จักกันน้อยคือ สตีฟ จ้อป เป็นผู้บุกเบิกภายในอะไรที่ครั้งหนึ่งเป็น
เทคโนโลยีจิตใจที่ลึกลับ การใช้การนั่งสมาธิความมีสติของเซน ลดความเครียด ได้ความชัดเจนมากขึ้น และเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ของเขา
สตีฟ จ้อปพบกับครูของเขา โอโตกาวะ เกือบทุกวัน วอลเตอร์ ไอเเซคสัน รายงานภายในชีวะประวัติของสตีฟ จ้อป พวกเขาไปปฏิบัตธรรมด้วยกัน พุทธศาสนานิกายเซน และการปฏิบัติการนั่งสมาธิที่มันได้กระตุ้น สร้างความเข้าใจของกระบวนการคิดของเขาเองของสตีฟ จ้อป
ต่อ 1300 ปี เซน ได้ปลูกฝังภายในนักปฏิบัติของพวกเขาความผูกพันต่อความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว ความเรียบง่าย และความเคร่งครัด
เมื่อสตีฟ จ้อป ปรากฏ ณ สนามบินซาน ฟรานซิสโก ตอนอายุ 19 ปี พ่อเเม่ของเขาจำเขาไม่ได้ สตีฟ จ้อป เลิกเรียนกลางคันที่มหาวิทยาลัยรีด เพิ่งจะใช้ไม่กี่เดือนภายในอินเดีย เขาได้ไปพบประเพณีนั่งสมาธิของภูมิภาค ศาสนาฮินดู ศาสนาพุธ และดวงอาทิตย์ของอินเดียทำให้ผิวของเขาดำลง เขาได้ทำการนั่งสมาธิภายในอินเดีย และเดินประจำรายรอบหมู่บ้านและสำนักงานของเขาด้วยเท้าเปล่า ใส่กางเกงยีนส์
แม้ว่าเราไม่สามารถทำนายมันจากนั้น การเดินทางของเขาจบลงด้วยการเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจ
ย้อนหลังไปบริเวนอ่าว ซาน ฟรานซิสโก สตีฟ จ้อป ได้ฝึกฝนการปฏิบัติการนั่งสมาธิของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาอยู่ภายในสถานที่ที่เหมาะสม ณ เวลาที่เหมาะสม ค.ศ 1970 ซาน
ฟรานซิสโก เป็นตรงที่พุทธศาสนานิกายเซนได้เริ่มต้นเจริญรุ่งเรืองบนพื้นดินอเมริกัน เขาได้พบชุนริว ซูซูกิ ผู้เขียน Zen Mind Beginner Mind และเเสวงหาการสอนของนักศึกษาคนหนึ่งของซูซูกิ โคบุน ชิโนะ โอโตกาวะ
สตีฟ จ้อป ได้พบกับโอโทกาวะเกือบทุกวัน พวกเขาได้ทำการปฏิบัติธรรมด้วยกัน
ภายในอดีต สตีฟ จ้อป ได้ใช้ความมีสติของเซน ฝึกอบรมสมองของเขา และนักประสาทวิทยาได้รับรองความถูกต้องแนวคิดของสตีฟ จ้อปเกี่ยวกับประโยชน์ทางธุรกิจของการนั่งสมาธิ
นับตั้งเเต่สตีฟ จ้อป เป็นผู้นั่งสมาธิประจำ เมื่อเขาเสียชีวิตตอนอายุ 56 ปีจากมะเร็งตับอ่อน สมองของเขายังคงมีสุขภาพดี แข็งเเรง และสร้างสรรค์ เหมือนที่เขาเป็นวัยหนุ่ม นี่แสดงภายในคุณภาพของงานของเขา ต่อเนื่อง
มาจนถึงจุดท้ายในที่สุดของเขา
สตีฟ จ้อป เป็นอัฉริยะเบื้องหลังไมโครคอมพิวเตอร สมาร์ทโฟน และเเทปเลต คอมพิวเตอร์ และเขาได้ทิ้งไว้ข้างหลังอาณาจักรเทคโนโลยีดำเนินต่ออย่างเนื่องกระทบอย่างมากต่อโลกวันนี้ แต่อะไรเป็นความลับเบื้องหลัง
ความสำเร็จอย่างผิดธรรมดาของเขา สตีฟ จ้อป ความคิดสร้างสรรค์ของเขา ขับเคลื่อนเพื่อนวัตกรรม เป็นหนี้อย่างมากต่ออิทธิพลพุทธศาสนานิกายเซน การเผชิญครั้งแรกของสตีฟ จ้อปกับพุทธศาสนาเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ 1970 เมื่อปรัชญาของเซน ศาสนาพุทธ และศาสนาฮินดู ได้กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายภายในเคลิฟอร์เนีย ตรงที่เขาถูกเลี้ยงดู
นานหลายปีเขาไดัพบทุกสัปดาห์ และบางครั้งแม้แต่ทุกวันกับพระภิกษุสงฆ์ชื่อ โคบุน ชิโน โอโตกาวะ ช่วยเขาสอดคล้องกันระหว่างความทะเยอทะยานทางวัตถุของเขา และเป้าหมายจิตวิญญานที่สูงของเขา การพบกันเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการสร้างแนวคิดของสตีฟ จ้อปภายในโลกและปรัชญาส่วนบุคคลของเขา พระภิกษุสงฆ์ โอโตกาวะ เป็นครูจิตวิญญาน
ของสตีฟ จ้อป เขาได้พบกับสตีฟ จ้อปครั้งแรก เมื่อเขาเพิ่งจะกลับจากการเดินทางของเขาไปอินเดีย โอโทกาวะพบว่าสตีฟมีวินัยโดดเด่นมาก และ
สตีฟ จ้อป พบว่าเขาเป็นครูที่น่าชื่นชม ความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่า 20 ปี จนโอโตกาวะเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ 2002 สตีฟ จ้อป ได้เคยพิจารณาทำอะไรกับส่วนที่เหลือของชีวิตของเขา ทางเลือกหนึ่งที่เขาชอบมากที่สุดคือ การทุ่มเทตัวเขาเองต่อเซน
สตีฟ จ้อป ได้พัฒนาวิถีทางของการทำงานที่ยืนยันว่าพุทธอุดมคติปรากฏอยู่ภายในทุกด้านของชีวิตส่วนบุคคลและอาชีพของเขา คุณลักษณะของปรัชญาพุทธศาสนาสามารถถูกมองเห็นอย่างชัดเจนภายในผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ล และจรรยาบรรณการทำงานของสตีฟ จ้อป เขาเชื่อตัวเขาเองอยู่บนการแสวงหาอย่างสม่ำเสมอเพื่อความสมบูรณ์ เขาเชื่อว่าผลิตภัณฑ์สามารถปรับปรุงได้อยู่เสมอ เขาได้พยายายามปรับปรุงอะไรที่เขาสร้าง
อยู่เสมอ
ที่จริงแล้วพุทธอุดมคติสามารถถูกมองเห็นภายในความสวยงามที่แสดงคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ล การออกแบบเรียบเป็นมันและสง่างาม
ของแอปเปิ้ลเชื่อมโยงกับพุทธอุดมคติของความบริสุทธิ์ ความเรียบง่าย และความมุ่งหมาย อยู่ ณ แกนของปรัชญาส่วนบุคคลของสตีฟ จ้อป นอกจากนี้
วิถีทางของเขาต่อการออกแบบผลิตภัณฑ์จุดเชื้อด้วยความคิดของความเข้าอกเข้าใจ และเชื่อมโยงต่อความต้องการของลูกค้า ยกตัวอย่าง วิวัฒนาการของเม้าส์สัญลักษณ์ มันเป็นการออกแบบทางอุตสาหกรรมเทียบเท่า เอ็นโซ วงกลมวาดด้วยมือ รูปแบบพื้นฐานที่สุดของทัศนศิลป์
ของเซน แต่เซนไม่ได้เพียงแค่บอกความสวยงามที่สตีฟ จ้อปมีความผูกพันอย่าง
เเรงกล้า มันได้สร้างวิถีทางที่เขาเข้าใจลูกค้าของเขาด้วย เขาได้กล่าวอย่างมีชื่อเสียงว่า งานของเขาไม่ใช่ให้ลูกค้าอะไรที่พวกเขาต้องการ แต่ภายในการค้นหาอะไรที่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องการ เเทนที่จะขึ้นอยู่กับการวิจัยตลาด
สตีฟ จ้อป ได้ปรับปรุงความเข้าอกเข้าใจของเขา การรู้โดยความรู้สึกของตัวเองเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าของเขา
สามสิบปีที่ผ่านมา เวทมนต์ของโลกธุรกิจคือ ละโมภเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่า – ดังภาพยนตร์ Wall Street ได้กล่าวว่า …… ละโมภเพื่อชีวิต เพื่อเงิน เพื่อ
ความรัก เพื่อความรู้ พุ่งขึ้นไปข้างบนของมวลมนุษย์
สตีฟ จ้อป ได้ขอร้องให้แตกต่าง ต่อเขาแล้ว มันไม่ได้เป็นละโมภที่ทำให้บุคคลวิวัฒนาการ มันเป็นความมีสติ ท่ามกลางความบ้าคลั่งของละโมภเป็นสิ่งที่ดี สตีฟ จ้อป ได้รับเอาความมีสติไว้ ตรงกันข้ามอย่างแท้จริง ความมีสติมุ่งภายในและความลึกลับ ความละโมภมุ่งภายนอกและวัตถุ
แปดปีต่อมาภายหลังการตายของจ้อป และสามสิบปีภายหลังที่เขาได้รับเอาความลึกลับ นักประสาทวิทยาได้พิสูจน์ว่าสัญชาติญานของเขาถูกต้อง
การตรวจสมองแสดงว่าการนั่งสมาธิความมีสติทำให้เราเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น

อะไรเป็นวิถีทางรวดเร็วที่สุดฝึกอบรมกล้ามเนื้อความเข้าอกเข้าใจของเรา ดังศตวรรษของนักปฏิบัติเสนอแนะว่า มันเป็นการนั่งสมาธิ เมื่อเราได้สิ่งนี้มาพิจารณา มันง่ายที่จะมองเห็นว่าต่อสตีฟ จ้อป การเจริญเติบโตธุรกิจของเขา และการปลูกฝังความตระหนักของเขาไม่ได้เป็นความพยายามที่ขัดแย้งกัน เมื่อเขาเสียชีวิต นิวยอร์ค ไทม์ ได้ใช้คำพูดเปรียบเทียบที่กระตุ้นเกี่ยวกับอะไรที่เขาทำเพื่อสังคม เราสัมผัสโลกที่น่าเกลียดของเทคโนโลยี และทำให้มันสวยงาม
มันเป็นชื่อเสียงที่สตีฟ จ้อป ปฏิบัติเซน มันมีอิทธิพลต่อปรัชญาการออกแบบของเขา และสะท้อนภายในความเรียบง่ายของแอปเปิ้ล ผมพบ
ศาสนาพุทธอยู่เสมอ โดยเฉพาะศาสนาพุทธนิกายเซนญี่ปุ่น ต่อความสวยงามล้ำเลิศ สิ่งล้ำเลิศที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเป็นสวนรายรอบ
เกียวโต
สตีฟ จ้อป เชื่อมั่นภายในพลังของความเรียบง่ายเป็นกฏการออกแบบไปสู่จุดสูงสุดของพวกเขา….ไอพอด ไอโฟน และไอเเพด …ความต้องการที่สำคัญของเขาคือ ความเรียบง่าย ถ้าเขาต้องการเพลงหรือฟังค์ชั่น เขาควรจะได้ภายในสามคลิก เขากล่าวว่า จุดมุ่งและความเรียบง่าย เป็นรากฐานของจริยธรรมของแอปเปิ้ล ความเรียบง่ายยากกว่าความซับซ้อน เราต้องทำงานหนักทำให้ความคิดของเราชัดเจนสร้างมันให้เรียบง่าย แต่มันคุ้มค่าเมื่อจบสิ้น เพราะว่าเมื่อเราไปที่นั่นได้ เราสามารถย้ายภูเขาได้ การออกแบบอย่างเรียบง่ายของผลิตภัณฑ์ของเขา ตั้งแต่เเมคอินทอชเครื่องแรกไปสู่ไอเเพดที่เพรียวบาง แสดวความเรียบง่ายของความสวยงามดังเช่นเซนของญี่ปุ่น
ซีอีโอก่อนหน้านี้ของเป้ปซี่โค จอห์น สคัลลี่ย์ กล่าวว่า เมื่อเดินเข้าไป
ภายในอพาร์ตเม้นท์ของสตีฟ จ้อป มีความรู้สึกของการออกแบบอย่างเดียวกัน
ผมจำได้ว่าบ้านของจ้อปเกือบไม่มีเครื่องตกแต่งเลย เขาเพียงแค่มีรูป
ภาพของไอสไตน์ที่เขาชื่นชมอย่างมาก และเขามีตะเกียงทิฟฟานีและ
เก้าอี้ และเตียงนอน สตีฟ จ้อป ได้เล่าว่าเขาเคยชักจูงสคัลลี่ย์มาทำงาน
กับแอปเปิ้ลด้วยการถามว่า คุณต้องการใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตขายน้ำ
หวานไปจนตายหรือ หรือคุณต้องการโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลก
วิสัยทัศน์ส่วนบุคคลและบริษัทชองเขาแน่นอนติดอยู่กับเซน ภูมิปัญญา
และความเห็นอกเห็นใจ วิสัยทัศน์ของเซนคือมนุษย์สามารถเข้าใจความ
เป็นจริง ถ้าพวกเขามุ่งจิตใจของพวกเขาบนมัน และพัฒนาภูมิปัญญา
สตีฟ จ้อป ได้กล่าวว่า
“ถ้าเราเพียงแค่นั่งและสังเกตุ เราจะมองเห็นความไม่สงบใจของเรรเป็นอย่างไร ถ้าเราพยายามทำมันให้สงบ มันทำให้มันเเย่ลงเท่านั้น แต่เวลาผ่านไปมันจะสงบ และเมื่อมันสงบ เรามีโอกาสที่จะยินสิ่งที่ลึกลับมากขึ้น นั่นเมื่อสัญชาติญานของเราเริ่มต้นเบ่งบาน และเราเริ่มต้นมองเห็นสิ่งชัดเจนมากขึ้น และอยู่ภายในปัจจุบันมากขึ้น ใจของเราเพียงแค่ช้าลง และเรามองเห็นสิ่งที่ขนายออกไปอย่างมากมายภายในช่วงเวลา เรามองเห็นมากขึ้นกว่าเราสามารถมองเห็นก่อนหน้านี้ มันเป็นวินัย เราต้องปฏิบัติมัน”
จงสังเกตุถ้อยคำที่สตีฟ จ้อปใช้ข้างบนอธิบายการเจริญเติบโตของสัญชาติญานเป็นผลลัพธ์ของการปฏิติการนั่งสมาธิ : เบ่งบาน
อะไรที่สตีฟ จ้อปอธิบายภายในข้อความนั้นเป็นประเภทเฉพาะของการนั่งสมาธิ โดยทั่วไปเรียกกันว่า “ความมีสติ” สอนกันภายในพุทธศาสนานิกายเซน มาก่อนของจีน ลัทธิเต๋า เมื่อสตีฟ จ้อป พูดถึงไม่นานก่อนที่เขาเสียชีวิต เขาได้ปฏิบัติการนั่งสมาธิมานานหลายปี ในขณะนี้มันชัดเจนว่าสตีฟ จ้อปไปไกลข้างหน้าของเวลาของเขาภายในเทคโนโลยีของจิตใจเเล้ว ดังที่เขาอยู่ภายในเทคโลโนยีคอมพิวเตอร์
การวิจัยของประสาทวิทยาพิสูจน์ว่าวิธีการนั่งสมาธิมานานหลายพันปีมีผลกระทบทางประโยชน์ต่อทั้งจิตใจของเราและร่างกายของเรา เทคโนโลยีจิตใจของการนั่งสมาธินับแต่นั้นมาได้กลายเป็นกระเเสหลัก บริษัทที่หลากหลาย เช่น ทาร์เก็ต กูเกิ้ล เจ็นเนอรัล มิลล์ และฟอร์ด ได้เริ่มต้นสอนบุคคลของพวกเขาด้วยความมีสติอย่างเดียวกับที่สตีฟ จ้อปได้รับเอาไว้เมื่อทศวรรษที่ผ่านมา

สตีฟ จ้อป และจอห์น สคัลลี่ย์ ได้พบกันทุกวันสุดสัปดาห์เป็นเวลาห้าเดือน เมื่อสตีฟ จ้อป ได้พยายามชักจูงจอห์น สคัลลี่ย์ มาทำงานที่แอปเปิ้ล ตอนนั้นจอห์น สคัลลี่ย์ เป็นซีอีโออยู่ ณ เป้ปซี่โค พวกเขาได้พบกันครั้งแรกหลังวันขอบคุณพระเจ้าเมื่อ ค.ศ 1982 เราต้องรู้จักกันและกันให้ดี และจอห์น สคัลลี่ย์ ได้กล่าวว่า ” สตีฟ ผมได้พิจารณาแล้ว ผมคงจะไม่มาอยู่แอปเปิ้ล” สตีฟ จ้อป หยุดคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง และเขาอยู่ห่างผมไม่มาก เขามองหน้าผมและพูดว่า ” คุณต้องการขายน้ำอัดลมไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณหรือ
หรือคุณจะมากับผม เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ด้วยคำพูดทิ้งท้ายนี้ ได้ทำให้จอห์น สคัลลี่ย์ ต้องเปลี่ยนใจ ตาม
สตีฟ จ้อป มาอยู่ที่แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ในที่สุด
จอห์น สคัลลี่ย์ ได้กล่าวว่า เราน่าจะจำสตีฟ จ้อป ได้ว่าเขาเป็นยักษฺ์ใหญ่ภายในอุตสาหกรรม บุคคลที่เปลี่ยนแปลงโลก สร้างหลุมภายในจักรวาล เมื่ผมรู้จักสตีฟ จ้อป เขามีอายุ 27 ปี เขายังอยู่ขั้นตอนเริ่มแรกของการสร้างหลักการพื้นฐานที่แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ได้ถูกสร้างขึ้นมาวันนี้
เมื่อผมไปปรากฏตัวที่แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ผมไม่แน่ใจว่าผมได้อยู่ ณ
ถูกที่แล้ว เพราะว่าอาคารพาณิชย์รายรอบไม่มีเลย ผมมองเห็นแต่เพียงบ้าน สตีฟ จ้อป อยู่บนชั้นสองของบ้าน อาคารที่สตีฟ จ้อป กำลังสร้างแมคอินทอชอยู่ และมีเสาธงโจรสลัดโบกสบัดอยู่บนสุดของอาคาร
จอห์น สคัลลี่ย์ ซีอีโอของเป้ปซี่ โค ได้ตัดสินใจลาออกจากบริษัท เพื่อ
ที่จะเข้ามาฟื้นฟูแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ตามการชักชวนของสตีฟ จ้อป

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *