กุฎีช่อฟ้า ตอนที่ 1

กุฎีช่อฟ้า ตอนที่ 1
จรัญ มะลูลีม
มัสญิด (มัสยิด) หรือศาสนสถานเพื่อการปฏิบัติศาสนกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคารพภักดีพระเจ้าประจำวันที่เรียกว่าการละหมาดและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม รวมไปถึงการอบรมเยาวชนภาคฤดูร้อนหรือการกิจกรรมอื่นๆ สำหรับชาวมุสลิมแล้วพวกเขาจะมีศูนย์รวมอยู่ที่มัสญิด
ในส่วนนิยามและความหมายของมัสญิดนั้น ผศ.ดร.วิศรุต เลาะวิถี อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ สาขาอิสลามศึกษา และภาษาอาหรับ มหาวิทยาลัยรังสิตและรองประธานกรรมการกลางอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า มัสญิดเป็นองค์กรสำคัญในอิสลาม โดยมีส่วนสำคัญในการพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์และพัฒนามุสลิมให้เป็น “มุอ์มิน” หรือศรัทธาชนที่สมบูรณ์
นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน มัสญิดได้กลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่บ่งชี้ถึงความเจริญรุ่งเรือง และความเสื่อมถอยของชุมชนนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับมัสญิดในฐานะองค์กรแห่งการพัฒนาอย่างครบวงจร มิใช่ในฐานะเป็นเพียงสถานที่ละหมาดหรือการแสดงการภักดีเท่านั้น เพราะมัสญิดยังเป็นองค์กรที่ต้องฉายภาพแห่งบทบาทในการพัฒนาประชาคมมุสลิมอย่างครบมิติตามศาสนบัญญัติอิสลามอีกด้วย
ยิ่งกว่านั้น เมื่อพิจารณาถึงสถานภาพของมัสญิดตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม ปี 2540 แล้ว มาตรา 4 ระบุว่ามัสญิด หมายถึงสถานที่ซึ่งมุสลิมใช้ประกอบศาสนกิจ โดยจะต้องมีการละหมาดวันศุกร์เป็นปกติ และเป็นสถานที่สอนศาสนาอิสลาม
กล่าวคือ เป็นสถานที่ ทั้งเพื่อการประกอบศาสนกิจทุกรูปแบบและการจัดการเรียนกรสอนวิทยาการอิสลามแก่มุสลิมทุกเพศและวัยอีกด้วย
โดยถือเป็นการสั่งสมความรู้ ความเข้าใจในสารัตถะอิสลามและเตรียมความพร้อมมุสลิมสู่การปฏิบัติศาสนกิจและการดำเนินชีวิตในฐาน “มุสลิม” และ “มุอ์มิน” หรือ “ศาสนิกชน” ที่ดีของสังคมประเทศชาตินั่นเอง
ตามนัยแห่งคัมภีร์กุรอาน ได้กล่างถึงการบริหารกิจการมัสญิดสู่เป้าหมาย ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการพัฒนาประชาคมมุสลิม ทั้งด้านกายภาพ และจิตภาพดังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน ดังนี้
ความว่า “แท้จริง ผู้ที่จะพัฒนาบรรดามัสญิดของอัลลอฮ์นั้นคือ ผู้ที่มีศรัทธามั่นต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะฮ์ (วันสิ้นโลก) ผู้ดำรงการละหมาด ผู้จ่ายซะกาต (การให้ทานตามหลักศาสนบัญญัติ) และผู้ไม่มีความยำเกรงบุคคลใด นอกจากอัลลอฮ์ ดังนั้นจึงเป็นที่หวังได้ว่าชนเหล่านี้ จะเป็นผู้ได้รับทางนำอย่างแท้จริง” (อัตเตาบะฮ์ : 18)
ส่วนนัยแห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม ปี 2540 ม้สญิด ถือเป็นองค์กรศาสนาอิสลามมีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสญิด ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากปวงสับบุรุษประจำมัสญิดให้ปฏิบัติหน้าที่ รวม 12 ข้อ และส่วนหนึ่งจากอำนาจหน้าที่ดังกล่าวคือการสนับสนุนสับบุรุษในการปฏิบัติศาสนกิจ ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคี และช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางที่ชอบ รวมทั้งส่งเสริมการศึกษา ตลอดจนการจัดกิจกรรมที่ไม่ขัดต่อบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคำว่ากุฏีช่อฟ้าที่กล่าวถึงในบทความนี้นอกจากจะเป็นชื่อของมัสญิดที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีความผูกพันไปถึงพี่น้องมุสลิม พี่น้องร่วมศาสนิกและจังหวัดอยุธยาอีกด้วย
ทั้งนี้ในสมัยกุรงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ถือเป็นหนึ่งในยุคที่การต่างประเทศรุ่งเรืองมากยุคหนึ่ง นานาอารยะประเทศต่างนิยมหลั่งไหลมาติดต่อการค้าและเจริญสัมพันธไมตรีและในบรรดาชาวต่างชาติเหล่านี้ก็มีมุสลิมทั้งจากอาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย และมลายูได้เข้ามาทำการค้า ตั้งรากฐานบนแผ่นดินไทย
ประชากรมุสลิมในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ในการค้าขายและนับถือศาสนา ตลอดจนบางส่วนได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้รับราชการบ้านเมืองในตำแหน่งสำคัญโดยไม่นำเรื่องศาสนามาเป็นเครื่องกีดกัน
เช่นเจ้าพระยาเฉคอะห์หมัดรัตนาราชเศรษฐี ว่าที่สมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ ในสมัยของพระเจ้าทรงธรรม และดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาบวรราชนายกตำแหน่งจากวางมหาดไทย ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และยังได้โปรดพระราชทานที่ดินให่ตั้งถิ่นฐานอยู่ภายในบริเวณเกาะเมือง
ชาวมุสลิมส่วนอื่นๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณรอบเกาะเมือง เช่น ปทาคูจาม ลุมพลี และรวมถึงบริเวณคลองเทศและคลองขุนละครไชย (คลองตะเคียน) อีกด้วย
คลองถัดจากแม่น้ำเจ้าพระยามาออกในทางทิศเหนือข้างวัดนักบุญยอเซฟ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเรียกว่า คลองขุนละครไชย แต่ชาวบ้านจะเรียกขานกันว่าคลองตะเคียน ตามเอกลักษณ์ของคลองที่มีต้นตะเคียนใหญ่ขึ้นงดงามตระหง่านอยู่บริเวณปากคลอง บริเวณนี้เองที่เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวมุสลิมมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาเป็นกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ มุสลิมส่วนใหญ่ได้อพยพตามไป เหลือเพียงส่วนน้อยที่ยังตั้งรกรากอยู่ที่อยุธยาตามเดิม โดยเฉพาะในช่วงต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการอพยพมุสลิมจากภาคใต้ขึ้นมาสู่ภาคกลางเป็นจำนวนมาก รวมถึงขึ้นมาอาศัยอยู่ในบริเวณคลองตะเคียนด้วย จึงมีการบูรณะมัสญิดตามมาในภายหลัง
รูปทรงมัสญิดในยุคนั้นเป็นอาคารไม้ ไม่มีลักษณะเด่นตามสถาปัตยกรรมอิสลามแต่อย่างใด โดยมีโต๊ะกี (เป็นคำเรียกผู้อาวุโสที่เป็นชาย) แย้ม (ไม่มีนามสกุล) เป็นผู้นำในการซ่อมสร้างมัสญิดและได้รับการยอมรับให้เป็นอิหม่าม ในขณะนั้นมัสญิดยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ แต่ชาวบ้านมักเรียกขานกันว่า “สุเหร่าต้นโพธิ์” ตามเอกลักษณ์ของมัสญิดที่มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่หน้ามัสญิด
ครั้งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) แห่งราชวงศ์จักรีได้เสด็จประพาสทางชลมาคร เยี่ยมพสกนิกรและผ่านมาถึงคลองตะเคียน โต๊ะกีแย้มได้ทูลขอให้ทรงตั้งชื่อมัสญิด และเนื่องทรงของมัสญิดในสมัยนั้นเป็นรูปลักษณ์ของอาคารสมัยนั้นที่มีการผสมผสานกับสถาปัตยกรรมไทยคล้ายช่อฟ้า จึงทรงให้พระนามว่า “มัสญิดกุฎีช่อฟ้า”
มัสญิดที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือได้พระราชทานนามมักจะมีคำว่า “กุฎี” นำหน้าเช่น มัสญิดกุฎีหลวง มัสญิดกุฎีขาว ครั้งหนึ่งเคยมีการใช้ชื่อมัสญิดเพียงแค่มัสญิดช่อฟ้า จนกระทั่งในช่วงฉลอง 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ คณะกรรมการมัสญิดฯ จึงได้มีมติให้กลับมาใช้ชื่อมัสญิดกุฎีช่อฟ้า ตามเดิมจนถึงปัจจุบัน
ในปี 2470 โต๊ะกียะอ์ฟัด ตะเคียนคาม (บุตรโต๊ะกีแย้ม) ทำหน้าที่อิหม่ามมีการบูรณะมัสญิดให้เป็นอาคารมัสญิดที่มั่นคงขึ้น ขนาดกว้าง 6 วา ยาว 24 วา และมีอาคารไม้ ใช้จัดเลี้ยงขนาดกว้าง 4 วา ยาว 30 งา เปิดทำการสอนศาสนาอิสลามอย่างจริงจังและเป็นที่สอนสามัญ ประชาบาลภาคบังคับ ชั้น ป.4 ของทางราชการด้วยเรียกว่า “โรงเรียนมัสญิดกุฎีช่อฟ้า” ซึ่งในปี 2504 ได้ตั้งเป็นโรงเรียนบ้านคลองตะเคียน หมู่ 2 (วันครู 2504)
ในช่วงปลายปี 2480 โต๊ะกีหริ่ม ตะเคียนคาม (บุตรโต๊ะกียะอ์ฟัด ตะเคียนคาม) ทำหน้าที่เป็นอิหม่าม ได้เปิดสอนวิชาที่เกี่ยวช้องกับศาสนาอิสลาม เรียกชื่อว่า สถาบันกุรอานียะฮ์ เมื่อโต๊ะกีหริ่มถึงแก่กรรม ฮัจยีอุมัร เลาะวิถี (บุตรฮัจยีชุโก๊ร เลาะวีถี) เป็นอิหม่าม และเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนรุกียุ้ลมะอาเรฟ” มีท่านอาจารย์มูซา ฮานาฟี บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เป็นบรมครูผู้ถ่ายทอดปลูกฝังวิชาการอิสลามอันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
การหลั่งไหลมาศึกษาที่มัสญิดกุฎีช่อฟ้าอย่างล้นหลามจนล้นไปถึงใต้ถุนอาคารจัดเลี้ยงได้จุดประกายแนวคิดให้ ตวน ฮัจยีฮาซัน วงศ์การีมกับผู้อาวุโสในคลองตะเคียนคิดจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบ จึงก่อตั้ง สมาคมอิสลามศรีอยุธยา เพื่อส่งเสริมการศึกษา ซึ่งอยู่ในช่วงภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นจุดกำเนิดของโรงเรียนอิสลามศรีอยุธยา จนถึงทุกวันนี้
สิ่งก่อสร้างที่คู่มากับมัสญิดกุฎีช่อฟ้าคือสะพานเดินเท้าที่ยาวที่สุดในอยุธยา เดิมสร้างด้วยไม้ ทอดยาวจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านโรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ (อาคารไม้หลังเก่า) มาตามแนวลำคลองจนถึงมัสญิด โดยการเสียสละอุทิศแรงกายของชาวคลองตะเคียน เป็นความภาคภูมิใจยิ่ง ถึงกับมีการฉลองนานเจ็ดวันเจ็ดคืน ปัจจุบันเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ตามโครงการสร้างงานในชนบท (กสช.)
ปี 2512 มัสญิดกุฎีช่อฟ้ามีการบูรณะครั้งใหญ่ โดยมีการขยายมัสญิดทางด้านซ้ายและด้านขวา และต่อมาอาคารจัดเลี้ยงได้ทรุดโทรมลง จนในปี 2526 จึงได้ก่อสร้างเป็นอาคารเอนกประสงค์ 3 ชั้น ใช้เวลาก่อสร้างนาน 9 ปีเศษ จนในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2535 อ.ประเสริฐ มะหะหมัด จุฬาราชนตรี (ในขณะนั้น) ได้มาเป็นประธานเปิดอาคาร ปัจจุบันขยายถึงชั้น 4 เพื่อรองรับความเติบโตด้านการศึกษาและการฝึกอบรม
ด้วยความพร้อมด้านอาคาร สถานที่และบุคลากร มัสญิดกุฎีช่อฟ้าจึงได้รับอนุญาตจากรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น ให้จัดตั้งเป็น “ศูนย์อบรมศาสนาอิสลามและจริยธรรมประจำมัสญิด” ตามหนังสือที่ อย. 1/2541 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2541 ใช้หลักสูตรการศึกษาภาคศาสนาของสมาคมคุรุสัมพันธ์
ปี 2541 มัสญิดกุฎีช่อฟ้าได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 10 “มัสญิดพัฒนาตัวอย่าง” จาก 2,500 มัสญิดทั่วประเทศโดยกรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการและมีนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้มอบรางวัล ปี 2543 อิหม่ามอุมัร (มูฮำหมัด) เลาะวิถี ลาออกเมื่อวันที่ 19 กรกฏาคม 2543 หลังจากทำหน้าที่มา 63 ปี และอาจารย์ฮาซัน ฮานาฟี (บุตร อ.มูซา ฮานาฟี) ได้รับการคัดเลือกจากบรรดาสับบุรุษ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 ให้ทำหน้าที่อิหม่ามมัสญิดกุฎีช่อฟ้า สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน (ดูรายละเอียดของเรื่องนี้ใน ผศ. วิศรุต เลาะวิถี ประวัติมัสญิกุฎีช่อฟ้า , จุลสารที่ระลึก 45 ปี ช.ม.ช ชมรมมุสลิมมัสญิดกุฎีช่อฟ้า , ธันวาคม 2563 , หน้า 4-6)







