รอยสักฮาร์เลย์ เดวิดสัน บนร่างกายของเรา
รอยสักฮาร์เลย์ เดวิดสัน บนร่างกายของเรา
ทำไมเราทำอะไรที่เราทำ ทำไมเราลุกขึ้นจากที่นอนตอนเช้า และทำไมเรา
ควรจะดูแลใครก็ตาม ไซมอน ซีเนค ถามตัวเขาเองคำถามเหล่านี้หลายปีที่
ผ่านมา และเขาใช้หลายปีแสวงหาคำตอบ ภายในหนังสือขายดีที่สุดของเขา
“Start With Why” ไซมอน ซีเนค ได้แสดงตัวอย่่างที่มีพลังของบุคคลสร้าง
บริษัทที่บรรลุความสำเร็จอย่างมาก บนพื้นฐานของความลุ่มหลง วิสัยทัศน์ และความมุ่งหมาย – “ทำไม” ของพวกเขา
ผ่านทางการวิจัยของเขา ไซมอน ซีเนค ได้ค้นพบว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ระบุ
ความมุ่งหมายและเดินตามมัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาเรียกชื่อกระบวนการนี้ว่า”วงกลมทอง” อธิบายว่ามันเริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ – ทำไม ก้าวไปสู่ระยะดำเนินการ – อย่างไร และจบลงด้วยผลิตภัณฑ์ – อะไร แต่กระนั้นผู้นำหลายคนทำอย่างไม่ถูกต้อง การเริ่มต้นด้วย อะไร และอย่างไร และจบลงด้วย ทำไม
ดังนั้นพวกเขาได้เผชิญกับความล้มเหลว
วงกลมทองประกอบด้วยวงกลมสามวง ด้วย ทำไม อยู่ภายในศูนย์กลาง อย่างไร เป็นวงกลมต่อไป และ อะไร เป็นวงกลมนอกสุด ภายในธุรกิจ อะไร
ให้รายละเอียดผลิตภัณฑ์อะไรที่นำเสนอ อย่างไรอธิบายอะไรบรรลุผล
อย่างไร และทำไม ระบุความมุ่งหมายของธุรกิจ ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจอย่างชัดเจนของทำไม หรือมองไม่เห็นเหตุผลตลอดหลายปี การทำ
กำไรไม่ใชทำไม แต่เป็นผลลัพธ์ของอะไรและอย่างไร การรู้เหตุผลทำไม
ของเราสามารถบันดาลใจและนำบุคคลอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราอาจจะคิดว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการถาม “ทำไม” มากขึ้น ทำนอง
เดีวกับกฏ “5 ทำไม” ของโตโยต้า แต่มันไม่ใช่เกี่ยวกับหนังสือหนังสือเล่มนี้
เลย มันเกี่ยวกับการถามตัวเราเอง “ทำไม” เรากำลังทำอะไรที่เราทำอยู่
และเก็บและรักษา “ทำไม” นี้ไว้อย่างไร “บุคคลไม่ได้ซื้ออะไรที่เราทำ พวกเขาซื้อ ทำไมเราทำมัน” ไซมอน ซีเนค พูด ดังนั้น “ทำไม” ของเราคืออะไร และเราพบมันอย่างไร ทำไมของเราเป็นความมุ่งหมายของเรา ความเชื่อของเรา และเหตุผลที่องค์การดำรงอยู่ มันเป็นถ้อยแถลงค่านิยม ความคิดเบื้องหลังบริษัทของเรา
ผู้เขียนได้ให้ตัวอย่างของบริษัทเหมือนเช่นแอปเปิ้ล ฮาร์เลย์ เดวิดสัน
วอลมาร์ท หรือวอลท์ ดีสนี่ย์ สร้างความพอใจเดินตามคล้ายลัทธิ บุคคล
ถูกดึงต่อบริษัทเหล่านี้ เพราะว่าพวกเขาเชื่ออะไรที่บริษัทเชื่อ
บริษัทหลายบริษัทสูญเสียจุดมุ่ง เมื่อพวกเขาเริ่มต้นมุ่งที่การแข่งขันกับ
บริษัทอื่น และไม่ได้มอง “ทำไม” ที่แท้จริงของพวกเขา และได้เเข่งขัน
ตัวพวกเขาเอง และความสำเร็จในอดีตของพวกเขา
ไซมอน ซีเนค ได้พูดเกี่ยวกับบริษัทที่สูญเสียการมองเห็นของ “ทำไม” ต้นกำเนิดของพวกเขา จงพิจารณาตัวอย่างของโฟล์คสวาเก้นและวอลมาร์ท
โฟล์คสวาเก้นหมายความตามตัวอักษร “รถยนต์ของประชาชน” และภาพพจน์
ของมันเป็นรถยนต์ไว้วางใจได้ ราคาไม่แพงแก่บุคคลทุกคน บีตเติ้ลวีดับบลิว
ต้นกำเนิดที่ร่าเริงเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและเรียบง่าย ดังนั้นเมื่อ
พวกเขาแนะนำ เฟทอน วีดับบลิว 70,000 เหรียญ ราคาเเพงมาก สวนทาง
“ทำไม” ของพวกเขาเอง และขายไม่ได้เลย
วอลมาร์ท เป็นกรณีที่รุนแรงมากขึ้น วอลมาร์ทเริ่มต้นโดยแซม วอลตัน ด้วยความคิดของการช่วยเหลือบุคคลและชุมชน ด้วยการขายผลิตภัณฑ์ ณ ราคาต่ำ แต่กระนั้นภายหลังการเสียชีวิตของผู้ก่อตั้งของพวกเขา บริษัทมุ่งที่ราคาต่ำเท่านั้น ลืมเกี่ยวกับการช่วยเหลือบุคคลและชุมชนที่พวกเขาเข้าไป มันจบลงด้วยการกลายเป็นธุรกิจตัดคอหอย ไปสู่ซัพพลายเออร์ บุคคล และชุมชน
ที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่ง วอลมาร์ทเผชิญความยุ่งยากอย่างรุนเเรง เมื่อมันได้
สูญเสีย “ทำไม” ต้นกำเนิดของมัน
ไซมอน ซีเนค ได้กล่าวถึงบริษัทเหมือนเช่นวอลมาร์ท ตรงที่ผู้ก่อตั้งต้นกำเนิด แซม วอลตัน แสดงเป็นตัวตน “ทำไม” ของวอลมาร์ท แต่ซีอีโอคนต่อไปไม่ได้ทำ และพวกเขาได้สูญเสียความรู้สึกของความมุ่งหมาย “ทำไม” และในที่สุดธุรกิจได้เริ่มต้นตกต่ำลง นั่นคือ “ทำไม” สำคัญอย่างมากที่จะซึมซาบบริษัทด้วยทำไมของเรา มั่นใจว่ามันไม่เป็นเพียงแค่ดีเอ็นเอของผู้ก่อตั้ง มันเป็นดีเอ็นเอของบริษัทด้วย
แซม วอลตัน มีวิสัยทัศน์ และ “ทำไม” ชัดเจนมาก เเซม วอลตัน เชื่อภายในบุคคล และดูแลทั้งบุคคลของเขาและลูกค้าของเขา นั่นเป็นสิ่งที่ให้เขาทำไมของเขา อะไรเกิดขึ้นภายหลังเขาเสียชีวิต วอลมาร์ทลืมเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของแซม วอลตัน ความมุ่งหมายเบื้องหลังบริษัทได้หายไป และมันได้ตกต่ำลงนับแต่นั้นมา
ดังนั้นวอลมาร์ท ได้คิดถึงเเซม วอลตัน และ “ทำไม” ของเขาภายหลังเขา
เสียชีวิตไม่นาน แต่เมื่อ “ทำไม” เริ่มต้นคลุมเครือเเละคลุมเครือ บริษัทได้เปลี่ยนแปลงทิศทาง ตั้งแต่นั้นมาเรามีแรงจูงใจใหม่ ณ บริษัท และมันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แซม วอลตันตัวเขาเองระมัดระวัง : ไล่ล่าเงิน เมื่อบริษัทเจริญเติบโต แซม วอลตัน ยังคงผูกพันต่อ “ทำไม” ของเขา แต่เมื่อเขาเสียชีวิต
วอลมาร์ท กลายเป็นไม่เชื่อมโยงกับทำไมของมัน แต่ผู้บริหารได้เริ่มต้นมุ่งที่ บริษัททำธุรกิจ “อย่างไร” : ขายผลิตภัณฑ์ ณ ราคาที่ต่ำ ไซมอน ซีเนค คิด
ว่าแรงจูงใจได้ขาดไปเนื่องจากสูญเสีย “ทำไม”
ภายในกระบวนการของพวกเขา วอลมาร์ทได้เสียสละพวกเขาปฏิบัติต่อบุคคลอย่างไร ด้วยเหตุนี้ วอลมาร์ท ได้เผชิญเรื่องอื้อฉาวกับการปฏิบัติต่อบุคคลไม่ดี และพวกเขาเป็นหนี้หลายร้อยล้านเหรียญภายในการยุติ การเเข่งขันและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำร้ายวอลมาร์ท วอลมาร์ทกลายเป็นศัตรูเลวร้ายที่สุดตัวมันเอง เพราะว่าความสำเร็จของพวกเขา ไม่ได้เชื่อมโยงมันจากทำไมของพวกเขา ไซมอน ซีเนค เชื่อว่าการสูญเสียแรงจูงใจเป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง
ต่อแซม วอลตันแล้ว เรามีอย่างอื่น ความมุ่งหมายที่ลึกซึ้ง หรือความเชื่อชับเคลื่อนเขา ยิ่งกว่าอะไร เเซม วอลตันเขื่อภายในบุคคล เขาเชื่อว่าถ้าเขาดูแลบุคคล บุคคลจะดูแลเขา วอลมาร์ทให้การดูบุคคล ลูกค้า ชุมชน มากเท่าไร
บุคคล ลูกค้า และชุมชน ยิ่งให้กลับแก่วอลมาร์ท มากขึ้นเท่านั้น เราทุกคนทำงานด้วยกัน นั่นคือความลับ เเซม วอลตัน พูด
เมื่อ แซม วอลตัน ก่อตั้งวอลมาร์ทภายใน ค.ศ 1962 เขามีความเชื่อแกน
อย่างหนึ่งถ้าเขาดูแลบุคคลของเขา แล้วบุคคลจะดูแลเขาและบริษัทของเขา แซม วอลตัน เชื่อภายในพลังของชุมชน ปรัชญานี้นำวอลมาร์ทจากการเริ่มต้นอย่างถ่อมตัวเป็นร้านค้าเล็กครอบครัวภายในอาร์คันซอ กลายเป็นผู้ค้าปลีกใหญ่ที่สุดภายในโลก เมื่อบริษัทได้เจริญเติบโต แซม วอลตันยังคงผูกพันต่อ “ทำไม” ของเขาอย่างสม่ำเสมอ
แซม วอลตัน ผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์ของวอลมาร์ท เป็นบุคคลเรียบง่ายด้วยปรัชญาธรรมดาและความมุ่งหมายคุณธรรมสูง เขาเป็นผู้สนับสนุนของบุคคลธรรมดา ด้วยการเจริญเติบโตระหว่างเศรษฐกิจตกต่ำ แซม วอลตัน เข้าใจความสำคัญและคุณค่าของวันทำงานที่หนัก และด้วยเหตุนี้ทุ่มเททั้งชีวิต
ของเขาที่จะรับใช้ชาวอเมริกันทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่่างที่เขาพูดและทำเป็น
การยกย่องบุคคลธรรมดา และการตัดสินใจทุกอย่างของเขาอยู่บนรากฐานความต้องการของเขาที่จะรับใช้
ตัวอย่างเช่น แซม วอลตัน ได้เปิดร้านภายในเพื่อนบ้านชนบท ดังนั้นบุคคลธรรมดา ไม่ต้องเดินทางไปศูนย์กลางเมืองได้อะไรที่พวกเขาต้องการเพื่อใช้กับครัวเรือนของพวกเขา เขาชอบแนวคิดร้านแบกล่องใหญ่ ดังนั้นบุคคลไม่ต้องเสียเวลา หรือต้องขับรถยนต์จากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง เขาทำงานหนักทำให้ต้นทุนต่ำ เพื่อที่บุคคลจะได้มากที่สุดจากเงินของพวกเขา นี่เป็นวิถีทางของการช่วยเหลือชาวอเมริกันของเขามีชีวิตอยู่กับความฝันอเมริกัน
แต่ความลุ่มหลงที่จะรับใช้ในขณะนี้ถูกทดแทนด้วยความลุ่มหลงที่จะลดต้นทุน และรักษาราคาให้ต่ำไว้ เป็นเพียงแค่วิํธีการหนึ่งของแซม วอลตันนำความมุ่งหมายของเขาสู่ชีวิต ด้วยคำพูดอีกอย่างหนึ่ง วอลมาร์ทสมัยใหม่
สับสนความมุ่งหมายของพวกเขากับกลยุทธ์
เพื่อที่จะต่อสู้ปัญหาของการสูญเสีย “ทำไม” ของเรา จงใช้การทดสอบรถโดยสารโรงเรียน การทดสอบรถโดยสารโรงเรียนเป็นคำอุปมาที่ถามคำถาม
ถ้าซีอีโอของเราถูกชนโดยรถสารโรงเรียนพรุ่งนี้ องค์การของเราจะเจริญเติบโตต่อไปใช่หรือไม่ แรงจูงใจจะมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ถ้าตอบใช่ หมายความว่า ทำไมของผู้ก่อตั้งได้ถูกรับเอาไว้จากบนลงล่าง แม้แต่ไม่มีซีอีโอ
ภารกิจยังคงชัดเจน ถ้าไม่ใช่ หมายความว่า “ทำไม” ของเรา ขึ้นอยู่กับการปรากฏอยู่ของซีอีโอจนเกินไป ไม่มีมรดกที่ชัดเจนของ “ทำไม” องค์การจะ
แบ่งออกเป็นอะไรในที่สุด กัดเซาะข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัท
บริษัทหลายบริษัทถูกสร้างบนพลังของบุคลิกภาพอย่างเดียว นั่นคือถ้า
ผู้นำหรือผู้ก่อตั้งหายไป บริษัทสามารถถูกลบล้างและเเม้แต่ตกต่ำลง
คำถามคือ เมื่อผู้นำหรือผู้ก่่อตั้งออกไป องค์การตระเตรียมดีแค่ไหนพบ
วิถีทางที่มีประสิทธิภาพรักษาวิสัยทัศน์การก่อตั้งให้มีชีวิตอยู่ตลอดไป
เพื่อที่จะผ่่านการทดสอบรถโดยสารโรงเรียน เพื่อที่องค์การจะบันดาลใจ
และนำเลยพ้นไปจากช่วงชีวิตของผู้ก่อตั้งของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง “ทำไม”
ของผู้ก่อตั้ง ต้องถูกสกัดและรวมเข้าไว้ภายในวัฒนธรรมของบริษัท ยิ่งกว่า
นั้นแผนการสืบทอดที่เข้มแข็งควรจะมุ่งหมายค้นหาผู้นำบันดาลใจด้วยความ
มุ่งหมายของการก่อตั้ง และพร้อมที่จะนำไปสู่ยุคต่อไป ผู้นำและบุคคลในอนาคตต้องถูกบันดาลใจโดยบางสิ่งบางอย่างใหญ่กว่าพลังของบุคลิกภาพของผู้ก่อตั้ง และพวกเขาต้องมองเลยพ้นไปจากกำไรและมูลค่าของผู้ถือหุ้นอย่างเดียว
ผลงานคลาสสิคของไซมอน ซีเนค “Start With Why” ได้สำรวจเคล็ดลับ
ความสำเร็จทำให้องค์การหรือบุคคลบางคนมีอิทธิพล สร้างสรรค์ และกำไรมากกว่าบุคคลอื่น เขาต้องการที่จะเข้าใจทำไมบุคคลบางคนเต็มใจสักโลโก้
ฮาร์เลย์ เดวิดสันบนร่างกายของพวกเขา แต่เราไม่ได้มองเห็นรอยสักฮอนด้า
บีเอ็มดับเบิลยู หรือคาวาซากิ จำนวนมาก
ไซมอน ซีเนค ได้วิเคราะห์ ตราสินค้าสามารถกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไร
เขายืนยันว่าเพื่อบางสิ่งบางอย่างที่ติดตัวความหมายเช่นตราสินค้า เราต้องมี ทำไม เบื้องหลังมัน บุคคลจะรู้สึกจูงใจอย่างเเท้จริง และมั่นใจว่าที่จะใช้ภาพพจน์นั้นเป็นวิถีทางของการแสดงพวกเขาคือใคร นี่สามารถถูกดำเนิน
การได้ด้วยการได้ ทำไม อย่างชัดเจน ไซมอน ซีเนค ได้ใช้โมเดลที่มีชื่อเสียง
เป็นตัวอย่างของเขาคือ ฮาร์เลย์ เดวิดสัน สัญลักษณ์ของโมเดลที่มองเห็นนี้
คือ การรับรู้ทันทีเราคลั่งไคล้รถจักรยานยนต์หรือไม่ มันได้ระบุไปทั่วโลก
และพิมพ์บนทุกสิ่งตั้งแต่เหยือกไปถึงแจ็คเก็ตหนัง
บุคคลบางคนได้ใช้ความกระตือรือร้นของพวกเขาเพิ่มขั้นตอนหนึ่ง ด้วยการ
มีตราสินค้าฮาร์เลย์ เดวิดสัน สักบนร่างกายของพวกเขา
ทำไมใครก็ตามต้องการทำสิ่งนี้ ต่อมุมมองของไซมอน ซีเนค คำตอบค่อนข้างง่าย เพราะว่ามันหมายถึงสิ่งหนึ่งต่อพวกเขา ตราสินค้านี้ได้พัฒนาจากภาพที่รับรู้ต่อภาพพจที่สำคัญ ณ จุดแกนของมัน มันเป็นความเชื่อของฮาร์เลย์ เดวิดสัน – การเเสวงหาการเดินทาง วิถีทางของเอกบุคคลและอิสระภาพเพื่อวิญญาน
มันได้ระบุอย่างชัดเจน “ทำไม” ของพวกเขา และพลิกบุุคคลใช้ตราสิินค้าของ
พวกเขาเป็นสื่อของการแสดงออกตัวเอง ดังที่ไซมอน ซีเนค เขียนว่า บุคคลไม่ได้ซื้อ “อะไร” ที่เราทำ พวกเขาซื้อ “ทำไม” เราทำมัน
ไซมอน ซีเนค ได้อธิบายรอยสักของฮาร์เลย์ เดวิดสัน เป็นตัวอย่างของ
เเนวคิดตราสินค้าอย่างไร บริษัทส่วนใหญ่มีโลโก แต่ไม่กี่บริษัทสามารถ
เปลี่ยนแปลงโลโกเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมาย บริษัทส่วนใหญ่
สื่อสารไม่ดีพวกเขาเชื่ออะไร “ทำไม” ของพวกเขา ไม่มีความชัดเจนของ “ทำไม” โลโก้ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เพื่อที่จะกล่าวว่าโลโก้หมายถึงคุณภาพ บริการ นวัตกรรม และอย่างอื่น เพียงเสริมแรงสถานภาพของมันเป็นเพียงแค่โลโก้เท่านั้น คุณลักษณะเหล่านี้เกี่ยวกับบริษัท และไม่เกี่ยวกับความมุ่งหมาย
เพื่อที่โลโก้กลายเป็นสัญลักษณ์ บุคคลต้องถูกบันดาลใจที่จะใช้โลโกนั้น
พูดบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขาเป็นใคร ภายในหนังสือของเขา “Start With Why” ไซมอน ซีเนค ได้แสดงตัวอย่างที่ลึกซึ้งของฮาร์เลย์ เดวิดสัน
เรามีบุคคลเดินไปรอบฮาร์เลย์ เดวิดสันด้วยรอยสักบนร่างกายของพวก
เขา และบุคคลบางคนแม้แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ ทำไมบุคคล
สักรอยสักโลโก้บริษัทบนร่างกายของพวกเขา ฮาร์เลย์ เดวิดสัน
ชัดเจนตกผลึกเกี่ยวกับพวกเชาเชื่ออะไร ภายหลังหลายปีของวินัยเกี่ยวกับ
“ทำไม” ของพวกเขา และความสม่ำเสมอภายในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูด
หรือทำ โลโก้ของพวกเขากลายเป็นสัญลักษณ์ มันไม่ได้ระบุบริษัทและผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่อไปอีกแล้ว มันระบุความเชื่อของบริษัท
ไซมอน ซีเนค กล่าวว่า มันไม่ได้เป็นเพียงแค่อะไรหรืออย่างไรที่เราทำสิ่งที่สำคัญสิ่งที่สำคัญกว่าคือ อะไรและอย่างไรที่เราทำต้องสอดคล้องกับทำไม
ของเรา ตลอดหลายปี ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ได้สร้างลัทธิด้วยแฟนที่เพ้อคลั่งเป็นลูกค้า
แฟนเหล่านี้สักโลโกฮาร์เลย์ เดวิดสันบนร่างกายของพวกเขา บุคคลบางคนแม้แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของฮารเลย์ เดวิดสัน นั่นเป็นพลังของตราสินค้าเมื่อโลโก้เป็นรอยสักของบุคคล
พวกเขาสักโลโก้ของบริษัทบนผิวหนังของพวกเขา บุคคลบางคนแม้แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ เหตุผลค่อนข้างธรรมดา ทำไมบุคคลสักโลโก้บริษัทบนร่างกายของพวกเขา เหตุผลจะธรรมดา ภายหลังหลายปีของความชัดเจนที่
ตกผลิกเกี่ยวกับพวกเขาเชื่ออะไร ภายหลังหลายปีของความมีวินัยเกี่ยวกับ
ค่านิยมและหลักการนำทางของพวกเขา และภายหลังหลายปีของความสม่ำเสมออย่างแน่วแน่เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดและทำ โลโก้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ มันไม่เพียงแค่ระบุบริษัทและผลิตภัณฑ์ของพวกเขา
ต่อไปอีกแล้ว มันได้ระบุความเชื่อของพวกเขา
บุคคลไม่กี่คนที่โต้แย้งกับฮาร์เลย์ เดวิดสัน เป็นชื่อที่ยกย่องและนับถือไปทั่วโลก บริษัทไม่เพียงแค่ผลิตรถจักรยานยนต์อเมริกันเท่านั้น บริษัทผลิตตำนานอเมริกันด้วย ไม่มีธุรกิจจำนวนมากที่จะอยู่รอดยาวนานเพียงพอ
ฉลองวันเกิดที่หนึ่งร้อยปีของพวกเขา และไม่กี่ธุรกิจที่ยังคงบริหารจุดเเข็ง
ของผลิตภัณฑ์ต้นกำเนิดของพวกเขา
วัฒนธรรมของฮาร์เลย์ เดวิดสันเชื่อมโยงโดยตรงต่อวัฒนธรรมนักขับขี่รถจักรยานยนต์ วัฒนธรรมของฮาร์เลย์ เดวิดสัน เหมือนกับวัฒนธรรมนักขับขี่
รถจักรยานยนต์ บุคคลภายในวัฒนธรรมนักขับขี่รถจักรยานยนต์ถูกมอง
เป็นกล้าหาญเเละขบถ ฮาร์เลย์ เดวิดสันเชื่อมโยงอย่างเข้มแข็งกับวัฒนธรรมนี้ วัฒนธรรมของฮาร์เลย์ เดวิดสัน มุ่งเน้นการพิจารณาความคาดหวังและความพอใจของลูกค้า
เพื่อที่จะนำทางบุคคลเเละการตัดสินใจทางการบริหาร ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ส่งเสริมค่านิยมที่เหมาะสมผ่านทางวัฒนธรรมบริษัท ค่านิยมที่สำคัญของบริษัทคือ ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความหลากหลาย การทำงานเป็นทีม และความคิดสร้างสรรค์
วัฒนธรรมบริษัทระบุประเพณี นิสัย และค่านิยม วัฒนธรรมบริษัทมีอิทธิพล
ต่อพฤติกรรมของบุคคล และการตัดสินใจทางการบริหาร ในฐานะของผู้นำภายในตลาดรถจักรยานยนต์ของโลก ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ได้รักษาวัฒนธรรมบริษัทสนับสนุนตำแหน่งอุตสาหกรรมของบริษัท วัฒนธรรมบริษัททำให้ฐานลูกค้าของความจงรักภักดีของนักขับขี่ต่อตราสินค้า และวัฒนธรรมของนักขับขี่รถจักรยานยนต์ของบริษัทเข้มแข็งขึ้น
“มีชีวิตอยู่ที่จะขี่ ขี่ที่จะมีชีวิตอยู่” สโลแกนเก่าแก่ที่สุดของฮาร์เลย์ เดวิดสัน
ภายในความสอดคล้องอย่างดีกับภาพพจน์ขบถ นอกกฏหมาย ของผู้ขับขี่
ฮาร์เลย์ เดวิดสัน
สัญลักษณ์ช่วยเราเปลี่ยนแปลงไม่มีตัวตนให้มีตัวตน และเหตุผลเดียวเท่านั้นสัญลักษณ์มีความหมาย เพราะว่าเราให้ความหมายแก่มัน โลโก้สามารถกลายเป็นสัญลักษณ์เมื่อมันบันดาลใจบุคคลที่จะใช้ มันกล่าวบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขาคือใครเท่านั้น
จงพิจารณาฮาร์เล่ย์ เดวิดสัน ฮาร์เลย์ เดวิดสันทำให้ค่านิยมและวิถีชีวิตของบุคคลใส่มันมีตัวตน
โลโก้ทำให้ค่านิยมเป็นตัวตนของตัวมันเอง สัญลักษณ์ไม่เกี่ยวกับฮาร์เลย์ เดวิดสันต่อไปอีก มันเกี่ยวกับบุคคลที่รักฮาร์เลย์ เดวิดสันต่อพวกเขาเป็นอะไร
ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ไม่เป็นเพียงแค่บริษัทรถจักรยานยนต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
พวกเขาเป็นตราสินค้าตำนานและชอบมากที่สุดภายในประวัติของมนุษย์
ฮาร์เลย์ เดวิดสัน เริ่มต้นจากชาวอเมริกัน ณ การเริ่มต้นของยุคมอเตอร์
เพื่อนสองคนร่วมกันและประกอบรถจักรยานกับเครื่องยนต์ ม้าไม่เคยลืม
พวกเขาเลย ก้าวหน้า 116 ปีอย่างรวดเร็ว และมูลค่าตลาดของฮาร์เลย์
เดวิดสันเกือบ 6 พันล้านเหรียญ
สงครามโลกสองครั้ง ช่วยฮาร์เลย์ เดวิดสัน สร้างภาพพจน์ของเสรีภาพของตราสินค้าที่ยังคงรู้จักกันจนวันนี้ บริษัทผลิตรถจักรยานยนต์เพื่อทั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่เป็นเพียงแค่ผู้ขายรถจักรยานยนต์ ฮาร์เลย์ เดวิดสันเป็นชื่อตราสินค้าเบื้องหลังชุมชนอย่างไม่น่าเชื่อ ตลอดหลายปีภาพพจน์และผลิตภัณฑ์ของบริษัทอาจจะเปลี่ยนแปลง
แต่การทุ่มเทที่จะให้ประสบการณ์พื้นฐานถนนอย่่างดีเยี่ยมยังคงเหมือนเดิม
แม้ว่าการทดลองที่ไม่บรรลุความสำเร็จหลายครั้งกับเทคโนโลยีรถจักรยานยนต์ ทีมของฮาร์เลย์ เดวิดสันยังคงมุ่งอย่างสม่ำเสมอบนเป้าหมายของพวกเขา : สร้างรถจักรยานยนต์ดีที่สุดภายในโลก
นานหลายทศวรรษ บริษัทได้สร้างชื่อเสียงเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและเอกภาพ เอกลักษณ์ตราสินค้าของบริษัทดึงดูดบุคคลจำนวนมากใส่โลโก้ของฮาร์เลย์ เดวิดสันบนแจ็คเก็ต เสื้อเชิรต และอย่างอื่น แม้แต่เมื่อพวกเขาไม่เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์
แม้ว่าฮาร์เลย์ เดวิดสัน ผลิตรถจักรยานยนต์ตั้งแต่ ค.ศ 1903 พวกเขาไม่มีโลโก้
ของบริษัทจนกระทั่ง ค.ศ 1910 เมื่อโลโก้แท่งและโล่ได้ถูกแนะนำ และโลโก้ในอนาคตทุกอย่างของบริษัทใช้มันเป็นพื้นฐาน การออกแบบใช้เพียงแค่สามสี ดำ ขาว เเละส้ม ทำให้โลโก้ของบริษัทเฉพาะและเเตกต่างจากบริษัทอื่นภายในอุตสาหกรรม โลโก้เพียงเเค่บรรจุด้วยถ้อยคำฮาร์เลย์ เดวิดสัน ตัวโตบนแท่ง เบื้องหลังแท่ง เรามีโล่ด้วยถ้อยคำ มอเตอร์ ข้างบนโล่และถ้อยคำ ไซเคิลส์ ข้างล่างโล่ ทั้งสองคำใช้ตัวโต
โลโก้ยังคงเหมือนเดิมอยู่หลายปี จนกระทั่งฮาร์เลย์ เดวิดสันได้เริ่มต้นแนะนำการออกแบบใหม่ที่จะรำลึกเหตุการณ์เฉพาะ หรือใช้โลโก้เพื่อความมุ่งหมายแตกต่างกัน การเปลี่ยนแปลงอย่างมากครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ 1953 เมื่อบริษัท
ฉลองการครบรอบปีที่ห้าสิบ และรำลึกด้วยโลโก้ใหม่ การออกแบบถูกสร้างด้วยแท่นและโล่ห่อหุ้มภายในวงกลมรวมสัญลักษณ์ตัววียื่นออกมาด้วย ตัวอักษรวี
ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ประเภทของเครื่องยนต์ใช้กับรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์ เดวิดสัน
โลโก้ที่ใช้โดยทั่วไปมากที่สุดในขณะนี้เป็นสัญลักษณ์แท่งและโล่คลาสสิค
เจ้าของฮาร์เลย์ เดวิดสัน มักจะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเรียกว่ากลุ่มเจ้าของฮาร์เลย์ รู้จักกันเป็น “ฮอกส์” ด้วย พวกเขามีสัญลักษณ์ของพวกเขาเองแตกต่างจากสัญลักษณ์ใช้โดยบริษัทฮาร์เลย์ เดวิดสัน มันมี “ฮาร์เลย์ โอนเนอร์ กรุ้ป”
เขียนภายในผืนธงด้วยอักษรเอชโอจี ข้างบน และอักษรตัวโอมีซี่คล้ายวงล้อ
เราเคยประหลาดใจรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์ เดวิดสันกลายเป็นอเมริกัน ไอคอน อย่างไร เรื่องราวเริ่มต้นภายในเพิงเล็ก หลังบ้านครอบครัวของเดวิดสัน
ณ มิลวอกี ย้อนหลังไปเมื่อต้น ค.ศ 1900 ฮาร์เลย์ เดวิดสัน และพี่น้องสองคนของเดวิดสัน ด้วยชื่อสุดท้ายเดียวกัน สร้างบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก ภายใต้อัตราส่วนของสามเดวิดสันต่อหนึ่งฮารเลย์ เราอาจจะประหลาดใจทำไมบริษัท
ไม่ถูกเรียกชื่อ เดวิดสัน ฮาร์เลย์ เนื่องจากความคิดต้นกำเนิดต่อรถจักรยานยนต์มาจากวิลเลี่ยม ฮารเลย์ กลุ่มคิดว่ามันยุติธรรมที่จะมีชื่อของเขาก่อน เราอ่านมันเป็นฮาร์เลย์ เดวิดสัน และไม่ใช่เดวิดสัน ฮาร์เลย์ เพราะว่ามันเป็นฮาร์เลย์จากบุคคลสี่คน ค้นพบความคิดต้นกำเนิดของรถจักรยานยนต์
ฮาร์เลย์ เดวิดสัน เป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์อเมริกัน ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ 1903 ภายในมิลวอกี วิสคอนซิน
เพื่อนตอนเป็นเด็ก วิลเลี่ยม ฮาร์เลย์ แก่กว่าอารเธอร์ เดวิดสันหนึ่งปีเท่านั้น เด็กชายทั้งสองคนมีความลุ่มหลงเริ่มแรกกับรถจักรยาน และทำงานกับต้นแบบเพื่อรถจักรยานยนต์ภายในเวลาว่างของพวกเขา ภายหลังวาดเขียนแผนเครื่องยนต์ออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้ารถจักรยาน วิลเลียม
ฮาร์เลย์ ทำงานกับอาเธอร์ และวอลเตอร์ เดวิดสันสร้าง รถจักรยานยนต์
เมื่อ ค.ศ 1960 ฮาร์เลย์ และพี่น้องเดวิดสันได้ย้ายจากเพิงของพวกเขา และเข้าไปสู่โรงงานแรกของพวกเขา อยู่ ณ สถานที่ตั้งในขณะนี้ของสำนักงานใหญ่ฮาร์เลย์ เดวิดาัน พวกเขาผลิตรถจักรยานยนต์ 50 คัน ระหว่างปีเเรก
ของพวกเขาภายในโรงงาน สิบเท่ามากกว่าปีก่อนหน้านี้ ต่อมาฮาร์เลย์ เดวิดสัน ได้ก่อตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ 1907 พวกเขาผลิตรถจักรยานยนต์ 50 คันภายใน ค.ศ 1907 และเริ่มต้นขายมันแก่ตำรวจ เมื่อ ค.ศ 1917 ประมาณ 50% ของยอดขายของฮาร์เลย์ เดวิดสัน ไปสู่กองกำลังอเมริกาเพื่อใช้ภายในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
บริษัทได้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและปรับปรุงทุกปี คุณลักษณะและการออกแบบใหม่ได้ถูกแนะนำอย่างสม่ำเสมอ โรงงานได้ขยายตัวหลายครั้งตาม
ให้ทันกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาต่อรถจักรยายยนต์ฮาร์เลย์ เดวิดสัน
ตลอด 115 ปี ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ได้เจริญเติบโตจากการเริ่มต้นอย่างถ่อมตัวเป็นอเมริกันไอคอน ไม่ว่าอะไรได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดหลายปี สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิม – ความผูกพันของฮาร์เลย์ เดวิดสัน ผลิตรถจักรยานยนต์คุณภาพสูงและสร้างสรรค์ ภายหลังนานกว่าศตวรรษ บริษัทได้ขยายตัวมากกว่าการเป็นเพียงแค่บริษัทรถจักรยานยนต์ การเริ่มต้นกับดาราภาพยนตร์ฮอลลีวูด เช่น คิด รอค หรือ เซลีนา โกเมซ ถูกนำเข้ามาภายในทีมเป็นตัวเเทนตราสินค้า พวกเขาได้ขายสินค้าที่ไม่ใช่รถจักรยานยนต์ เมื่อ ค.ศ 2018
292 ล้านเหรียญ ไม่เหมือนกับของสมนาคุณที่ตราสินค้าอื่นส่งให้เพื่อสร้างความจงรักภักดี สินค้าของบริํษัทมีทั้ง เเจ็คเก็ตหนัง บูทจักรยานยนต์ ที-เชิรต และถุงมือ
เมื่อ 100 ปีที่แล้วสมาชิกของทีมแข่งขันฮาร์เลย์ เดวิดสัน ได้เผยแพร่ภาพ
โค้กกับลูกหมู กลายเป็นภาพหนึ่งที่รับรู้กันมากที่สุดของประวัติของฮาร์เลย์
เดวิดสัน นักแข่งเป็นเรย์ ไวส์ชาร์ สมาชิกคนหนึ่งของทีมเเข่งขันของโรงงาน สัตว์ เป็นจอห์นนี ไวส์ชาร์ ลูกหมูอายุหกสัปดาห์ ได้มาจากเกษตรกรท้องที่ กลายเป็นตัวนำโชคของผู้ชนะการแข่งขัน
ถ้อยคำ “ฮอก” เชื่อมโยงอย่างรักใคร่กับฮาร์เลย์ เดวิดสันเป็นหลายทศวรรษ
พวกเขาได้สร้างถ้อยคำฮอกเป็นคำย่อของกลุ่มเจ้าของฮาร์เลย์
ถ้าเราเคยขี่ฮาร์เลย์ เดวิดสัน เราอาจจะรู้ว่าแฟนทุกคนของตราสินค้าชอบสร้างถ้อยคำวิธีการขนส่งของพวกเขาเป็น “ฮอก” ในขณะที่มันอาจจะดูเหมือนชื่อเล่นแสลง ต้นกำเนิดมันมาจากกลุ่มเด็กชายที่มักจะเเข่งขันกันบนรถจักรยานยนต์ของพวกเขาภายใน ค.ศ 1920 ภายหลังการแข่งขันได้ชนะ
พวกเขาจะขึ้นรถจักรยานยนต์ของพวกเขาพร้อมด้วยหมู – ฮอก เป็นตัวนำโชค
ชื่อ “ฮอก% มีความหมายอย่างเดียวกับฮาร์เลย์ เดวิดสัน ภายในความเป็นจริง
ชื่อเล่นได้ถูกรับเอาไว้เพราะว่าสมาชิกทีมแข่งขันฮารเลย์ เรย์ ไวส์ชาร์ เป็นเจ้าของลูกหมูตัวหนึ่งที่กลายเป็นตัวนำโชคของทีม
ไซมอน ซีเนค กล่าวว่า ความสำเร็จเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบ ไม่ใช่ยุทธวิธีระยะสั้น เรามีเรื่องราวที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับกลุ่มของผู้ผลิตรถยนต์อเมริกันไปเยี่ยมญี่ปุ่นตรวจสอบโรงงานรถยนต์ของประเทศ สายพานประกอบที่พวกเขามองเห็นเหมือนกับภายในโรงงงานของพวกเขาเอง แต่มันมีความแตกต่างที่มองเห็นอย่างหนึ่ง ภายในอเมริกาคนงานใช้ฆ้อนยางทุบขอบประตูของรถยนต์เพื่อที่จะมั่นใจว่ามันพอดี ภายในญี่ปุ่นคนงานไม่ใช้ฆ้อนยางทุบประตูให้พอดีเลย
ผู้บริหารอเมริกันถามพวกเขามั่นใจอย่างไรประตูพอดีอย่างสมบูรณ์ ผู้นำ
เที่ยวชาวญี่ปุ่นมองพวกเขาและยิ้มเจื่อน เรามั่นใจมันพอดีเมื่อ
เราออกแบบมัน
ภายในโรงงานรถยนต์ญี่ปุ่น พวกเขาไม่ได้พิจารณาปัญหา และสะสมข้อมูล
ค้นหาข้อแก้ปัญหาที่ดีที่สุด พวกเขาทำวิศวกรรมผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการจากตอนเริ่มต้น ถ้าพวกเขาไม่บรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ พวกเขาเข้าใจมันเป็นเพราะว่าการตัดสินใจที่พวกเขาทำ ณ การเริ่มต้นของกระบวนการ
ประตูของรถยน์ผลิตจากอเมริกาและญี่ปุ่นดูแล้วพอดีเมื่อรถยนต์ออกมาจากสายการผลิต ยกเว้นแต่ญี่ปุ่นคนงานไม่ต้องใช้ฆ้อนยางทุบประตู หรือพวกเขาไม่ต้องซื้อฆ้อนยางใดก็ตาม ประตูของญี่ปุ่นน่าจะทนทานได้นานกว่าและโครงสร้างดีกว่าภายในอุบัติเหต ไม่มีเหตุผลอื่นใดเลยนอกจากพวกเขามั่นใจ
ประตูพอดีตั้งแต่เริ่มต้น
แม้ว่าผลลัพธ์อาจจะดูแล้วเหมือนกัน ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เข้าใจคุณค่าภายในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็น อะไรที่ผู้ผลิตรถยนต์อเมริกันทำกับฆ้อนยางของพวกเขา เป็นการพูดเปรียบเทียบต่อความเป็นผู้นำ เรามีผู้นำอยู่สองประเภท
ผู้นำที่ตัดสินใจหลอกล่อให้ได้ผลลัพธ์สุดท้าย และผู้นำที่เริ่มต้นด้วยผลลัพธ์สุดท้ายภายในใจ และปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอยตามธรรมชาติ
บุคคลและองค์การจำนวนมากนำอย่างไร เมื่อเผชิญกับผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามแผน พวกเขาจะใช้ลำดับของยุทธวิธีระยะสั้นที่มีประสิทธิภาพจนกว่าบรรลุผลลัพธ์ระยะสั้นที่ต้องการ ไม่ใช่การวางแผนเพื่อผลลัพธ์ระยะยาว ด้วยเรื่อราวที่น่าสนใจนี้ ไซมอน ซีเนค ได้พยายามอธิบายความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือองค์การตัดสินใจหลอกล่อให้ได้ผลลัพธ์สุดท้าย และบุคคลหรือองค์การด้วยผลลัพธ์สุดท้ายภายในใจ และให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอยตามธรรมชาติ และการมองภาพใหญ่สามารถสร้่างพฤติกรรมของเราไปสู่การขับเคลื่อนผลลัพธ์ระยะยาวอย่างไร
ความไว้วางใจเริ่มต้นเกิดขึ้นเมี่อเรามองเห็นว่าบุคคลและองค์การขับเคลื่อนโดยเหตุผลเลยพ้นไปจากการรับใช้ตัวเอง การวางแผนของทำไม อย่างไร และอะไร เป็นวิถีทางหนึ่งที่จะสร้างความไว้วางใจ
บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกันมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง สร้างความแตกต่างตัวพวกเขาเองจากการแข่งขัน การไล่ตาม
การแข่งขัน พยายามเทียบเคียงมันคุณลักษณะต่อคุณลักษณะ ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม “อะไร” เท่านั้น เนื่องจากลูกค้าถูกบันดาลใจ
ด้วย “ทำไม” เราทำอะไรที่เราทำ บริษัทที่เริ่มต้นสื่อสารด้วย “ทำไม” มีความยืดหยุ่นมากกว่าภายในตลาด จงพิจารณาตัวอย่างของแอปเปิ้ลและเดลล์
แอปเปิ้ลผลิตคอมพิวเตอร์ เเอปเปิลผลิตไอพอดและไอโฟนด้วย
ตรงกันข้าม เดลล์ ระบุโดย “อะไร” ที่พวกเขาทำ เดลล์ทำคอมพิวเตอร์ ดังนั้น
ลูกค้ารู้สึกไม่สบายใจซื้ออย่างอื่นจากพวกเขา เช่น แทปเล็ตหรือสมาร์ทโฟน
พวกเขาพยายามขยายตัวไปสู่เเนวดิ่งที่แตกต่างกัน แต่ถอยกลับอย่างรวดเร็วมามุ่งธุรกิจแกนของพวกเขา
ไซมอน ซีเนคอ้างข้อได้เปรียบของผู้มารายเเรกเมื่อ “ทำไม” อยู่ภายในภาพเท่านั้น จงพิจารณกรณีของครีเอทีฟต่อสู้แอปเปิ้ล บริษัทชื่อครีเอทีฟ ได้พัฒนา
เครื่องเล่นเอ็มพีสามพกติดตัวห้าจีบี แต่ไม่เคยสามารถยึดความสนใจของ
โลกได้ ยี่สิบสองเดือนต่อมา คู่แข่งขันได้เปิดตัวเครื่องเล่นเอ็มพีสามพกติดตัว
ห้าจีบีคล้ายคลึงกัน การปฏิรูปเราฟังดนตรีอย่างไร เกือบสองปีภายหลังจากครีเอทีฟวางผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเกือบจะไม่เคยถูกประโคมเลย แอปเปิ้ลเปิดตัวไอพอดเเละยึดครองโลก สตีฟ จ้อป เลือกที่จะเริ่มต้นด้วย “ทำไม”
ครีเอทีฟสามารถไปไกลมากของการผลิตเครื่องเล่นเอ็มพีสาม และพวกเขา
เป็นรายแรก เเต่พวกเขาทำตลาด
การนำเสนอของเขาเป็นเครื่องเล่นเอ็มพีสามห้าจึบี คล้ายมากกับ “อะไร” แต่เเอปเปิ้ลวางตลาดไอพอด เป็น “1000 เพลงภายในกระเป๋าของเรา” การให้
เรา “ทำไม” นั่นที่เราต้องการ เมื่อสตีฟ จ้อป เปิดตัวไอพอด พวกเขาไม่ได้พูดเกี่ยวกับมันมีการบรรจุมากน้อยแค่ไหน – อะไร พวกเขาพูดเกี่ยวกับ 1000 เพลงภายในกระเป๋าของเรา
ไซมอน ซีเนค กล่าวว่า บริษัทที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ว่าจ้างบุคคลที่สามารถและจูงใจ พวกเขาว่าจ้างบุคคลที่จูงใจอยู่แล้ว และบันดาลใจพวกเขา บริษัทด้วยความรู้สึกที่เข้มแข็งของ “ทำไม” สามารถบันดาลใจบุคคลของพวกเขา บุคคล
เหล่านี้มีประสิทธิภาพและสร้่วงสรรค์มากกว่า และความรู้สึกที่พวกเขานำมา
สู่งาน สามารถดึงดูดบุคคลอื่นกระหายที่จะทำงานด้วย
เมื่อบุุคคลรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง พวกเขาจะรับประกันความสำเร็จของเรา และ
พวกเขาไม่ได้ทำงานหนัก และมองข้อแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์แก่เรา พวกเขา
ทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง เป้าหมายคือ การว่าจ้างบุคคลที่ลุ่มหลงเกี่ยวกับ “ทำไม” ของเรา ความมุ่งหมายหรือความเชื่อของเรา และใครมีทัศนคติสอดคล้องกับวัฒนธรรมของเรา
ผมไม่คิดว่าเราสามารถจูงใจบุคคล เราไม่ควรจะสันนิษฐานว่าการขาดแรงจูงใจเป็นปัญหาภายใน ในฐานะของผู้นำ เราควรจะประเมินก่อนเราได้สร้างสภาพแวดล้อมที่บันดาลใจบุคคลของเราหรือไม่ เพื่อที่จะจุดประกายเเรงจูงใจ
เราสามารถหลอกล่อบุคคลให้ทำอะไรที่เราต้องการให้พวกเขาทำ ถ้าเราต้องการลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา เราสามารถหลอกล่อพวกเขาด้วยการเปลี่ยนแปลงราคา เราสามารถนำเสนอส่วนลดที่ล่อพวกเขาซื้อ เราน่าจะสามารถหลอกล่อบุคคลซื้อบางสิ่งบางอย่าง ณ ส่วนลด ครั้งเดียวแต่
ไม่ตลอดไป
เราขับเคลื่อนบุคคลให้กระทำอย่างไร เราบันดาลใจพวกเขา หรือเราหลอกล่อพวกเขา และพวกเขาทำมันเพราะว่าพวกเขาต้องการทำมัน หรือพวกเขาทำมันเพราะว่าพวกกลัวอะไรอาจจะเกิดขึ้นถ้าพวกเขาไม่ทำมัน
เรามีวิถีทางสองอย่างที่จะมีอิทธิพลต่อบุคคล ด้วยการหลอกล่อหรือการบันดาลใจเขา บริษัทหลอกล่อตลอดเวลา พวกเขาลดราคา นำเสนอบางสิ่ง
บางอย่างเคียงข้าง พวกเขามีอิทธิพลต่อเราด้วยการดึงดูดความรู้สึกทางบวกและลบของเรา และเเรงกดดันจากเพื่อน ตามมุมมองของไซมอน ซีเนค สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อบริษัทไม่มีความคิดทำไมลูกค้าของพวกเขาเป็นลูกค้า
ของพวกเขา หรือบุคคลของพวกเขาเป็นบุคคลของพวกเขา “การหลอกล่องาน” บริษัทใช้เเครอทและไม้เรียวเหมือนเช่น ราคา ส่งเสริมการขาย ความ
กลัว ความทะเยอทะยาน และเเรงกดดันเพื่อน เพื่อที่จะหลอกล่อ บริษัทใช้วิถีทางเดียวกันภายในความพยายามของการดึงดูดตลาดงาน พวกเขาเพียงเเค่เรียกชื่ออย่างอื่นเท่านั้น
ไซมอน ซีเนค ยืนยันว่าการบันดาลใจดีกว่าการหลอกล่ออย่างแน่นอน เมื่อบริษัทไม่มีความรู้สึกที่ชัดเจนของทำไมลูกค้าของพวกเขาเป็นลูกค้าของพวกเขา พวกเขามักจะใช้การหลอกล่อที่จะได้อะไรที่พวกเขาต้องการ การหลอกล่อไม่ได้แพร่พันธ์ุความจงรักภักดี แม้ว่ามันสามารถขับเคลื่อนยอดขาย ตลอดเวลามันจะมีต้นทุนมากขึ้นและมากขึ้น และมันเพิ่มความเครียดทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ความจงรักดีเกิดขึ้นเมื่อบุคคลปฏิเสธผลิตภัณฑ์ดีกว่าหรือราคาดีกว่า ทำธุรกิจกับเราอยู่ต่อไป
วิธีการแครอทและไม้เรียวเก่าแก่ใช้โดยผู้นำให้รางวัลบุคคลใช้การไม่ได้
ต่อไปอีกแล้ว มันอาจจะเป็นวิธีการจูงใจที่ดีภายในยุคก่อนดิจิตอล เมื่อ
บุคคลธรรมดาทำงานประจำวันและไม่สร้างสร้างสรรค์ แต่ในปัจจุบันนี้
แดเนียล พิงค์ ยืนยันว่าวิธีการแครอทเเละไม้เรียว ได้กลายเป็นไม่มีประสิทธิภาพต่องานที่สร้างสรรค์ ความคิด และซับซ้อน เเดเนียล พิงค์
เป็นผู้เชี่ยวชาญภายในศาสตร์ของการจูงใจ เขากล่าวว่า เราไม่ต้องการ
เเครอทที่หวานขึ้นและไม้เรียวที่คมขึ้น เราต้องการวิถีทางใหม่ของการ
จูงใจภายใน ตรงกันข้ามกับแครอทและไม้เรียวเป็นการจูงใจภายนอก
มาจากภายนอกตัวเราเอง นั่นคือการทำบางสิ่งบางอย่างที่จะได้รางวัล
– แครอท หลีกเลี่ยงการลงโทบางอย่าง – ไม้เรียว
ในขณะที่การจูงใจภายในมาจากภายในตัวเราเอง นั่นคือการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อความสุขอย่างแท้จริง วิธีการเเครอทและไม้เรียวใช้ได้ดีกับงาน
ของศตวรรษที่ยี่สิบ – ประจำวัน ไม่ท้าทาย ควบคุมสูง แต่กระนั้นงาน
ของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดกลายเป็นซับซ้อน ท้าทาย และสั่งการตัวเอง
วิธีการเเครอทและไม้เรียวได้กลายเป็นหมดเเรงไป
แดเนียล พิงค์ ได้เขียนหนังสือการจูงใจที่ดีเยี่ยม “Drive : The Surprising Truth About What Motivates Us” เขาได้กล่าว
เกี่ยวกับการจูงใจสองประเภท ภายนอกและภายใน การจูงใจภายนอกขับเคลื่อนโดยพลังจากภายนอกเหมือนเช่นเงินหรือการยกย่อง การจูงใจภายใน
ขับเคลื่อนโดยพลังจากภายในเหมือนเช่นความรู้สึกทางความสำเร็จ
การจูงใจที่แท้จริงได้สรุปเป็นองค์ประกอบสามอย่าง ความอิสระ ความต้องการนำทางชีวิตของตัวเราเอง การเรียนรู้ ความต้องการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ณ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญต่อเรา และความมุ่งหมาย ความต้องการทำอะไรบรรลุบางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่กว่าตัวเราเอง
Cr : รศ สมยศ นาวีการ