ระหว่างตรรกะและสามัญสำนึก กับ ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์

เป็นที่ทราบกันว่าgdp ไทยขึ้นกับการส่งออก และการท่องเที่ยวเป็นหลัก มากกว่าการลงทุนโดยเอกชน และโดยรัฐบาล ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนส่งผลชัดเจนให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและไม่มั่นคง ทำให้ภาวะให้เศรษฐกิจไทยได้ผลกระทบอย่างชัดเจน ประกอบกับค่าเงินบาทท่ีแข็งค่าขึ้นจากเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นเวลาหลายเดือน(ถึงแม้ว่าการส่งออกลดลงถึงขั้นติดลบ)ยิ่งส่งผลกระทบในแง่ลบต่อการส่งออกและท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักและตัวการขับเคลื่อนGDPชองไทย
สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ
1.วินัยการเงินการคลัง
2.การลงทุนของรัฐร่วมกับเอกชนในmega project ต่างๆ
3.การเอื้ออำนวยให้เอกชนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยทั้งหมดนี้เพื่อทดแทนตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดิมคือการส่งออกและท่องเที่ยว
แต่ปัญหาสำคัญคือการทำmegaproject หรือการเข้ามาลงทุนของเอกชนต่างประเทศไม่ได้ช่วยให้เกิดกระจายรายได้ซึ่งเป็นปัญหาหลักของประเทศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให่เกิดกระจายรายได้จึ่งต้องเกิดขึ้น
การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเกิดกระจายรายได้จึ่งเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นโครงการประกันพืชผลทางการเกษตร ซึ่งกำกับดูแลโดยพรรคปชป หรือโครงการชิม ช็อบใช้ซึ่งกำกับโดย พรรคพปชร และโครงการอื่นๆท่ีจะตามมา
ดังนั้นดูแล้วเรื่องการท่ีจะแก้ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็งท่ีส่งกระทบต่อการท่องเท่ียวและส่งออก ดูเหมือนจะไม่เรื่องสำคัญอันดับต้น เพราะตัวขับเคลื่อนหลักของไทยในภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นเช่นนี้คงไม่สามารถพึ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวได้
และเป็นการยากท่ีจะทำการลดค่าเงินบาทในสถานโลกเช่นนี้ และการท่ีค่าเงินบาทแข็งค่าระดับหนึ่งย่อมส่งผลดีต่อรัฐบาลและเอกชนในการร่วมลงทุนในmega project
แต่สิ่งสำคัญท่ีสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ประเทศต้องมีความมั่นคงในด้านการเมืองการปกครองคือรัฐบาลต้องมีความมั่นคง
สิ่งที่รัฐบาลคุณประยุทธ์ทำเพื่อให้เกิดความมั่นคง คือต้องควบคุมความขัดแย้ง clash of civilizations , clash of socialism, clash of generation ซึ่งอันหลังนี้เป็นข้อขัดแย้งท่ีรุนแรงและยากท่ีจะควบคุมโดยเฉพาะในยุคsocial media
รัฐบาลคุณประยุทธ์ได้ดำเนินการมาแล้ว2เรื่อง 1การจัดตั้งศูนย์anti fake news เพื่อควบคุมกลุ่มอวตาร ซอมบี้ และrobot ในsocial media
2 มาตรการชิม ช็อป ใช้ที่เป้าหมายคือกลุ่มgen yที่เป็นกลุ่มสำคัญในsocial media สิ่งสำคัญที่รัฐบาลคุณประยุทธ์จะได้จากโครงการนี้คือbig data ของคนgen y ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้อย่างมากมาย
ข้อคิดเห็นบางประเด็นตามแนวทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง
1.ดุลบัญชีเดิมสะพัด ประกอบด้วยดุลการค้าและดุลบริการเมื่อการส่งออกลดลง แต่การนำเข้ายังสูงอยู่โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมันดิบ ขณะที่การท่องเที่ยวลดลง จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงจนถึงขาดดุลได้ในอนาคต ซึ่งค่าเงินบาทควรจะมีอาการลดการแข็งค่าลง แต่ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอยู่ เพราะยังมีเงินทุนไหลเข้าจากการเก็งกำไรค่าเงินบาท ในขณะที่ต่างชาติขายหุ้นทำกำไรแต่ไม่นำเงินออก ยังคงแปรรูปไปซื้อตราสารหนี้ เพื่อเก็งกำไรต่อ หากเงินทั้งสองก้อนนี้ถูกถอนออกไป ค่าเงินบาทจะตกวูบและกระทบการส่งออกอีกระลอก
2.การกระตุ้นเศรษฐกิจเป้าหมายหลักคือ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต ชิมช็อปใช้หลักคือกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่างจากกระจายรายได้แม้เงินจะตกลงถึงระดับล่าง แต่หากโครงสร้างเศรษฐกิจยังเป็นอยู่อย่างนี้ เงินก็จะถูกดูดกลับมาที่นายทุนที่อยู่ระดับบนไม่ก่อให้เกิดการกระจายรายได้แบบยั่งยืน
อนึ่งการประกันราคาราคาพืชผลคือการบิดเบือนตลาด เมื่อเริ่มก็ต้องทำต่อไปก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายมาก หากไม่ปรับโครงสร้างก็จะไม่มีสิ้นสุด และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้งบประมาณขาดดุล
3.เมกกะโปรเจค ผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะเกิดกับนายทุนแรงงานได้ค่าตอบแทนน้อยมากโดยเฉพาะเราต้องพึ่งแรงงานต่างชาติเป็นจำนวนมาก เพราะปัญหาโครงสร้างประชากร ดังนั้นเงินส่วนใหญ่จึงตกอยู่กับคนระดับบนเพราะปัญหาโครงสร้างการผูกขาด
4.การลดค่าเงินบาททำให้ไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าธนาคารชาติจะเพิ่มการควบคุมด้วยมาตรการต่างๆในการนำเงินเข้ามาลงทุนในระยะสั้น เพื่อเก็งกำไร ก็พอจะชะลอการแข็งค่าจนในท่สุดจะมีการปรับตัวลดค่าลงเองตามการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หรืออาจจะลดดอกเบี้ยนโยบายลงก็ได้ เพื่อทำให้เงินไหลออกบางส่วน
5.การที่รัฐบาลมั่นคงมิได้หมายความว่าชาติจะต้องมั่นคงเสมอไป การที่รัฐบาลปล่อยให้ ช่องว่างทางเศรษฐกิจห่างออกไปทุกทีซึ่งตรวจข้อมูลดูได้ จะทำให้ชาติไม่มั่นคงในอนาคต
6.ไม่แน่ใจว่า รัฐบาลพยายามสร้างความสมานจันท์หรือกลายเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ส่วนศูนย์ FAKE NEWS นั้นเป็นการทำฝ่ายเดียว คือไม่เป็นกลางหรือไม่ มิหนำซ้ำยังอาจมีองค์กรรัฐสร้าง FAKE NEWS เสียเอง เช่น เหตุการณ์ในภาคใต้
7.รัฐคงใช้ปฎิบัติการข่าว IO เพื่อสร้างข่าวในการครอบงำความเชื่อของประชาชนทุกระดับ ไม่ใช่เฉพาะคนระดับล่างและการศึกษาน้อย แต่เมื่อความจริงปรากฏมันจะเกิดความขัดแย้งที่ปะทุบานปลาย “(เมื่อความจริงปรากฏ ความเท็จย่อมมลายหายไป)”
8.การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางเศรษฐกิจต้องปรับโครงสร้าง และใช้นโยบายภาษีทางตรงเป็นหลัก ประกอบกันมาตรการอื่นๆเสริม การพึ่งพาภาษีทางอ้อมเป็นรายได้หลักจะทำให้ช่องว่างห่างออกไปเพราะคนระดับล่างต้องแบกรับภาระมากกว่าคนระดับบน (เฉพาะเรื่องนี้อาจต้องอธิบายยาว)
9.การแก้ปัญหาการส่งออก ที่สำคัญไม่ใช่ค่าเงิน ไม่ใช่ GPS แต่ต้องพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แต่ก็ต้องทำให้คนเหล่านั้นสามารถพึ่งพาตนเองได้ไม่ใช่พัฒนาไปเป็นทาสนายทุนส่งออก
10.การมุ่งหาเสียงกับคนgen y ที่อยู่ระดับกลางและล่าง แต่พยายามบีบคั้นคนgen z เท่ากับทำลายอนาคตของชาติและเติมไฟแห่งความขัดแย้ง อนึ่งการละเลยคนgen x ซึ่งกำลังมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเพราะเรากำลังเข้าสู่aging society จะทำให้คุณค่าในส่วนนี้ต้องสูญไปโดยเปล่าประโยชน์
ดังนั้นจึงควรรีบเร่งพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างชาญฉลาดเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจึงเป็นทางออกที่ดีของชาติ







