ขยะใครคิดว่าไม่สำคัญ
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
ขยะใครคิดว่าไม่สำคัญ
เมื่อไม่นานมานี้ ทางศุลกากรตรวจพบว่ามีขยะที่มีกัมมันตภาพรังสีสูง เมื่อตรวจรายละเอียดพบว่ามีวัตถุลักษณะคล้ายเข็มจำนวนมากที่ก่อให้เกิดรังสีอันเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สถานที่ตรวจพบคือท่าเรือชายฝั่งทะเลตะวันออก ที่เรากำลังโหมประโคมเพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษชายฝั่งทะเลตะวันออก(EEC)
ครั้นมองย้อนไปในอดีตเมื่อมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก คือ EASTERN SEA BOARD (ESB) ที่มีการวางแผน และโฆษณาอย่างน่าเชื่อถือว่าจะมีการจัดการกับขยะอย่างมีระบบและปลอดภัย แถมยังมีเขตกันชนไม่ให้เดือดร้อนกับชุมชน แต่พอเอาเข้าจริง ผู้รับเหมาเก็บขยะปนเปื้อนทั้งหลายก็มิได้ทำตามขั้นตอน มักมีการลักลอบไปทิ้งนอกเขต หรือมีการฝังกลบ ซึ่งก็จะซึมไปกับน้ำใต้ดิน เรื่องเขตกันชนสุดท้ายก็ถูกรุกพื้นที่ขยายขอบเขตจนไม่เหลือทำให้ชาวบ้านและชุมชนเดือดร้อนกันเป็นอันมาก ไม่เว้นแม้แต่วัดและโรงเรียนที่เด็กๆต่างป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจเป็นจำนวนมาก
ส่วนน้ำเสียก็พบว่าแหล่งน้ำในบริเวณต่อเนื่องมีธาตุหนักปนเปื้อนเป็นจำนวนมาก จนเกินกว่าค่ามาตรฐานจำนวนมาก อยากขอยกตัวอย่างคลองพานทองที่อยู่ระหว่างเขตชลบุรีและฉะเชิงเทรา ซึ่งน้ำก็จะมาไหลลงที่แม่น้ำบางปะกง มีการสำรวจพบว่ามีธาตุหนักที่มีอันตรายต่อสุขภาพสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานกว่า 100% ส่วนผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือกรมควบคุมมลพิษก็มิได้ไปตรวจตราในเวลาและสถานที่ ที่ควรจะเป็น แต่มักจะไปตรวจตอนน้ำขึ้นที่สารเจือจางแล้ว หรือตรวจตอนต้นน้ำที่มีโรงงานอยู่ใต้น้ำ อย่างนี้มันจะแก้อย่างไร ถ้าไม่จริงลองจัดทีมพร้อมภาคประชาชนที่เข้มแข็งไปตรวจกันดูก็ได้
ย้อนกลับไปอีกหลายปี มีการส่งขยะมาจากสิงคโปร์มาที่ไทย แต่ไม่มีคนมารับ ครั้นเปิดตรวจสอบพบว่ามีสารพิษปนเปื้อนมากับขยะในตู้คอนเทนเนอร์ สอบสวนหาบริษัทที่จะต้องรับสินค้าปรากฏว่าเลิกไปแล้วอย่างนี้ก็มี
ครั้นปัจจุบันก็มีข่าวผู้นำเข้าวัสดุด้านอิเลคโทรนิค และเศษพลาสติคที่ใช้แล้วนัยว่าเพื่อมาแยกขยะและเอาวัสดุที่นำกลับไปหลอมหรือใช้ได้ แต่เอาเข้าจริงมันปนเปกับขยะหรือวัสดุที่ใช้ไม่ได้อีกจำนวนมาก เลยกลายเป็นประเทศไทยต้องกลายเป็นที่กักเก็บขยะหรือที่ทิ้งขยะจำนวนมาก
มีตัวอย่างที่เคยเกิดในอดีต เช่น สหรัฐฯใจบุญบริจาคคอมพิวเตอร์ใช้แล้วให้อินเดียหลายล้านเครื่อง ซึ่งอินเดียก็รับไปปรับปรุงและมอบให้นักเรียนหรือคนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ใช้ แต่อายุการใช้งานมันสิ้น เพราะเทคโนโลยีก้าวกระโดด อะไหล่ก็หายากขึ้น สุดท้ายอินเดียก็เลยกลายเป็นที่เก็บขยะไปโดยปริยาย
จีนเองก็ออกมาตรการใหม่ที่เข้มงวดต่อการนำขยะทางเทคโนโลยีเข้าเพื่อแยกเอาวัสดุมีค่าออก ส่วนยุโรปและอเมริกาไม่ต้องห่วง ปัจจุบันผู้ส่งออกสินค้าอิเลคทรอนิคส์ต้องมีการประกันรับคืนซาก ซึ่งแสดงว่าเขาห่วงใหญ่ในเรื่องนี้มาก
ล่าสุดก็เกิดข่าวใหญ่จากพวกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คือ ข่าววาฬสเปิร์มตายที่อินโดนีเซีย และพบขยะพลาสติก 6 กิโลกรัมในท้องปลา ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก แต่เกิดมาแล้ว 2 ครั้ง ในรอบปีนี้ ที่น่าสังเกต คือพบซากปลาในเขตสุลาเวสี ซึ่งยังไม่มีอุตสาหกรรม แต่เป็นเขตป่าและธรรมชาติสวยงาม ทะเลใสสะอาด ถ้างั้นขยะมาจากไหนตั้งมากมาย ถ้าติดตามเรื่องการตายของวาฬเพราะขยะ ก็มาถึงการตายของวาฬนำร่องในเขตอ่าวไทย และถ้ามีการสำรวจทางทะเลอย่างละเอียดจะพบว่ามีประเทศโดยรอบบริเวณนี้ที่น่าจะเกี่ยวพันกับการทิ้งขยะพลาสติกทางทะเล คือ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทย
นอกจากจะทิ้งทางทะเลแล้ว แม่น้ำโขง ยังถูกระบุว่าปล่อยขยะลงทะเลมากที่สุด ซึ่งก็มีประเทศจีน ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนามที่เกี่ยวข้อง
มีการคาดคะเนกันว่า น่าจะมีขยะพลาสติกอยู่ในทะเลมากมายกว่า 150 ล้านตัน ในแต่ละปีมนุษย์ปล่อยขยะลงทะเลมากกว่า 8 ล้านตัน และอัตรานี้อาจเพิ่มเป็นทวีคูณได้ในอนาคต ซึ่งจะรวมทั้งสารพิษ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ที่สำคัญแม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้วก็มีการแอบนำเอากากปฏิกรณ์นิวเคลียร์มาทิ้งในมหาสมุทรทั้งแอตแลนติกและแปซิฟิค เพราะถ้าเก็บไว้ในประเทศมันมีค่าใช้จ่ายมากในการกักเก็บ
ในประเทศไทยมีความพยายามที่จะลดขยะพลาสติคด้วยวิธีการต่างๆ และพยายามประชาสัมพันธุ์ให้ผู้บริโภคได้เข้าใจผู้ใช้ได้ระมัดระวังลดการใช้และรวมถึงผู้ผลิต ส่วนที่มีอยู่ก็ทำการรีไซเคิล และห้ามนำเข้าขยะพลาสติค กรมทะเลก็จะมีการติดตั้งตาข่ายดักขยะจากแม่น้ำ
แต่ขยะที่ปนเปื้อนจากอุตสาหกรรม รวมทั้งการปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีที่มีทั้งนำเข้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือสมรู้ร่วมคิดก็ตาม ตลอดจนมาตรการควบคุมมลภาวะจากนิคมอุตสาหกรรมทั้งหลาย ที่การนิคมมักอ้างว่ามีมาตรการเข้มข้น แต่ในทางปฏิบัติก็มีการสมรู้ร่วมคิดกับข้าราชการ เพราะมันทำให้ลดต้นทุนลงได้มาก เหล่านี้จะทำอย่างไร ยิ่งเรากำลังจะริเริ่มไปสู่อุตสาหกรรมยุคไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการขยายเขต EEC ยิ่งต้องระมัดระวัง ต้องมีการแบ่งเขต โดยชัดเจนและมีแนวกันชนชัดเจน
เพราะมิฉะนั้นอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วก็จะทำลายภาคการเกษตรที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อม ตัวอย่างที่ได้พบเห็นมา เช่น การสร้างนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานแบตตารีลิเธียมที่ตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ติดลำน้ำบางปะกง เป็นแหล่งผลิตปลากะพงที่ใหญ่สุดในประเทศ อุดมสมบูรณ์ด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา เพราะเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเล ด้วยสภาพน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม มีป่าไม้โกงกางเป็นบริเวณกว้าง
ในอดีตบริเวณนี้ก็เคยถูกรบกวนและบ่อนทำลายด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าบางปะกงมาแล้ว เพราะโรงงานปล่อยน้ำร้อนที่หล่อเลี้ยงคอนเดนเซอร์ลงแม่น้ำด้วยอุณหภูมิที่สูง และยังใช้คลอรีนกำจัดเพรียงที่จะมาเกาะระบบเหล่านี้ ทำให้ในระยะ 2-3 ปีแรกชาวบ้านเดือดร้อนมาก เพราะสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กแต่จะเป็นอาหารเลี้ยงกุ้งหอย ปู ปลา พากันตายหมด เพราะอุณหภูมิน้ำสูง และเพราะคลอรีนกว่าจะฟื้นตัวเมื่อโรงงานไฟฟ้าได้ปรับปรุงสภาพแล้วก็ใช้เวลาเป็นปี นี่ถ้ามีนิคมอุตสาหกรรมในบริเวณนี้คงย่อยยับ ถ้าไม่มีการควบคุมที่เข้มงวด
ที่สำคัญบริเวณนี้เป็นเขตพื้นที่สีเขียวตามผังเมืองฉะเชิงเทรา ก็ยังมีความพยายามไปผลักดันให้เป็นเขตพื้นที่สีม่วง อย่างนี้เท่ากับทำลายเขตพื้นที่การเกษตรอย่างร้ายแรง แล้วเราจะเป็นครัวโลกได้อย่างไร หรือหากเรายึดตามศาสตร์พระราชา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การสร้างระบบเศรษฐกิจพอเพียง เราจะสู้หน้าประชาชนทั้งหลายที่มีความจงรักภักดีได้อย่างไร
ผู้เขียนไม่มีเจตนาใดๆที่จะขัดขวางความเจริญ และวิทยาการสมัยใหม่ แต่ความเจริญเหล่านี้มันต้องมีความสมดุลระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และที่สำคัญสภาพแวดล้อมที่ดี ที่จะทำให้มนุษย์อยู่ได้อย่างปกติสุข ไม่ใช่อมทุกข์ อมโรค ที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมเพียงเพื่อสนองตัณหาของนายทุนชาติและทุนต่างชาติ ที่คงจะไม่มีความรับผิดชอบเท่าไรต่อการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม นอกจาผลกำไรที่จะกอบโกยเอาไปได้จากแผ่นดินนี้
อนึ่งภาคการเกษตรนั้นรัฐก็ควรจะมีการจัดการควบคุมสารพิษที่มาใช้ในการเกษตรให้เข้มงวดรัดกุมมากกว่าที่เป็นอยู่ไม่ใช่ปล่อยให้ใช้เพียงเพื่อผู้ผลิตจำหน่ายสารเหล่านี้จะได้ร่ำรวยบนความทุกข์ยากของผู้บริโภค เฉพาะโรคภัยจากสารพิษเหล่านั้น ลองคิดดูค่ารักษาพยาบาลทั้งงบส่วนตัวและงบหลวงนับเป็นหลายแสนล้านบาทต่อปีแล้ว
ตอนนี้ขอให้ควบคุมลดขยะทั้งพลาสติคและสารพิษต่างๆจากภาคอุตสาหกรรม ให้ลดน้อยลงก็เยี่ยมแล้ว ลดสารพิษจากภาคเกษตรได้ยิ่งวิเศษ ต่อไปคือการจัดการขยะจากครัวเรือน ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว