jos55 instaslot88 Pusat Togel Online สบาย สบาย สไตล์เกษม: MARCH13 - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

สบาย สบาย สไตล์เกษม: MARCH13

MARCH13
สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
บันทึก”นักข่าวไดโนเสาร์”

หายไประยะหนึ่ง ก็ต้องขออภัยครับ โดนโรคาพยาธิรุมเร้าอยู่หลายชนิด ทั้ง”โรคาจร”(โรคที่แวะเวียนเข้ามาเป็นครั้งคราว)และ”โรคาถาวร”(โรคที่อยู่ติดตัวตามปกติ) สำแดงอาการทุกขเวทนาชัดเจนขึ้นบ่อยครั้ง ด้วยอายุขัยย่างเข้าสู่”ชราภาวะ”ในวัยปลายเฉียดใกล้ ”มรณะภาวะ” เข้าไปแล้วทุกขณะจิต
ก็จะมาว่าต่อ ถึงเรื่อง”สื่อรับสินบน” ในรายละเอียดที่ว่ามีวิธีการ”รับ”อย่างไร อย่างย่นย่อ
กล่าวคือ นอกจากรับสินบนง่ายๆ ด้วยการที่นักข่าวได้รับ”ของขวัญ”หรือ”เงิน” จากแหล่งข่าว ซึ่ง”แหล่งข่าว”หวังว่าจะได้รับการลงตีพิมพ์ หรือจะติดตามข่าวต่อ ตามที่ยกตัวอย่างไปในคราวที่แล้ว
ในบางวาระ”แหล่งข่าว” คือผู้ให้ข่าว มาเสนอให้สินบนถึงหัวหน้าข่าวเอง โดยไม่ผ่านบรรณาธิการ(เรื่องมาก) เพราะแน่ใจว่า”หัวหน้าข่าว”คือผู้ที่สามารถ ตัดสินใจเลือกข่าวลงในหนังสือพิมพ์นั้นๆ ได้โดยเอกเทศ “รับปาก” ก็จะได้รับการลงตีพิมพ์อย่างแน่นอน
วันหนึ่งขณะที่ผมเข้าเวรเป็น”หัวหน้าข่าว”อยู่นั้น ก็มี”อาแปะ”คนไทยเชื้อสายจีน เดินถือถุงกระดาษใบหนึ่งมาหาผม ที่สำนักงาน”สยามรัฐ”ซึ่งปกติจะเปิดกว้างให้ใครต่อใคร เดินขึ้นลง เข้าออกอย่างกับเป็นที่สาธารณะ (บางคนขึ้นไปเพื่อขออ่านหนังสือพิมพ์)อันเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาเนิ่นนาน เพื่อมิให้มีปัญหาอุปสรรคใดๆ หากมีใครจะขึ้นไปร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือ(รวมทั้งขอสตางค์เอาดื้อๆ) หรือขอคำแนะนำในเรื่องต่างๆ แต่ตอนกั้นเขต ไม่ให้คนนอกเข้า หากไม่ผ่านการคัดกรอง โดยเฉพาะในช่วงที่หนังสือพิมพ์คู่แข่งส่ง”สปาย”ข่าวมาสืบ อยากรู้ว่าเราจะพาดหัว ในวันต่อไป เรื่องอะไร
“ลื้อช่วยลงข่าวให้อั๊วหน่อย” “อาแปะ”ว่าแล้วก็ล้วงเอาเอกสารร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรม ที่ทางการไม่ยอมจัดการให้ออกมา แล้วร่ายยาวว่า พยายามขอเปิดโรงงานอย่างถูกต้อง แต่ทางการอิดออดต่อเนื่องมาเนิ่นนาน โดยไม่แจ้งสาเหตุชัดๆ จวนจะหมดกำลังใจทำธุรกิจอยู่แล้ว เพราะต้องเสียโอกาส
ผมอ่านเรื่องราวร้องเรียนแล้วเห็นว่า มี”คุณค่าข่าว”ขนาดลงหน้า ๑ ได้ เพราะเป็นประเด็นที่สาธารณชนควรรับรู้ ในความยืดยาดและท่าทีของหน่วยงานของทางการ จึ่งถามว่า
“ทำไม มาร้องเรียนที่นี่”
“มีคนแนะนำให้มาที่นี่ บอกว่า”สยามรัฐ”ชอบช่วยคน”
ว่าพลางล้วงเข้าไปในถุงกระดาษหยิบเอาธนบัตรมัดด้วยหนังยางขึ้นมามัดหนึ่ง เป็นมัดที่หนาเตอะ ด้วยใบละร้อยแดงๆ ไม่รู้ว่ามีจำนวนว่าเท่าไร
“อั๊ว ให้ลื้อ”
ผมจ้อง”อาแปะอยู่อึดใจหนึ่งแล้วว่า “เก็บกลับไปเถอะครับ ที่นี่ไม่รับเงิน บริการฟรี”
“ที่อื่น(“อาแปะ”ระบุชื่อหนังสือพิมพ์ด้วย) เขายังเอาเลย แต่ลงข่าวแล้วไม่ได้ผล”
ผมยืนกรานให้เก็บเงินคืนไป แล้วนำข่าวนั้นมาลงตีพิมพ์ ซึ่งปรากฏว่า อีกไม่นาน “อาแปะ”เดินขึ้นมาบอกผมว่า “เปิดโรงงานได้แล้ว” ขอบอก-ขอบใจเป็นการใหญ่
มีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ในกรณีที่”สื่อมวลชน”เรียกร้องค่าตอบแทนจากบริษัท ช่วงก่อสร้างสะพานพระปิ่นเกล้า ซึ่งมีปัญหาว่าจะทำราวสะพานสูงเท่าไร
ก็มีข่าวเล่าลือจากข้างนอกว่า นักเขียนของเรา(“สยามรัฐ”) คนหนึ่ง เขียนพยายาม”ตบทรัพย์”บริษัทที่ได้รับสัญญาการว่าจ้างก่อสร้างสะพานดังกล่าว
เรื่องนี้บรรณาธิการขณะนั้นคือคุณประจวบ ทองอุไร ให้ผมไปสืบเสาะข้อเท็จจริง ซึ่งก็พบว่าเป็นความจริง มีเค้ามูลการเรียกตบทรัพย์จริง
ต่อมาความทราบไปถึงม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เจ้าของ”สยามรัฐ”
ท่านจึงสั่งห้ามนักเขียนผู้นั้นเขียนลง”สยามรัฐ”อย่างถาวร ด้วยการยกคอลัมน์ทิ้ง
ผมไม่รู้แน่ชัดว่าการเรียกร้องเงินนั้น มีจำนวนเท่าใดและในเงื่อนไขรายละเอียดอย่างไร แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ไม่คิดว่า นักเขียนคนที่ผมเคยเคารพและนับถือมากจะทำอย่างนั้น
ถ้าเฉลยชื่อ ก็จะพากันร้อง”โอ้โห…รู้จักกันไปทั้งเมือง เลยครับ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็เลิกนับถือไปเลยอย่างถาวร เจอที่ไหนก็เดินหนี ตามหลัก ”อเสวนา จ พาลานัง”(คือ ไม่คบคนพาล) จนกระทั่งตายจากกัน
เฉพาะรายนี้ ถือวาเป็น”การขู่กรรโชก”ของผู้ที่ใช้อาชีพสื่อเป็นเครื่องมือครับ
เท่าที่สังเกตเห็น การกรรโชกทรัพย์โดยสื่อนั้น มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสมัยที่ธุรกิจภาพยนตร์และการบันเทิงเฟื่องฟูครับ
มีนักเขียนบางคน ในวงการบันเทิง สามารถทำรายได้จากการเขียนเชียร์หนัง ได้เงินเป็นกอบเป็นกำอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นเศรษฐีในวาระสุดท้าย
หรือไม่ก็เขียนเชียร์ดาราให้โด่งดัง แต่ต้องตอบแทนด้วยการเสียตัวอะไรทำนองนั้น
ถ้าดาราคนไหน ไม่ยอมเสียตัว ไม่เอื้อประโยชน์ ก็ต้องตกเป็นเป้าการโจมตีอย่างต่อเนื่อง กรณีนี้มีตัวอย่างจริง แต่จะไม่เอ่ยถึงครับ เพราะนักเขียนคนนี้เสียชีวิตไปแล้ว แต่คนที่เดือดร้อนยังคงมีชีวิตอยู่ ก็คงอายุเยอะแล้ว บอกชื่อก็คงจะไม่มีใครรู้จัก เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานมาก
ในวงการสื่อเขาจัดให้นักเขียนอิทธิพล ประเภทเขียน”เชียร์คน-ด่าคน” เป็นพวก “๑๘ อรหันต์”ครับ
“คำว่า ๑๘ อรหันต์”นั้น เรียกเลียนแบบหลวงจีนอาวุโสวัดเส้าหลิน ซึ่งมีอยู่ ๑๘ รูป ๑๘ วิทยายุทธ์ ทำหน้าที่สอบไล่ศิษย์ในสำนักก่อนที่จะจบหลักสูตรทดสอบการฝึกวิทยายุทธ์ แล้วออกไปท่องโลกครับ
แต่ “๑๘ อรหันต์”ในวงการสื่อนั้น ผิดแผกออกไป คือนอกจากจะเป็นผู้อาวุโสในวงการนักข่าว-นักเขียนแล้ว ก็อาศัย”ความเก๋า”มีอิทธิพลเหนือนักการเมือง หรือกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ไปในคราวเดียวกันด้วย โดยไม่คำนึงถึง”จรรณยาบรรณ”ใด ๆ ทั้งสิ้น
หากพวกนี้จับมือกันเขียนในประเด็นหนึ่งประเด็นใด จะผิดถูกอย่างไร รัฐบาลจะต้องรับฟัง
ทุกวันนี้ “๑๘ อรหันต์”ในวงการสื่อ ยังมีชีวิตอยู่กี่คน ผมเองก็ไม่รู้ได้
ได้ยินมาว่า มีบางคนเขียนแทนให้ “โอ๊ค พานทองแท้”ใน”เฟซบุค” ในการแสดงความเห็นต่างๆ อย่างผู้รู้ แม้ผมไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็อยากจะเชื่อครับ
ถามว่า ทำไมเจ้าของหนังสือพิมพ์จึงไม่จัดการกับสื่อประเภทสร้างอิทธิพล ปล่อยให้แสวงหาประโยชน์ อยู่เช่นนี้
ตอบว่าสื่อคนนั้นๆ ล้วนมีฝีมือในการเขียนระดับ”กูรู” สามารถดึงดูดใจคนอ่านได้อย่างฉมัง เจ้าของหนังสือพิมพ์ก็เลยเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ด้วยเกรงว่า หากห้ามเขียน ก็เท่ากับ”ตัดมือตัดตีน”ของตนเองไปด้วย
สำหรับผม ที่เห็นว่าแย่มาก ๆ ก็คือ “สื่อที่รับเป็น”มือผี”หรือ Ghost writer ให้นักการเมืองเลว ครับ
แต่ที่แย่ไปกว่านั้น ก็คือการที่เจ้าของหนังสือพิมพ์ยอมขายจิตวิญญาณสื่อ ให้นักการเมืองเลว โดยปล่อยให้เข้ามาครอบงำ ธุรกิจและนโยบายของหนังสือพิมพ์ทั้งหมด โดยไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อมวลชนหรือที่สมัยก่อนยกย่องเป็น”ฐานันดรที่ ๔”เอาไว้เลย
นี่คือการบ่อนทำลายอย่างใหญ่หลวงต่อ”วงการสื่อ”โดยรวมครับ
เอาไว้คราวหน้า จะพรรณนาการขายจิตวิญญาณเจ้าของสื่อมาให้อ่านกัน หากจำเป็นต้องพาดพิงถึงใคร ก็ต้องช่วยกันทำใจด้วยนะครับ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *