สบาย สบาย สไตล์เกษม : ยังไงก็เอาผิดมกุฎราชกุมารซาอุฯไม่ได้
สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
ยังไงก็เอาผิดมกุฎราชกุมารซาอุฯไม่ได้
ประธานาธิบดีสหรัฐ”โดนัลด์ ทรัมพ์”แถลงแล้วครับเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ว่ายังคงสนับสนุนมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย”มูฮัมมัด บิน ซัลมาน”ซึ่งทรงมีพระราชอำนาจเต็มในการปกครองประเทศ หลังจากที่รีๆรอๆ มาระยะหนึ่ง แม้มีหลักฐานชัดเจนว่า การฆาตกรรมนาย”จามาล อะห์มัด คาช็อกกี”นักข่าวและนักเขียนของหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ ที่สถานกงสุลซาอุฯในนครอิสตันบูล เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคมนั้น เจ้าหน้าที่ซาอุฯสมคบกันลงมือสังหารจริง
ทั้งๆที่ซีไอเอ หรือสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ จะปล่อยข่าวผ่านสื่อมวลชน(วอชิงตัน โพสต์)ว่า สรุปหลักฐานแล้วระบุว่ามกุฎราชกุมารซาอุฯทรงสั่งสังหาร”คาช็อกกี”เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นใด เพียงแต่ยังไม่ได้แถลงออกมา อย่างเป็นทางการเท่านั้น
แถลงการณ์วันที่ ๑๙ พฤศจิกายนนั้น “ทรัมพ์”ออกตัวว่ามกุฎราชกุมารซอาอุฯ “อาจทรงสั่ง หรือไม่ทรงสั่ง”สังหาร”คาช็อกกี”ก็ได้
นับเป็นการ”แทงกั๊ก”โดยไม่สนใจความถูกต้องตามกฎหมายหรือด้วยคุณธรรมใดๆ ทั้งสิ้น สะท้อนความเป็นนักการเมืองแท้ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ ทั้งในปัจจุบัน(ขายอาวุธนับแสนล้านเหรียญ)และอนาคต(หวังประโยชน์ด้านพลังงานและด้านยุทธศาสตร์โลก)
ผิดจากที่เขาพูดไว้แต่แรกหลังเกิดเหตุว่า จะนำตัวผู้ที่กระทำผิดมาลงโทษด้วยความยุติธรรม(ฐานฆ่า”คาช็อกกี”ซึ่งอยู่ในความดูแลของสหรัฐ) แต่เอาเข้าจริง ก็กระทำได้แค่สั่งให้กระทรวงการคลังสหรัฐ”ลงโทษ”เจ้าหน้าที่ซาอุฯบางคน ที่ถูกระบุชื่อว่า ร่วมกระทำฆาตกรรมเท่านั้น แต่การลงโทษที่ว่า ก็กระทำได้โดยการสั่งห้ามเข้าประเทศและอายัดทรัพย์(หากพึงมีในสหรัฐ)เท่านั้น
ที่สำคัญการลงโทษ มิได้ครอบคลุมถึงมกุฎราชกุมารซาอุฯ
ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลซาอุฯออกมายอมรับ(ก่อนหน้านี้ปฏิเสธไม่รับรู้ใดๆ)ว่าได้เดินหน้าพิจารณาเพื่อลงโทษ ผู้สมคบคิด(๑๘ คน)แล้วและในจำนวนนี้มีอยู่สี่คน จะถูกดำเนินคดีถึงที่สุดให้ประหารชีวิต
การดำเนินการทั้งหมดนี้ จะพบว่าเกิดขึ้นเพราะประธานาธิบดีตุรกี”เรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน”และทางการตุรกี(อัยการ)เอาจริง ด้วยการออกข่าวมาเป็นระยะๆ บ่งบอกและยืนยันเบาะแสในการกระทำความผิดที่มีหลักฐานแน่นหนา ตั้งแต่ข้อมูลการเดินทางไปตุรกีและการเข้าไปในสถานกงสุลของคณะเจ้าหน้าที่ซาอุฯก่อนเกิดเหตุ
ที่สำคัญมากก็คือ หลักฐาน”แถบเสียง”ที่ได้มาจะด้วยการแอบบันทึกในสถานกงสุลซาอุฯ หรือจะจากไหนก็แล้วแต่ ซึ่ง”เออร์โดกัน”เปิดเผยว่า ได้ส่งไปให้ประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส และแม้แต่ส่งให้ซาอุฯ เพื่อยืนยันว่ามีหลักฐานผูกมัดการกระทำผิดกฏหมายอย่างบังอาจจริง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการหมิ่นเกียรติตุรกีมาก
แรงกดดันนี้ ในที่สุดทำให้ทางการซาอุฯ จำต้องออกมายอมรับว่า มีการกระทำความผิดจริง แต่กระทำด้วยความพลาดพลั้งไม่ได้ตั้งใจ (ซึ่งยากจะปฏิเสธได้ว่าไม่ตั้งใจ)แต่ไม่เกี่ยวข้องโยงใย ไปถึงมกุฎราชกุมาร
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ กษัตริย์ซัลมานแห่งซาอุฯเอง ก็เพิ่งทรงมีพระดำรัสครั้งแรก ยกย่องระบบตุลาการของซาอุฯโดยทรงระบุว่า ชาติของพระองค์ ไม่เคยหลีกเลี่ยงความยุติธรรม
แต่ไม่ทรงพูดถึงคดีฆาตกรรม”คาช็อกกี”แม้แต่คำเดียว ทำให้เข้าใจได้ต่อไปว่า ทรงมอบหมายงานทั้งหมดให้มกุฎราชกุมารไปแล้ว
นั้นหมายความว่าอย่างไร
ต่อไปนี้คือคำอธิบายว่า จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น จะด้วยการทอนอำนาจก็ดี หรือหรือเปลี่ยนตัว”มกุฎราชกุมาร”ก็ดี
จำกันได้ไหมครับ มีข่าวเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคมว่า เจ้าชายอะห์มัด บิน อับดุลอาซิส”พระอนุชาวัย ๗๖ พรรษาของกษัตริย์ซัลมาน ทรงออกจากที่หลบซ่อนในกรุงลอนดอน เดินทางกลับไปยังซาอุดีอาระเบีย เพื่อทรงหาทางเจรจา(กับใครก็ไม่รู้) เพื่อลดทอนอำนาจของมกุฎราชกุมารซาอุฯคือ”เจ้าชายมุฮัมมัด” หรือ “เอ็มบีเอส” หรือหาคนอื่นที่เหมาะสมกว่า สืบทอดราชบัลลังก์ซาอุฯแทน เพราะเล็งเห็นว่า”เอ็มบีเอส”ประฤติไม่เหมาะสมในกรณี”คาช็อกกี” ทั้งนี้ ด้วยการประกันความปลอดภัยของทางการสหรัฐและอังกฤษ
ข่าวนี้เป็นจริงหรือไม่แค่ไหน ไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ หรือมีข่าวใด ๆ ตามมา ซึ่งคอลัมน์นี้เคยเขียนไว้ว่า หากเงียบหายไปเลย ก็แสดงว่าเป็นการ”ปล่อยข่าว”ของสำนักข่าว”มิดเดิล อีสต์ อาย” ซึ่งตามปกติ ไม่เคยออกข่าวเท็จใดๆ
หรือถ้าไปจริง ก็แสดงว่าทางการซาอุฯ จัดการกับเจ้าชายอะห์มัด ในทางหนึ่งทางใด เรียบร้อยไปแล้ว เลยเงียบเชียบหายจ๋อมไป
ดังนั้น ที่เล่าลือกันว่า เป็นแผนเขย่าบัลลังก์ซาอุฯ ก็ต้องพลอยเงียบตามไปด้วย
ความจริงพฤติกรรมระห่ำบางอย่างของ”เอ็มบีเอส” ซึ่งไม่เพียงการสั่งฆ่า”คาช็อกกี”เท่านั้น ที่ไม่เป็นที่พอใจของบรรดา”เจ้าชาย”หลายพระองค์ รวมทั้งเจ้าชายอะห์มัด แต่ยังมีเรื่องอื่นด้วย เช่นการกวาดล้างศัตรูทางการเมืองขนานใหญ่ทั้งการทำให้สูญหาย การจับกุมและการกักบริเวณเพื่อเรียกค่าไถ่ หลังขึ้นครองตำแหน่งมกุฎราชกุมาร
แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือ หรือทำอะไร”เอ็มบีเอส”ได้
ย้ำอีกทีครับ ในท่ามกลางกระแสการเมืองทั้งภายนอกและภายในที่เชี่ยวกราก”ย่อมจะไม่มีการเปลี่ยนม้ากลางลำธาร”อย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ทั้งม้าทั้งคนขี่ ก็จะวินาศย่อยยับหมด
กรณีที่เกิดกับซาอุดีอาระเบียก็เช่นกัน หากมีการเปลี่ยนตัว”มกุฎรากุมาร”กลางคัน ทุกอย่างจะวุ่นวายขนาดไหน หากไร้การเตรียมการมาแต่เนิ่นๆ เช่น การเปลี่ยนตัวจากเจ้าชาย มุฮัมมัด บิน นาเยฟ”มาเป็น”เอ็มบีเอส”ซึ่งมีความราบรื่นเป็นที่น่าสังเกต
แต่กระนั้น ก็มีข่าวที่ไม่ยืนยันแหล่งที่มา จากหนังสือพิมพ์”ฮาอาเรตส์”ของอิสราเอล เมื่อวันที่ ๒๐พฤศจิกายนว่า ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ของซาอุฯกำลังสูญเสียความนิยมในตัวมุฎราชกุมารซาอุฯองค์ปัจจุบันและผู้ที่ได้รับการสนับสนุนขึ้นมาแทนที่ ก็คือเจ้าชายอะห์มัด ที่หายเงียบไป
ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า “สภาราชนิกูล”ซึ่งประกอบไปด้วยเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่นับร้อยคน จะโหวตเสียงส่วนใหญ่เลือกผู้อื่นหรือเจ้าชายอะห์มัด ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากกษัตริย์ซัลมาน ซึ่งขณะนี้ทรงป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์
เพราะตามประเพณีดั้งเดิม ที่ปฏิบัติกันต่อๆมานั้น มกุฎราชกุมารจะขึ้นครองราชย์ได้ ก็ต้องได้รับการรับรองด้วยเสียงส่วนใหญ่ของ”สภาราชนิกูล”ก่อน
อยู่ๆ จะขึ้นครองราชย์เอง โดยอัตโนมัติไม่ได้
แต่ก็เข้าใจว่า การโหวตเสียง จะต้องรอจนกว่ากษัตริย์ซัลมาน สิ้นพระชนม์แล้วเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรๆ ก็ทรงไว้วางใจ”เอ็มบีเอส”ยิ่งกว่าใครๆ อยู่แล้ว
จึงสรุปเรื่องราวทั้งหมดนี้รายงานมา เพื่อทำความเข้าใจอย่างกันอย่างถูกต้องและต่อเนื่องครับ
ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่อย่างไร นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ขออย่าได้”เสียดสี”หรือ”ตำหนิ”สื่อมวลชน ให้เจ็บต้องปวดเลยครับ ว่าพวกเรา”ตอแหล”และ”โป้ปดมดเท็จ”หรือ”เดาสุ่ม” เช่นที่ “โดนัลด์ ทรัมพ์”ชอบประณาม
พวกเราทำได้ ก็ได้แค่สรุปและรายงานมาเท่านั้น จะวิเคราะห์เจาะลึก อย่างนักวิชาการได้อย่างไรเล่า