ศาสนสัมพันธ์ในมุมมองของอิสลาม
ศาสนสัมพันธ์ในมุมมองของอิสลาม
โดย ดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
ศูนย์อิสลามศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
ก่อนที่จะมีมนุษย์เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ความหลากหลายในธรรมชาติได้มีมาก่อนแล้ว ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันของสรรพสิ่ง และแท้จริงมนุษย์นั้นถือว่าเป็นส่วนย่อยหนึ่งของเอกภพและการเกิดขึ้นของมนุษย์มีความแตกต่างกับสรรพสิ่งอื่นๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นคุณลักษณะของมนุษย์คือการอยู่ร่วมกัน เป็นการอยู่กันอย่างเป็นหมู่คณะ อีกทั้งมนุษย์นั้นยังมีการปฎิสัมพันธ์ต่อกัน ดังนั้นในแต่ละแห่งของมนุษย์ก็ย่อมมีการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน โดยการอยู่ร่วมกันนั้นอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ ถึงแม้ว่ามีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เราเรียกว่าเป็นความหลากหลายทางชีวภาพ และมนุษย์ยังมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งทั้งสองเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน และจากการที่มนุษย์มีปฎิสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรม เป็นบ่อเกิดของการรู้จักกันและเข้าใจกันและกัน พร้อมที่จะเกื้อกูลและสนับสนุนกันและกันและสร้างความสันติในการอยู่ร่วมกัน.
อัลกุรอานได้กล่าวถึงเรื่องความสัมพันธภาพของมนุษย์ ดังนี้
“โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้ามาจากชายหนึ่งและหญิงหนึ่ง และเราได้ทำให้พวกเจ้าเกิดเป็นเผ่าพันธุ์ต่างๆ เพื่อที่จะได้รู้จักกันและมีปฎิสัมพันธ์ต่อกัน แท้จริงผู้มีเกียรติที่สุด ณ องค์อัลลอฮ คือผู้มีความยำเกรงและสำรวมตนที่สุด”(บทอัลฮุจรอต/๑๓)
เมื่อพิจารณาในระบบย่อยลงมาจากจักรวาล ก็สามารถมองเห็นอย่างประจักษ์ชัดว่าสรรพสิ่งทั้งหลายมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันในระบบองค์รวม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในท่ามกลางความหลากหลาย สรรพสิ่งต่าง ๆ ต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน โดยมีมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มิใช่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ตามที่เคยคิดและเข้าใจกันมาแต่ก่อน มนุษย์จึงต้องทำตัวให้เป็นส่วนหนึ่งของโลกธรรมชาติมนุษย์ แต่ทว่าในปัจจุบันนอกจากมนุษย์จะทำตัวแปลกแยกไปจากธรรมชาติแล้ว ยังเป็นตัวการทำลายสภาพแวดล้อมและทำลายวัฒนธรรมกันและกันอย่างมากมาย สิ่งแวดล้อมที่สำคัญของมนุษย์มีอยู่ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
1) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ สิ่งไม่มีชีวิต เช่น แร่ธาตุ ดิน น้ำ อากาศ ทะเลทราย ภูเขา ป่าไม้ แม่น้ำ ลำคลอง เป็นต้น
2) สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ได้แก่ สิ่งที่มีชีวิต เช่น ต้นไม้ สัตว์ เชื้อโรค สิ่งเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
3) สิ่งแวดล้อมทางสังคม เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ เช่น ประชากร เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม พิธีกรรมทางศาสนา และเทคโนโลยี เป็นต้น
ในระบบองค์รวม สิ่งแวดล้อมทั้งสามชนิดของมนุษย์จะต้องดำรงอยู่ในลักษณะประสานสัมพันธ์ สอดคล้องกลมกลืนกัน เพื่อให้เกิดภาวะดุลยภาพ สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และจากยุควัตถุนิยมที่ส่งเสริมให้มนุษย์บริโภคเกินขอบเขต ทำให้มนุษย์สร้างปรัชญาในการดำเนินชีวิต ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ระบบการศึกษา รวมทั้งเทคโนโลยีต่าง ๆ ในลักษณะที่เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อมทางสังคมอย่างมากมายในลักษณะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
นักสังคมวิทยาได้กล่าวว่า แท้จริงมนุษย์เป็นสัตว์สังคมมีชีวิตที่อยู่กันอย่างเป็นกลุ่มหมู่ และมนุษย์กับสังคมเป็นสิ่งที่ควบคู่กัน กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นในโลกใบนี้ มนุษย์ก็ได้รวมอยู่เป็นสังคม แต่เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อควบคุมแบบแผนแห่งพฤติกรรมของมนุษย์ หากปล่อยให้มนุษย์แต่ละคนทำการตามอำเภอใจโดยปราศจากการควบคุมแล้ว สังคมก็ย่อมจะเกิดความปั่นป่วนยุ่งเหยิงและขาดระเบียบแบบแผน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อสังคมจะเกิดสันติสุข
สังคมอาจจะเป็นสังคมที่ดีโดยการยึดระเบียบแบบแผนทางสังคมนั้นมาปฎิบัติ และอาจจะเป็นสังคมที่เลวและสังคมที่ตายไร้ชีวิตชีวา ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงจำเป็นจะต้องส่งศาสดามาชี้นำทางประชาชนและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือขัดเคลาสังคม และ การขัดเกลาทางสังคม คือ การนำคนเข้าสู่ระบบของสังคม โดยผ่านกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ขัดเกลาอัตตชีวะให้พ้นจากสภาพสัญชาตญาณเดิมจนกลายเป็นมนุษย์สังคม เพราะมนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก จึงต้องผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมตลอดชีวิต ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งศาสดาเป็นผู้ชี้นำและทำหน้าที่ขัดเกลา โดยการนำหลักคิดที่ผ่านกรอบแนวคิดจากวิวรณ์แห่งพระผู้เป็นเจ้า
ปรัชญาสังคมได้สอนให้เรารู้ว่า แท้จริงสังคมนั้นจะต้องดำรงอยู่ด้วยความยุติธรรม และผู้ที่จะมาสร้างความยุติธรรมแก่สังคมได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมขั้นสูง อีกทั้งได้ผ่านการขัดเกลาจิตใจตนเองจนบรรลุธรรม ซึ่งในหน้าประวัติศาสตร์คือบรรดาศาสดาเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าได้ถูกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ดังกล่าว ดังที่ อัลกุรอานได้ยืนยันไว้ว่า..
“แน่นอนเราได้ส่งศาสนทุตของเรามา ด้วยกับหลักฐานอันชัดแจ้ง และเราได้ประทานคัมภีร์และตาชั่งมาพร้อมกับพวกขา เพื่อว่าให้มนุษย์นั้นยืนขึ้นต่อสู้ด้วยความยุติธรรม”(อัลฮะดีด/๒๔)
โลกกับวัฒนธรรม
โลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า “สงครามวัฒนธรรม” (Culture Wars)หรือ “ความขัดแย้งระหว่างระหว่างอารยธรรม” (The Clash of Civilizations) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์สองแบบที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ความขัดแย้งระหว่างโลกทัศน์ที่แตกต่างทั้งสองนี้ กำลังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมโลกทั้งมวล และยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากการมีโลกทั ศน์ที่แตกต่างและความเข้าใจต่อเรื่องของโลกและวัฒนธรรมที่ต่างกัน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ววัฒนธรรมนั้นเป็นสิ่งที่สวยงาม และบ่งบอกถึงความเจริญงอกงามทางศิลธรรม และแก่นของวัฒนธรรมไม่ใช่การขัดแย้งหรือจะต้องทำลายกันและกัน
คำว่า culture หรือ วัฒนธรรม นักปราชญ์แต่ก่อนเอาคำบาลีว่า วฑฺฒน รวมเข้ากับคำสันสกฤตว่า ธรฺม เป็น วัฒนธรรม มี ในพจนานุกรมมติชนว่า หมายถึง แบบแผนการดำเนินชีวิตและขนบประเพณีของสังคม แต่โดยทั่วไปคนมักเข้าใจแคบๆ ว่า หมายถึง ความมีระเบียบ ความสวยงาม ความเจริญ ที่ถูกกำหนดโดยชนชั้นสูงเท่านั้น (ที่มา : คอลัมน์ สยามภาษา นสพ. มติชนรายวัน) และการที่มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ชุมชน สังคม ขึ้นมา ย่อมต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของกลุ่ม ทั้งที่เป็นชาวบ้านและชาวเมือง การที่จะอยู่ร่วมกัน จำเป็นที่จะต้องมีระเบียบแบบแผนที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในกลุ่มให้อยู่ในขอบเขต ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุข สิ่งที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของกลุ่มคนนี้ เราเรียกว่า “วัฒนธรรม” ดังนั้น วัฒนธรรมจึงเปรียบเสมือน “อาภรณ์” ห่อหุ้มร่างกาย ตกแต่ง ประดับคนให้น่าดูชม เป็นเอกลักษณ์ที่สร้างความเป็นที่รู้จัก เป็นวิถีชีวิตที่ถูกเลือก ที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยความรู้ เป็นเกราะป้องกันการรุกรานจากภายนอก และเป็นการแสดงถึงการยืนยันในความเป็น “ตัวตน” ของกลุ่มชน ที่มีความหลากหลายทั้งความรู้ วิธีคิด ความเชื่อถือ และศรัทธา วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กับคนและกลุ่มชนเสมอไป(อ้างจากบทความพื้นฐานวัฒนธรรมมุสลิมและการละเมิดในนามของเสรีภาพโดยโชคชัย วงษ์ตานีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์)
แนวคิดของแซมมวล ฮันติงตัน
ศาสตราจารย์ แซมมวล ฮันติงตัน แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เป็นผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลจอร์ช บุช และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางสาว คอร์โดลิซ่า ไรซ์ ซึ่งแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อโลกมุสลิมค่อนข้างมาก ก่อให้เกิดความตึงเครียดในโลกยุคปัจจุบัน ฮันติงตัน มีความเชื่อว่า ความแตกแยกระดับมหาภาคระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และที่มาของความขัดแย้งต่างๆ จะมาจากด้านวัฒนธรรม การปะทะกันระหว่างอารยธรรม จะครอบงำการเมืองโลก การปะทะที่สำคัญที่สุดจะเป็นการปะทะกันระหว่าง
”อารยธรรมตะวันตก กับ อารยธรรมที่มิใช่ตะวันตก” แต่เขาใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ในบทความและหนังสือ บรรยายความขัดแย้ง ทั้งที่เกิดขึ้นจริงและมีแนวโน้มว่าจะเกิด (อ้างจาก www.midnightuniv.org)
ฮันติงตันชี้ว่า หัวใจของทุกอารยธรรมนั้นอยู่ที่ศาสนา แล้วพูดเจาะจงลงไปถึงผู้นับถือศาสนาอิสลามกับศาสนาอื่นๆ ว่า
“…ในพื้นที่ทั้งหลายเหล่านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมกับประชาชนของอารยธรรมอื่นๆ ไม่ว่าคาทอลิก โปรเตสแตนท์ ออร์โธดอกซ์ ฮินดู จีน พุทธ หรือ ยิว นั้น โดยทั่วไปแล้วเป็นปรปักษ์กัน เกิดความรุนแรงในคู่ความสัมพันธ์เหล่านี้ในบางช่วงของประวัติศาสตร์ ความรุนแรงหลายกรณีเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ ๑๙๙๐ ไม่ว่ามองไปทางไหน ชาวมุสลิมมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสันติ คำถามย่อมตามมาว่า แบบแผนของความขัดแย้งในปลายศตวรรษที่ ๒๐ ระหว่างมุสลิมกับกลุ่มที่ไม่ใช่มุสลิมเช่นนี้ จะเป็นจริงในกรณีของคู่ความสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมอื่นๆ ด้วยหรือไม่ คำตอบคือไม่ มุสลิมมีประชากร ๑ ใน ๕ ของโลก แต่ในช่วงทศวรรษ ๑๙๙๐ พวกเขามีส่วนพัวพันในความรุนแรงระหว่างกลุ่มมากกว่าผู้คนของอารยธรรมอื่น ๆ หลักฐานมีมากมาย…” (อ้างจาก www.thaipost.com)
การฟื้นฟูวัฒนธรรมและศาสนาในยุคโลกาภิวัตน์
จากแนวคิดและทฤษฎีของชาติตะวันตกมองยังอารยธรรมอิสลามและมุสลิมว่าเป็นวัฒธรรมที่อันตรายและเป็นภัยคุกคามต่อชาวโลก ส่งผลให้บางประเทศได้ติดกับดักหลุมพลางนั้นอย่างชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่พวกเขาลืมไปว่าแท้จริงแล้วถ้าพวกเขาได้สืบค้นและเข้าถึงวัฒนธรรมอิสลาม โดยเฉพาะจากกรอบแนวคิดในแนวทางของชีอะฮ พวกเขาจะพบว่า แท้จริงอิสลามและแนวคิดของอิสลามไม่ได้เลวร้ายที่พวกเขาเข้าใจ ดังนั้นผู้เขียนเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องอรรถาธิบายบางประการให้กับท่านผู้อ่านเกี่ยวกับวัฒนธรรมอิสลามและประโยชน์ทางวัฒนธรรมที่ผ่านกระบวนการคิดโดยทายาทศาสดามุฮัมมัด(ศ) ผู้อยู่ในฐานะของผู้ชี้นำมนุษยชาติ ผู้ชี้นำชาวโลก โดยจะสรุปถึงแนวคิดทางศาสนาและทางวัฒนธรรม ได้ดังนี้
ก.อิสลามสนับสนุนแนวทางการสมานฉันท์และต่อต้านการปะทะทางอารยธรรม
อิสลาม คือ ศาสนาแห่งสันติภาพและเรียกร้องไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียว เรียกร้องไปสู่ความเป็นเอกภาพและความสมานฉันท์ และต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบและอิสลามเป็นศาสนาที่สร้างความสมดุลภาพทั้งทางเอกบุคคลและทางสังคม
อิสลามเรียกร้องมนุษยชาติสู่การยอมจำนนต่อความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า เอกอองค์อัลลอฮ ซ.บ. เพราะว่าพระองค์อัลลอฮ คือ ปฐมเหตุแรก เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ปกครอง และเป็นผู้ปกป้อง และเป้าหมายการยอมรับอิสลาม คือการนำมาซึ่งความผาสุก ความสงบสุขของชีวิต ทั้งโลกนี้ และชีวิตโลกหน้า
การบัญญัติทางศาสนาทุกประการและทุกเรื่อง ไม่ว่าหลักปฎิบัติที่เป็นเรื่องเล็กสุด จนไปถึงสิ่งใหญ่สุดได้รับการบัญชาใช้หรือบัญชาห้ามมาจากเอกองค์อัลลอฮซ.บ. และปรัชญาของการบัญญัติหลักปฎิบัติเหล่านั้น ทั้งหมดคือความโปรดปรานจากพระองค์อัลลอฮซ.บ. โดยที่ประโยชน์ของการยึดปฎิบัติตามคำสั่งใช้หรือละเว้นจากคำสั่งห้ามนั้น เป็นของมนุษย์โดยแท้ และบางบทบัญญัติมีประโยชน์ในมิติทางปัจเจกบุคคล และบางบทบัญญัติมีมิติทางสังคม
หลักปรัชญาและทฤษฎีทางเทววิทยาได้กล่าวไว้ว่า แท้จริงพระเจ้าอยู่ในฐานะของผู้ทรงวิทยปัญญาขั้นสูง (ทรงฮะกีม) อันหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำหรือพระองค์ทรงบัญชา สิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าและมีประโยชน์ และประโยชน์นั้นจะยังถึงผู้ปฏิบัติและผู้กระทำ ดังนั้นหลักการเรื่องหนึ่งและข้อบัญญัติหนึ่งของมุสลิม คือการสร้างความสมานฉันท์ระหว่างมุสลิมด้วยกันและจะต้องมีปฎิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน รวมไปถึงคนต่างศาสนิก ดังที่อิมามอะลี(อ)ได้กล่าวกับท่านมาลิก อัชตัร ว่า..
“ จงนำคำขวัญเป็นคติต่อตัวเองเสมอว่า ต้องมีความเมตตาและความรักในการปกครองพวกเขานั้น และจะต้องมีความโอบอ้อมอารี และอย่าได้เป็นดั่งสัตว์ดุร้าย ที่คอยจะกัดกินพวกเขา เพราะว่าประชาชนนั้น มีสองกลุ่ม หนึ่งพวกเขานั้นเป็นพี่น้องร่วมศาสนากับเจ้า หรือถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเจ้า”
และอัลกุรอานได้กล่าวถึงเรื่องหลักเอกภาพและการสร้างความสมานฉันท์ไว้ว่า
“และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน และจงรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮฺที่มีแด่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงทำให้สนิทสนมกันระหว่าหัวใจของพวกเจ้าแล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วยความเมตตาของพระองค์” <อาลิ อิมรอน : 103>
ข.อิสลามยอมรับในความต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่สอนให้รักสันติและเรียกร้องไปสู่สันติภาพ ดังนั้นเมื่อโลกใบนี้มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ดังนั้นจะต้องยอมรับสิ่งสำคัญลำดับต่อมาคือ การศึกษาเรื่องความหลากหลายของวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ความแตกต่างและหลากทางวัฒนธรรมที่อยู่ในแต่ละประเทศต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของกลุ่มชนที่ต่างกัน นอกจากจะสร้างความรัก ความผูกผัน ทำความรู้จักต่อกันแล้ว ยังก่อให้เกิดการเรียนรู้ ตระหนักและพัฒนาความเป็น ชาติ ศาสนา ท้องถิ่นและชุมชน รวมทั้งยังสามารถเกิดการพัฒนาในระดับบุคคล คือ การพัฒนา ความรู้ สติปัญญา ทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการหล่อหลอมให้เกิดการใช้ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม เพื่อ “เข้าใจผู้อื่น” เข้าใจความเป็นอยู่ของคนในที่ต่างกัน ทั้งที่อยู่ห่างไกลและอยู่ใกล้ชุมชนรอบตัว รวมทั้งรู้ “วิธีการ” ที่เราจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข การเรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมของผู้อื่น/กลุ่มชน ศาสนิกอื่น มีประโยชน์และกำไรสำหรับผู้ที่รู้ เป็นผู้รู้กาละเทศะ การปรับตัวเพื่อการเข้าใจกันสามารถลดความขัดแย้ง สร้างสันติสุขในการอยูร่วมกัน นอกจากนั้นการรู้วัฒนธรรม ยังทำให้เรารู้อีกว่า อะไรที่ควรทำหรืออะไรที่ไม่ควรทำ เรื่องใดที่เขายึดถือ เคารพ ห้ามละเมิดและยอมได้หรือยอมไม่ได้ ในบางเรื่องผู้ที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมจะเป็นคนบอกเองว่า อะไร ที่เป็นข้อผ่อนปรนได้ อะไรที่ผ่อนปรนไม่ได้ อะไรคือเรื่องหลัก อะไรคือเรื่องรอง และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือการเข้าถึงปรัชญาการสร้างมนุษย์บนความหลากหลาย ซึ่งเป้าหมายเพื่อให้มนุษย์เรียนรู้กันและกันและให้เกียรติต่อกัน ไม่ละเมิดสิทธิกันและกัน(อ้างจากบทความการจัดการทางวัฒนธรรม : ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในเชียตะวันออกเฉียงใต้)
การเสวนาทางวัฒนธรรม
การสานเสวนาเป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้บุคคลหรือกลุ่มต่างๆ ที่มีความคิด ความเชื่อ จุดยืนต่างกัน มีโอกาสพบปะพูดคุยแสดงความรู้สึก ฟังเงื่อนไขปัจจัยของกันและกันอย่างลึกซึ้งเพื่อเข้าใจกันอย่างเห็นอกเห็นใจ มากขึ้น โดยที่สองหรือหลายฝ่ายยังมีจุดยืนที่ต่างกันได้ แต่การฟังเพื่อเห็นอกเห็นใจและเข้าใจกันนั้น ต้องมองข้าม เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ พัฒนาความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจสถานการณ์ ของเพื่อนที่เชื่อต่างจากตน กระทั่งอาจเปลี่ยนแปลงความเข้าใจผิด ความขัดแย้งไปเป็นความเข้าใจและเห็นใจ กันมากขึ้นด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการสานเสวนาที่จะเป็นทางเลือกหนึ่งของการเสริมสร้างความเข้าใจ ป้องกันและลดปัญหาความขัดแย้ง และจากกรอบแนวคิดที่ได้กล่าวมานั้น แน่นอนอัลกุรอานและบทรายงานจากวจนะของศาสดามุฮัมมัด(ศ)และทายาทของศาสดา(อ)รวมไปถึงบรรดาสาวกอันทรงธรรมทั้งหลายต่างก็ได้ใช้หลักการและแนวทางในการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายทางวัฒนธรรมมาก่อนแล้ว ซึ่งนั่นคือแบบอย่างที่ถือว่าเป็นวัฒนธรรมของมุสลิม
ดังที่อัลกุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า..
“จงกล่าวเถิด(โอ้มุฮัมมัด) ว่า โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ จงมายังถ้อยคำหนึ่งซึ่งเท่าเทียมกัน ระหว่างเราและพวกท่าน คือว่าเราจะไม่เคารพสักการะสิ่งใด นอกจากพระองค์เท่านั้น และเราจะไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ แล้วหากพวกเขาผินหลังให้ ก็จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเราเป็นผู้น้อมตาม”(อาลิอิมรอน/๖๔)
บรรณานุกรม
กีรติ บุญเจือ. อรรถปริวรรต คู่เวรคู่กรรม ปรัชญาหลังนวยุค กรุงเทพฯ. พิมพ์ที่ โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีที่พิมพ์ พศ. ๒๕๔๙
คณาจารย์คณะอุศูลุดดีน สถาบัน ดัรรอเฮฮัก เมืองกุม แปล เชคซัยนุลอาบีดีน ฟินดี้ รากฐานศาสนาอิสลาม กรุงเทพฯ .ศูนย์วัฒนธรรมอิสลามแห่งอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ ปีที่พิมพ์ พศ.๒๕๔
เชคชะรีฟ ฮาดียฺ คำสอนจากนะฮญุลบะลาเฆาะฮ กรุงเทพฯ, สถานศึกษา ดารุลอิลมฺ มูลนิธิ อิมามคูอีย์ ปีที่พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๐
พีชวออี แปลโดย ไซม่า ซาร์ยิด ภาพลักษณ์ทางการเมืองของอิมาม ๑๒ พิมพ์ สถาบันศึกษาอัลกุรอานรอซูลอัลอะอ์ซอม.ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๑
วิวัฒน์วงศ์. บรรณาธิการ. สังคมวัฒนธรรมกับสุขภาพ, หน้า 27-38. สงขลา : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
อบูอาดิลชะรีฟ อัลฮาดีย์ 2548 การกำเนิดสำนักต่างๆในอิสลาม กรุงเทพฯ :ศูนย์วัฒนธรรมสถานเอกอัคร ราชทูต สาธารรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ
อยาตุลลอฮ์ ญะอ์ฟัร ซุบฮานี แปลโดย อบูอาดิล ชะรีฟ อัลฮาดีย์ 2548 ชีอะฮ์ในประวัติศาสตร์อิสลาม กรุงเทพฯ : The Ahl al bayt a.s World Assembly
อัลลามะฮ ฎอบะฎอบาอีย์ แปลโดย เชคชะรีฟ เกตุสมบูรณ์ 2548 ชีอะฮ์ในอิสลาม กรุงเทพฯ :สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม
อ้างอิงจากเว็ปไซต์ www.al shiah .com ภาคภาษาไทย
Ayatullah Javadi Amoli. Imam Khomaini Qom Iran : Isra Publication Center 1384
Ayatullah Misbah Yazdi. Jami ah wa Tareek. Qom Iran : Sazman Tabliqat 1372
Ayatullah Javadi Amoli. Falsafah Hukok Bashar. Qom Iran : Isra Puplication Center 1382