ปรัชญาศาสนา : ประโยชน์การมีศาสนา และการแสวงหาศาสนา
ปรัชญาศาสนา : ประโยชน์การมีศาสนา และการแสวงหาศาสนา
โดย ศ.(กิตติมศักดิ์) ดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
ศูนย์อิสลามศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
มนุษย์โดยทั่วไปแล้วจะเรียนรู้สิ่งที่สัมผัสและรู้สึกได้ก่อนที่จะเรียนรู้เรื่องราวทางจิตวิญญาณ เช่นความมั่งมีถือว่าเป็นต้นทุนหนึ่งของการดำเนินชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ ทุกคนจะรู้จักมันอย่างรวดเร็ว และดิ้นรนหาคุณค่ามัน นั่นคือการแสวงหาการงานที่มีรายได้สูงหรือมีเกียรติยศควบคู่ไปด้วย และบางครั้งมนุษย์ได้ให้คุณค่าแก่มันชนิดที่เกินความพอดี จึงการการแย่งชิงและความละโมบ ยิ่งจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเขาและสังคมชนิดที่ยากในการจะเยียวยา
ผลประโยชน์ของการศรัทธาในศาสนาจะสร้างหลักคุณธรรมและการมีจรรยามรยาทที่ดีงาม กล่าวคือจากรากฐานของความเชื่อและการศรัทธาทางศาสนามีคำสอนในด้านจริยธรรมและจรรยามารยาทที่จะเป็นเกราะคุ้มกันมนุษย์ให้ปลอดภัย การสร้างหลักพื้นฐานทางจรรยามรยาทที่ดีงาม คือห่วงโซ่แรกสุดของห่วงโซ่ทางจิตวิญญาณ นั่นคือการมีศรัทธาในศาสนาและการเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นเกียรติยศ ความไว้วางใจ ความซื่อสัตย์ การเสียสละ และการกระทำดีทุกอย่าง ที่มนุษย์ได้ขนานนามว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ และมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยต่างก็สรรเสริญ ล้วนแต่วางอยู่บนรากฐานของการมีศรัทธาในศาสนาทั้งสิ้น
มนุษย์เริ่มจะค้นหาคุณค่าทางจิตวิญญาณและดื่มด่ำกับรสชาติมัน เพราะพื้นฐานของความคิดทางด้านจิตวิญญาณนั้นคือการมีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า อย่างน้อยสุดเขาก็ได้ศรัทธาต่อพระเจ้าที่ทรงยุติธรรม ทรงวิทยปัญญา จะทำให้มนุษย์มีความมั่นใจในสิ่งที่ตนได้กระทำและปฎิบัติว่าจะไม่สูญเปล่า ดังที่อัลกุรอานได้กล่าวว่า
“แท้จริงอัลลอฮ จะไม่ทรงลดหย่อนรางวัลของบรรดาผู้ประกอบการงานดี”(อัต-เตาบะฮ/๑๒๐)
และอีกโองการหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า..
“บุคคลที่วางรากฐานอาคารของเขาอยู่บนการมีความยำเกรงต่อองค์อัลลอฮและความพึงพอพระทัยนั้น ดีกว่าบุคคลที่วางรากฐานอาคารของเขาอยู่บนริมตลิ่ง มิใช่หรือ?”(อัต-เตาบะฮ/๑๐๙)
ความหมายของโองการข้างต้นคือว่า บุคคลผู้ซึ่งวางรากฐานการงานของเขาให้อยู่บนความพึงพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าและอยู่บนความยำเกรงต่อพระองค์ ย่อมดีกว่าบุคคลที่วางการงานของเขาอยู่บนปากเหว ซึ่งข้างล้างมีความว่างเปล่าและพร้อมจะตกลงไปได้ตลอดเวลา ดังนั้นบุคคลที่ได้อิงแอบอยู่กับหลักคิดและหลักปฎิบัติทางจรรยามารยาทและบุคลิกภาพที่ไม่ได้รับการยอมรับจากพระผู้เป็นเจ้า เสมือนกับบุคคลที่ได้ก้าวเดินอยู่บนปากเหวแห่งหายนะที่พร้อมจะตกลงไปได้ทุกเมื่อ
และอัลกุรอานได้กล่าวอีกว่า..
“อุปมาของบรรดาผู้ซึ่งยึดเอาสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮเป็นผู้คุ้มครองดูแลนั้น อุปมัยดังเช่นแมงมุมสร้างบ้าน แท้จริงบ้านที่เปราะบางที่สุดคือรังใยแมงมุม”(อัลอันกะบูต/๔๑)
ความสำคัญและจำเป็นต่อการแสวงหาศาสนา
จากหลักฐานหนึ่งที่ได้ถูกยืนยันว่า แท้จริงมนุษย์มีมิติทางด้านจิตและการสัมผัสรู้ที่แตกต่างกับสรรพสัตว์อื่นๆ นั่นก็คือมีสัญชาตญาณดั้งเดิม(ฟิตเราะฮ)ที่เป็นการสัมผัสรู้สิ่งต่างๆและการสืบค้นความจริงต่างๆที่ปราศจากการเรียนและการสอน โดยสัญชาตญาณดั้งเดิมนี้ได้มีมาคู่กับมนุษย์แล้วตั้งแต่แรกเกิด และจะดำรงอยู่ในมนุษย์จนกว่าสิ้นลมหายใจไปทีเดียว
จากคุญลักษณะเฉพาะนี้ของมนุษย์ที่ได้อยู่ในสัญชาตญาณดั้งเดิม เป็นความกระตือรือร้นของจิตและสัญชาตญาณดิบเรียกร้องให้มนุษย์สืบค้นหาความจริงสูงสุด ซึ่งเป็นที่มาของการค้นคว้าและสืบค้นหลักบริสุทธิ์ทางศาสนาขึ้น จนกระทั้งทำให้มนุษย์ค้นคว้าหาวิธีในการเข้าใจและเข้าถึงหลักธรรมทางศาสนาที่เป็นคำสอนและหลักความเชื่อ เพื่อหาข้อสรุปของเนื้อหาทางศาสนานั้น อีกทั้งเรียบเรียงวาทะกรรมทางศาสนาเพื่อสืบค้นหาสัจธรรมเพียงหนึ่งเดียว
ในที่สุดได้เกิดประเด็นและคำถามต่างๆนานาขึ้นกับตัวเองว่า ความจริงอื่นนอกจากสสารและวัตถุที่เราเห็นอยู่รอบๆตัวเรานั้น มีอีกหรือไม่? ถ้าสมมติว่ามีความจริงอื่นที่ไม่ใช่สสารและวัตถุ แล้วจะมีการปฎิสัมพันธ์ระหว่างโลกแห่งความลี้ลับกับโลกนี้หรือไม่? และคำถามมีต่อไปอีกว่า และถ้ามีการปฎิสัมพันธ์ แล้วโลกแห่งวัตถุใบนี้ถูกสร้างโดยใคร? มนุษย์มีเรือนร่างเป็นแก่นแท้กระนั้นหรือ? หลังจากตายไปแล้วมนุษย์จะไปไหน? ยังมีชีวิตหลังความตายอีกกระนั้นหรือ? และอะไรคือวิถีชีวิตของมนุษย์ที่จะทำให้มนุษย์มีความผาสุก?
คำถามเหล่านี้ มีเพียงสัญชาตญาณดั้งเดิมเท่านั้นจะเป็นพลังแห่งการขับเคลื่อนในการไปสู่การค้นคว้าและการสืบค้น และเป็นที่มาของการเรียนรู้และทำความเข้าใจในเรื่องของศาสนา จนบรรลุถึงความจริงและค้นพบความจริงสูงสุด ที่เป็นสารัตถะแห่งชีวิตและนำไปสู่เป้าหมายของชีวิตอย่างลงตัว
นักเทววิทยามุสลิมได้แสดงหลักฐานถึงความจำเป็นต่อการแสวงหาศาสนาและการสืบค้นคำสอนทางศาสนาไว้ ๒ ประการ ดังนี้
๑)หน้าที่ในการรู้จักการขอบคุณ
มนุษย์ทุกคนได้รับความโปรดปรานและความดีงามแห่งชีวิตอย่างมากมาย ไม่ว่าในตัวของมนุษย์เอง มีการสรรค์สร้างมนุษย์มาอย่างสวยงามอีกทั้งสมบูรณ์ทั้งอวัยวะ ไม่ขาดตกบกพร่อง มีระบบต่างๆมากมายที่คอยทำงานให้ร่างกายและสรีระเจริญเติบโต
และที่เหนือไปกว่าสิ่งนั้นก็คือ สติปัญญา และมันสมองอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ที่มนุษย์สามารถพิชิตได้ทุกอย่าง ด้วยกับปัญญา และทำลายความอวิชชาให้ราบคาบจนสร้างความรุ่งเรืองตลอดมา
ถึงตรงนี้อาจมีคำถามว่า เราไม่ควรจะรู้จักผู้ให้คุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ และทำการขอบคุณเขากระนั้นหรือ? แม้แต่ชายใจบุญที่หยิบยื่นน้ำสักแก้วให้เราดื่ม เรายังจักต้องขอบคุณเขาเลย? ดังนั้นการสืบค้นหาผู้ให้และการขอบคุณต่อผู้ให้นั้น ถือว่าเป็นหน้าที่หนึ่งของมนุษย์ ที่สัญชาตญาณได้เรียกร้องและถามหา ซึ่งไม่มีวันจะปฎิเสธได้
ในสนามแห่งการดำเนินชีวิตและการดำรงชีพ เรามีหน้าที่ที่จะต้องคำนึงถึงความโปรดปรานทั้งมวลที่มีอยู่ และเมื่อนั้นเราก็จะรู้จักผู้ประทานความโปรดปรานและรู้จักพระผู้สร้างเราอย่างแน่นอน
๒)การสกัดกั้นภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้น
ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีบุคคลกลุ่มหนึ่งได้อ้างตนว่า เขาคือทูตและศาสดาของพระเจ้า ซึ่งบุคคลเหล่านั้น เป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ มีความซื่อสัตย์ พูดจริง มีประพฤติปฎิบัติการงานที่ดี อีกทั้งเรียกร้องประชาชนสู่การกระทำดี พวกเขาได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ใครก็ตามได้ยึดปฎิบัติตามคำสอนของพระเจ้าและละทิ้งในสิ่งที่พระเจ้าทรงห้าม พวกเขาจะมีชีวิตที่ดีงามทั้งโลกนี้และโลกหน้า และกลับการถ้าใครก็ตามไม่ศรัทธาต่อพระเจ้าและได้ละเมิดฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ จะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บปวดในโลกหน้า
จากคำบอกกล่าวของบุคคลที่อ้างตนว่าเป็นศาสดาของพระเจ้า ทำให้เราต้องนำเรื่องราวของศาสนามาพูดคุยและทำการค้นคว้า เพื่อมิให้เกิดภัยอันตรายอันร้ายแรงสำหรับชีวิตของเรา หลังจากที่เราได้จากโลกนี้ไปแล้ว
และจากสามัญสำนึกของมนุษย์ได้บอกว่า จำเป็นจะต้องสกัดกั้นและยับยั้งภยันตรายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับเรา แม้เพียงแต่อันตรายนั้นจะเล็กน้อยก็ตาม ดังนั้นอันตรายของผู้ไม่เชื่อในพระเจ้านั้นมันชั่งน่ากลัวเสียนี่กระไร และนั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องแสวงหาศาสนาและสืบค้นศาสนาที่สัจธรรม