โซเครติสและอิมามอะลี บินอะบีตอลิบ :ความเหมือนและความต่างกับการต่อสู้กับความอยุติธรรม(ตอนที่๒)
โซเครติสและอิมามอะลี บินอะบีตอลิบ
:ความเหมือนและความต่างกับการต่อสู้กับความอยุติธรรม(ตอนที่๒)
โดย ศ.(กิตติมศักดิ์)ดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
ศูนย์อิสลามศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
เส้นทางชีวิตทางการเมืองของท่านอิมามอะลี(อ) ได้เริ่มมาตั้งแต่สมัยที่ศาสดามุฮัมมัดยังมีชีวิตอยู่ เพราะแม้แต่ในขณะที่ยังไม่เป็นหนุ่มเต็มที่ ท่านก็ได้แสดงความกล้าหาญทางการเมืองให้ปรากฏต่อสายตาของคนในตระกูล บะนีฮาชิมมาแล้ว เมื่อครั้งที่ท่านศาสดา(ศ)ได้ประกาศศาสนาและประชุมกับบะนีอับดุลมุฎฎอลิบ ท่านศาสดามุอัมมัดกล่าวถามว่า “มีใครบ้างใหมจากพวกท่านที่จะช่วยเหลือข้าในกิจการงานนี้”
ทุกคนนิ่งเงียบ ยกเว้นท่านอิมามอะลีได้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าขออาสาเป็นผู้ร่วมภารกิจ และช่วยเหลือท่าน โอ้ศาสดาแห่งพระเจ้า”
ท่านอิมามอะลี(อ) ได้แสดงความกล้าหาญทางการเมือง ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของกลุ่มต่อต้าน อีกครั้งด้วยการนอนแทนที่ของท่านศาสดาในค่ำคืนที่ท่านศาสดาได้อพยบสู่มะดีนะฮ
และเมื่ออยู่ ณ เมืองมะดีนะฮ ท่านก็ยังเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองประจำเมืองเยเมนมาแล้ว จนกระทั้งก่อนหน้าที่ท่านศาสดามุฮัมมัดจะลาจากโลกนี้ ท่านได้จัดประชุมแก่ประชาชน ณ ตำบลฆอดีร คุม แล้วกล่าวแต่งตั้งท่านอะลีเป็นคอลีฟะฮ ผู้ปกครองต่อหน้าประชาชนว่า
“ ใครก็ตามที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ปกครองเหนือเขา ดังนั้นอะลีผู้นี้เป็นผู้ปกครองเหนือเขาด้วยเช่นกัน”
แต่เส้นทาง ทางการเมืองของท่านอิมามอะลี(อ)เริ่มผันผวน ภายหลังจากที่ทานศาสดาได้ถึงอสัญกรรม ทำให้ท่านต้องนั่งอยู่กับบ้านถึง ๒๕ ปี ดังนั้นวิถีทางการเมืองของท่านอิมามอะลี เต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะสภาพทางสังคมได้รับการเปลี่ยนแปลงและผู้คนกำลังจะเปลี่ยนวิถีชีวิตกลับสู่ความเป็นญาฮีลียะฮ มีการกดขี่ ปล่อยให้คนออ่นแอ ถูกรังแก คนไม่ดีมีอำนาจเหนือคนดี เข้ามาปกครองตามหัวเมืองต่างๆ ได้เกิดการรีดนาทาเร้นเบียดเบียน นำผลประโยชน์ของรัฐเป็นของตัวเอง มีการคอรัปชั่น เล่นพรรคเล่นพวก
จนทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ทนไม่ไหว ต้องลุกฮือก่อการปฏิวัติ และบุกเข้าลอบสังหารคอลีฟะฮอุษมาน จนเสียชีวิต หลังจากนั้นประชาชนได้พากันไปรวมตัวที่ลานบ้านของท่านอิมามอะลี เพื่อขอร้องให้ท่านเป็นผู้ปกครอง ทั้งๆที่ว่าตำแหน่งนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของท่านมาตั้งแต่แรก
แม้จะต้องรับภาระอันยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ท่านอิมามอะลีทำงานทุกอย่างด้วยความจริงใจ ท่านได้ลงไปสำผัสปัญหาของชาวบ้านด้วยตัวเอง และเปิดประตูบ้านไว้เสมอ เพื่อให้ประชาชนร้องทุกข์ และมาขอความช่วยเหลืออย่างเสรี
นับจากวันแรกที่ท่านอิมามอะลีได้เข้าตำแหน่งคอลีฟะฮ ท่านได้ประกาศต่อสาธารณชนว่า จะปกครองประชาชนด้วยความเป็นธรรมและความเที่ยงธรรม จะไม่มีความแตกต่างของเชื่อชาติ ไม่ว่าจะเป็นอาหรับหรือไม่ ท่านประกาศอีกว่า จะไม่มีการปฏิบัติต่อประชาชนให้แตกต่างกันในทางกฎหมาย ไม่ว่าในเรื่องนายกับบ่าว หรือระหว่างคนรวยกับคนจน
จากบทวิเคราะห์ของนักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม มีความเชื่อตรงกันว่าชีวิตของท่านอิมามอะลีมีสิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงไม่สามารถปฏิเสธได้ คือท่านนั้นเป็นผู้ที่ไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งใดเลยในชีวิต นอกเหนือจากการอุทิศตนเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
ชีวิตความเป็นอยู่ของท่าน ได้สะท้อนถึงความเป็นคนแน่วแน่อยู่สิ่งถูกต้อง โดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศชื่อเสียงส่วนตัว
แม้แต่อำนาจที่มีอยู่ในมือของท่าน ก็มิได้หวงแหนมันเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากท่านเห็นว่าอำนาจนั้นไม่ได้อยู่เพื่อค้ำจุนคุณธรรมหรือทำให้สัจธรรมดำรงอยู่ได้
ท่านอิมามอะลีถือว่า คุณค่าของความเสมอภาคและความยุติธรรมในสังคมนั้นสูงส่ง เกินไปกว่าการดำรงอยู่ของอำนาจใดๆ
อำนาจและเกียรติยศของผู้ใดก็ตาม ถ้าหากว่ามีไว้เพียงเพื่อประดับประดาตัวเองให้ดูมีสง่าราศี หรือเพื่อเสริมบารมี โดยไม่เอื้อประโยชน์ใดๆแก่สังคม อำนาจและเกียรติยศนั้นก็ไร้ค่า ควรจะยกเลิกและถอดออกไปจากสังคมนั้น เพราะการมีอยู่ของอำนาจและการปกครองนั้น มีแต่ทำให้ประชาชนและสังคมตกต่ำและความอัปยศ
ท่านอิมามอะลี(อ) ได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า ท่านนั้นมีความมั่นคงและเด็ดเดี่ยวในอุดมการณ์และจุดยืน นั่นก็คือการต่อสู้กับพวกอธรรมและสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมและประชาราชฎ์
และท่านอิมามอะลี(อ)สำแดงให้เห็นถึงการมีหลักการของท่านในบทบาทการปกครอง จึงทำให้การใช้อำนาจและการปกครองของท่านเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม การตัดสินพิพากษาของท่านในหมุ่ประชาชน เป็นการตัดสินที่เที่ยงธรรมและยุติธรรมยิ่ง
ท่านอิมามอะลีได้กล่าวไว้ว่า..
“หากฉันจะได้ครองอาณาจักรของโลกทั้งมวลนี้ โดยมีข้อแม้อยู่ว่าให้ฉันกลั่นแกล้งมดสักตัวหนึ่ง ที่มันกำลังนำเมล็ดพืชไปกินเป็นอาหาร(โดยการอธรรมต่อมดนั้น) ขอสาบานต่ออัลลอฮว่า ฉันจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด”
คำพูดของอิมามอะลี(อ)ในเรื่องนี้ได้ถูกนำมาบันทึกไว้ในตำราของนักเขียนไว้หลายเล่ม และยังได้นำมาวิเคราะห์เพื่อเป็นคติธรรมแก่นักปกครองทั้งหลายว่า ผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ใหญ่โต หรือเป็นนักการเมืองมีอำนาจล้นฟ้า หรือนักปกครองระดับแนวหน้า จะต้องไม่อธรรมและกดขี่หรือละเมิดสิทธิใดๆของผู้อื่นๆอย่างเด็ดขาด
ดังนั้นปรัชญาการเมืองและการปกครองของอิมามอะลี ก็คือการไม่กดขี่และไม่อธรรมต่อผู้อื่น แม้ว่าตัวเองจะมีอำนาจในการกระทำสิ่งนั้นก็ตาม และอิมามอะลียังได้สอนไว้อีกว่า แม้กระทั้งมดที่เป็นสัตว์ตัวเล็กๆ เราก็ต้องไม่ละเมิดสิทธิของมันอย่างเด็ดขาด
ท่านอิมามอาลี(อ)ถือว่าการปกครองและตำแหน่งผู้ปกครอง ตำแหน่งผู้นำ ถ้าไม่ได้ปกครองเพื่อความยุติธรรมและตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ควรแก่การตำหนิ และถือว่าตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องของความอยากความหลงของมวลมนุษย์ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการขัดเกลาแล้ว มนุษย์จะหลงและมีความอยากต่อตำแหน่งนั้น และท่านอิมามอะลี(อ)ถือว่าตำแหน่งผู้ปกครองและอำนาจรัฐคือสื่อที่สำคัญในการนำมาซึ่งความยุติธรรมและความผาสุกของสังคม และยังถือว่าการมีอำนาจรัฐที่สมบูรณ์จะทำให้สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีการกดขี่และการฆ่าฟันและนองเลือด
วันหนึ่งท่านอิบนุอับบาสได้เดินมาหาท่านอิมามอะลี ซึ่งในมือของเขามือรองเท้าเก่าๆและขาดมีรอยปะ ท่านอิมามอะลีถามอิบนุอับบาสว่า
”ราคาของรองเท้าในมือเจ้าเท่าไหร่หละ?”
เขาตอบว่า” ไม่มีราคาเลย”
อิมามอะลีกล่าวว่า”คุณค่าของรองเท้าเก่าๆในมือเจ้าคู่นั้น มีค่ามากกว่าการเป็นผู้ปกครองและมีอำนาจรัฐเสียอีก เพราะว่า ข้านั้นไม่รู้ว่าจะบริหารให้เกิดความยุติธรรมได้สมบูรณ์หรือเปล่า? ไม่รู้ว่าจะมอบสิทธิของผู้ที่ควรจะได้รับได้ครบหรือไม่? และไม่รู้ว่าจะทำลายล้างความอธรรมและความเลวออกไปได้หมดหรือไม่?”
อิมามอะลี กล่าวอีกว่า….
“ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเคารพสิทธิต่อกันของมนษย์ นั่นคือสิทธิของการปกครองของผู้นำต่อผู้ตาม และสิทธิของประชาชนต่อองค์กรรัฐ และถือเป็นความจำเป็นต่อพระองค์อัลลอฮ ซ.บ. ทรงกำหนดให้สิทธิต่างๆนั้นเกิดขึ้นในสังคมมนุษยชาติ และด้วยกับสิทธิการปกครองด้วยรัฐนั้น เป็นที่มาของการมีระเบียบและบ้านเมืองอยู่เป็นระบบ และยังสร้างเกียรติยศให้กับศาสนา ประชาชนจะไม่ได้รับความสันติภาพและเกิดสันติสุขได้ นอกจากอยู่ภายใต้การปกครองอันชอบธรรมและผู้ปกครองที่เหมาะสม รัฐต่างๆจะไม่เกิดสันติภาพได้ นอกจากความร่วมมือและความเข้มแข็งของประชาชน และประชาชนต้องน้อบรับสิทธิของการปกครองนั้น (โดยอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐ) และรัฐก็จะต้องดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างเป็นธรรม และเมื่อถึงเวลานั้น รัฐและการปกครองของอำนาจรัฐ จะเป็นที่ถูกยอมรับและศักสิทธิ์ และจะมีอำนาจการปกครองที่แท้จริง”
ความหมายของคุฎบะฮข้างต้นคือ สิ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดต้องคำนึง คือสิทธิของผู้ปกครองต่อประชาชน และสิทธิของประชาชนต่อผู้ปกครอง นั่นหมายความว่าถือเป็นหน้าที่ต้องปฏิบัติ โดยที่พระองค์อัลลอฮ ทรงกำหนดให้ทุกคนมีหน้าที่และสิทธิ เพื่อเป็นพื้นฐานของการมีปฎิสัมพันธ์และนำไปสู่ความมีเกียรติและความสูงส่งของการมีศาสนา กล่าวคือประชาชนจะไม่มีความสูงส่งและมีเกียรติใดๆเลย เว้นแต่เขาอยู่ภายใต้ผู้ปกครองของคนที่มีคุณธรรมและศิลธรรม และรัฐ การปกครองก็จะไม่ถือว่าเป็นรัฐที่ดีงามได้เลย นอกจากมีผู้ที่อยู่ใต้การปกครองเป็นผู้ที่ยืนหยัดและดำรงต่อสิ่งที่เป็นคุณธรรม นั่นก็คือว่า ประชาชนได้อยู่ใต้คติกาของการปกครอง คำรพกฎระเบียบของบ้านเมือง และผู้ปกครองและอำนาจรัฐได้สนองตอบต่อสิทธิของประชาชน
(ติดตามตอนต่อไป)