INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

สบาย สบาย สไตล์เกษม: ไทยปฏิรูปไปแค่ไหนก่อนเลือกตั้งปีหน้า

สบาย สบาย สไตล์เกษม

เกษม อัชฌาสัย

ไทยปฏิรูปไปแค่ไหนก่อนเลือกตั้งปีหน้า

บทความนี้เคยลงตีพิมพ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ในสำนักข่าวเจ้าพระยา เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อนปิดตัวเอง แต่เห็นว่า สมควรจะนำมาตีพิมพ์ลงอีกครั้งเพื่อย้ำว่าการที่รัฐบาล คสช.ตั้งเป้าหมายปฏิรูปประเทศไว้ทั้งหมดนั้น ทำไปได้แล้ว หรือไม่เพียงไร

ทั้งนี้เพราะคนไทยส่วนหนึ่ง (ไม่รู้แน่ชัดว่ามากแค่ไหน) โดยเฉพาะคนไทยที่”คิดดี-ทำดี-มีปัญญา”ตั้งความหวังมาแต่แรกว่า หลังจากคสช.เข้ายึดอำนาจและประกาศ”โรดแมป”หรือ”ถนนนำไปสู่”เป้าหมายที่กำหนดไว้”แล้วเมืองไทยก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในทางการเมือง การเศรษฐกิจ สังคมและคุณธรรม

ถามว่าเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่

ตอบว่า ยังเป็นเพียงความคาดหวังที่ไม่เป็นไปได้ง่ายๆ เพราะ คสช.เข้ามาทำหน้าที่เพียงประคับประคองสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น ถึงจะพยายามสักเท่าไรในความพยายามสนองตอบการเรียกร้องให้”ปฏิรูป”ด้านต่างๆ ที่ กปปส.พยายามนำเสนอ บนความเชื่อว่า เป็นความต้องการของมวลชนเสียงส่วนใหญ่

ขอวิจารณ์ว่าคสช.คงทำไม่ได้สำเร็จลุล่วงเอง เพราะเป็นเพียงทหารที่ไร้ประสบการณ์ในการบริหาร ถนัดแต่การป้องกันประเทศชาติมากกว่า

เมื่อไม่ใช่”มือบริหาร”และไม่มีเวลายาวนานอย่างต่อเนื่องเพียงพอที่จะฝึกฝนงานและเรียนรู้ จึงยากที่จะมีผลงานปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม สิ่งที่จะทำได้อย่างมากก็คือ

การ”ตั้งต้น”ให้รัฐบาลที่จะมาจากระบอบประชาธิปไตยในอนาคต

สิ่งที่ คสช.พยายามทำซึ่งสำคัญยิ่ง ก็คือการยุติความวุ่นวายและความแตกแยก ที่เกือบจะทำให้ชาติล่มสลาย กลับคืนสู่สภาพปกติและพยายามกำหนด”เป้าหมายในอนาคต”ที่มั่นคง ผ่าน”การปฏิรูป”ในชื่อของ”โรดแมป”

โดยหัวหน้า คสช.ประกาศเป้าหมายปฏิรูปไว้สามระยะ นัยว่าเพื่อสนองเจตนารมณ์ของมวลชนในนามของ”กกปส.”ที่ชุมนุมใหญ่ต่อต้าน”รัฐบาลระบอบขี้ฉ้อ”ในอดีตก่อนหน้านั้น คือ

๑ ระยะแรกสร้างความสมานฉันท์(จากปัญหาความแตกแยกในชาติ)อันรวดเร็วที่สุด โดยจะใช้เวลาราวสองถึงสามเดือน

๒ การใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว และตั้งสภาปฏิรูปเพื่อแก้ไขทุกเรื่องและทุกฝ่ายปรารถนาและยอมรับ ร่วมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่(ที่ถูกวิจารณ์ว่า”ฉบับปราบโกง”) จนเมื่อมีความปรองดองสมานฉันท์ ก็จะประกาศใช้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้

๓ เลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ(หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ) ซึ่งเดิมทีกำหนดเลือกตั้งทั่วไปไว้คร่าวๆ ว่า จะมีขึ้นภายในปีนี้(พ.ศ.๒๕๖๑) แต่แล้วก็เลื่อนไปต้นปีหน้า (พ.ศ.๒๕๖๒)

สาระสำคัญหรือประเด็นใน”การปฎิรูป”นั้นจากการสำรวจของทางการภายใต้ระบอบ คสช.พบว่ามี ๑๑ ประการ(จากเรื่อง”๑๑ ประเด็นปฏิรูประเทศ”โดย”ชวรงค์ ลิมป์ปัทมธานี”ในหนังสือพิมพ์”ไทยรัฐ”ฉบับ ๑๘/กค./๕๗)ด้วยกันได้แก่

๑  การทุจริตคอรัปชั่น

๒  การเข้าสู่อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร

๓   การใช้อำนาจในแง่รวบอำนาจและกระจายอำนาจ

๔   การควบคุมอำนาจ ด้านยุติธรรมและองค์กรอิสระ

๕   ปัญหาพลังงาน

๖   การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

๗   การศึกษา การเรียนรู้และภูมิปัญญา

๘   การพัฒนาสื่อสารมวลชน

๙   พัฒนาคุณธรรม จริยธรรม

๑๐ แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

๑๑ จัดสรรทรัพยากรที่ดิน น้ำและป่าไม้

แต่ปรากฏว่า มีความคืบหน้าสำเร็จไปเพียงบางส่วนเท่านั้น

ลองมาสำรวจกันดูว่า “การปฏิรูป”นั้นกระทำสำเร็จไปแค่ไหน

ข้อแรกในประการที่ ๑ ว่าด้วยการปฏิรูปการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น ไม่พบว่ามีการ”ปฏิรูป”ที่ชัดเจนหรือเด็ดขาด

ยกตัวอย่างกรณีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว แม้เอาตัวมาลงโทษได้หลายคน แต่ก็เป็นเพียงการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่เดิม หาได้เป็นผลจากการปฏิรูปการปราบปรามไม่

เมื่อเป็นเป็นเช่นนี้ จึงสามารถจัดการได้เฉพาะกับ”เบี้ย”บนกระดานหมากรุก”หาได้สามารถจัดการกับ”ขุน”ตัวการอันเป็นต้นเหตุแห่งการคอรัปชั่นเพื่อเป็นตัวอย่างไม่

๒ การเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร มีการวางรากฐานการปฏิรูป ด้วยการกำหนดโทษหนักการโกงเลือกตั้งอันเป็น”เครื่องมือสกัด”การใช้เงินซื้อเข้ามา ด้วยตัวบทกฎหมายต่างๆ ซึ่งน่าสนใจว่าจะสามารถสกัดกั้น”นักโกงเมือง”ได้ชะงัดจริงหรือไม่หรือในการเข้าสู่อำนาจการบริหารนั้น ดูเหมือนว่าจะกลับหันหลังเข้าคลอง

โดยเฉพาะในกรณีที่อนุญาตให้นายกรัฐมนตรีมาจาก”คนนอก”ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งได้ ซึ่งก็มีคำถามว่านี่คือการปฏิรูปหรือ

๓ การใช้อำนาจในแง่รวบอำนาจและกระจายอำนาจ ซึ่งยังมองไม่เห็นชัดว่า มีการปฏิรูปอย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นการปฏิรูปตำรวจ ซึ่งจนขณะนี้ ก็ยังไม่ไปถึงไหน ในขณะที่กระทรวงมหาดไทยผูกขาดอำนาจอยู่

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้า คสช.ก็เพิ่งจะสั่งการมอบหมายให้คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ  ซึ่งมี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์เป็นประธานดำเนินการในเรื่องนี้ ในสามประเด็นหลักๆ เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยจะให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๑ ดำเนินการปฏิรูปในสามประการคือ ๑ โครงสร้างและภารกิจ ๒ อำนาจในการสอบสวน ๓ การแต่งตั้งโยกย้าย แต่การแต่งตั้งโยกย้ายจะต้องทำให้เสร็จภายในปี ๒๕๖๐

ประเด็นที่เคยพูดกันมากในการปฏิรูปตำรวจ ด้วยการกระจายอำนาจ เลิกการบังคับบัญชาอย่างทหาร ป้องกันนักการเมืองใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ ด้วยการมอบหมายให้ท้องถิ่นระดับจังหวัดหรือระดับเมืองรับผิดชอบบริหารโดยตรง นอกเหนือไปจากรัฐบาลกลาง ซึ่งรับผิดชอบงานทั่วประเทศ  ซึ่งเป็นการแยกจัดองค์กรบริหารตำรวจอย่างที่ปฏิบัติกันในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมทั้งการมีตำรวจตามลักษณะงาน เช่น งานปราบปรามป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งเสพติด ฯลฯ  เป็นต้น

เหล่านี้ ยังไม่มีการเอ่ยถึง เพราะดูเหมือนว่า ในวงการตำรวจไม่สามารถยอมรับได้และอาจจะต่อต้านด้วย หากปฏิรูปเช่นนี้ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะเหตุไร

๔ การปฏิรูปการควบคุมอำนาจยุติธรรมและองค์กรอิสระ ซึ่งในกรณีนี้ เพื่อป้องกันมิให้นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงใช้องค์กรอิสระเป็นเครื่องมือ อย่างเช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้งและผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ เป็นต้น เพราะที่ผ่านๆ มาไม่มีความเป็นกลางเพียงพอ ซึ่งก็ยังไม่เห็นมีการปฏิรูป ที่ชัดเจนเช่นกัน

๕ การปฏิรูปพลังงาน ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนใช้ไฟฟ้าในราคาที่สูง(ทั้งๆที่เราสามารถผลิตน้ำมันและก๊าซได้เองบ่งบอกถึงความไม่ชอบมากลของฝ่ายบริหารพลังงาน)มุ่งให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ด้วยการลดค่าใช้จ่ายและได้รับการบริการที่ดีกว่าเดิมนั้น

ล่าสุด คณะกรรมการปฏิรูปพลังงาน จัดทำข้อเสนอเสร็จแล้ว นำเสนอต่อคณะกรรมการชุดใหญ่ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คาดจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาอนุมัติการบังคับใช้ได้ในเดือนเมษายน ๑๕๖๑ แต่ก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน

๖ การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน ผลงานของรัฐบาลในการส่งเสริมงานด้านนี้ เริ่มจากการที่นายพิชิต อัคราทิตย์รัฐมนตรีช่วยคมนาคม ได้นำเสนอแผนปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานไทย เพื่อสนับสนุนธุรกิจ ๔.๐ ในงานสัมมนา”กรุงศรี บิสซิเนส ฟอรัม ซีอีโอ ๔.๐ การปฏิรูปทางความคิด” เพื่อเป็นแนวทางให้ภาคเอกชนปรับตัวและรับมือกับโอกาส จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเทคโนโลยีและสังคมอันเป็นการกระตุ้นให้ภาคธุรกิจผนึกกำลังพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง การพัฒนาโครงข่ายสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในกทม.และปริมณฑล การเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งทางอากาศ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ฯลฯ คาดทุกโครงการจะเห็นรูปธรรมในห้าปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจชาติโดยรวมเติบโตขึ้นได้มาก

๗ การปฏิรูปการศึกษา การเรียนรู้และภูมิปัญญา ก็ยังมีอะไรที่ชัดเจน นอกจากความดำริให้นักเรียนใช้ชั่วโมงเรียนในชั้นลดลง ซึ่งยังไม่มีความริงจังอย่างไร

๘ ปฏิรูปการพัฒนาสื่อสารมวลชน เพื่อตอบคำถามบทบาทและหน้าที่ที่เหมาะสมเพื่อรับผิดชอบต่อส่วนรวม หลังเกิดภาวะ”สื่อเพี้ยน”จากการทำหน้าที่เพื่อรักษาประโยชน์ของส่วนรวม กลับหันไปทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ของเหล่ามิจฉาชีพ  (รวมทั้งนักโกงกินเมือง)

ในการนี้ คณะกรรมาธิการปฏิรูปสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ได้จัดทำข้อเสนอการปฏิรูปสื่อ ยื่นต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ พร้อมทั้งเสนอร่างกฎหมาย คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อสารมวลชน โดยกำหนดกรอบต่างๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์สามประการคือ

๑ การปฏิรูปด้านเสรีภาพสื่อบนความรับผิดชอบ

๒ การปฏิรูปด้านกำกับดูแลสื่อ

๓ การปฏิรูปด้านการป้องกันแทรกแซงสื่อ

ซึ่งทั้งหมดนี้ มีรายละเอียดมากมาย แต่มีปัญหาประการเดียวคือ จะนำกรอบปฏิรูปโดยรวม มาใช้เพื่อให้สื่อเชื่อฟัง หรือบังคับสื่ออย่างไร หากไม่มีสื่อไหนยอมรับ ในเมื่อสื่อแท้ๆ(ที่แทบไม่มีเหลือในสังคมไทย) ยึดหลักเสรีภาพ

๙ ปฏิรูปการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม เรื่องนี้คณะกรรมการการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาล แห่งสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้ทำรายงานเสนอต่อประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗ กำหนดกรอบแนวทางในการปฏิรูปโดยให้ครม.ยกเลิกระเบียบเก่า ตรากฎหมายใหม่มาใช้บังคับ เรื่องไปถึงไหน อย่างไรบังคับใช้ได้ผลหรือไม่ ยังไม่ปรากฏ

๑๐ ปฏิรูปความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เรื่องนี้หลังจากที่”อลงกรณ์ พลบุตร”รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้าในประเด็นแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม (ข่าว”คม ชัด ลึก”วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐) ว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เห็นชอบในพรบ.แข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๐ เพื่อสร้างระบบค้าเสรีที่เป็นธรรมและป้องกันการผูกขาดทางเศรษฐกิจ และครม.เห็นชอบร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อปฏิรูประบบภาษีและการคลัง เพื่อกระจายการถือครองที่ดินและสร้างฐานรายได้ของการปกครองท้องถิ่นให้เข้มแข็ง

หลังจากนั้นแล้วทุกอย่างเงียบนิ่ง ไม่มีอะไรคืบหน้า

ในขณะที่เมื่อวันที่ ๒ มกราคมที่ผ่านมา ในการให้สัมภาษณ์”สุทธิชัย หยุ่น ไลฟ์”ทาง”เฟซบุ๊ก” ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า อนาคตเศรษฐกิจไทยโดยรวมดูดี เพราะแรงกระตุ้นของเศรษฐกิจโลกและด้วยการเตรียมการของไทยพร้อมที่จะทำโครงการใหญ่ ๆ รวมทั้งการก่อกำเนิดของระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก(อีอีซี)และอื่นๆอันจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญ รวมทั้งการสร้างงานนั้น แต่กลับปรากฏว่า รัฐบาลกลับไม่สนใจที่จะแตะต้องหรือพูดให้ความสำคัญต่อภาคส่วนเศรษฐกิจที่สำคัญกว่าของชาติ คือภาคการเกษตร โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ไม่พยายามแก้ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นประชากรที่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ได้มีรายได้เพื่อจับจ่ายใช้สอย

จึงถามมาว่า นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ใช่หรือไม่

๑๑ การปฏิรูปการจัดสรรที่ดิน น้ำและป่าไม้ งานนี้เห็นได้ชัดจากความพยามของรัฐบาล คสช.ในการกวาดล้างการลักลอบบุกรุกที่ดินในเขตหวงห้าม ซึ่งเอาจริงทำจริง แม้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องบางคนจะเป็นคนใหญ่คนโตสักเท่าไร ก็ไม่ละเว้น

แต่ประเด็นนี้ ก็ยังมีปัญหาที่จะต้องแก้ไขอีกมาก รวมทั้งการอนุญาตให้เปิดเหมืองแร่ต่างๆ เช่น เหมืองทองคำ ในพื้นที่ที่ไม่ควรจะเปิดเพราะนอกจากจะแย่งพื้นที่น่าจะเหมาะสมกับการเพาะปลูกแล้ว ก็ยังสร้างมลพิษเป็นอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งหมดที่พยายามหยิบยกมานี้ เป็นเพียงส่วนน้อยในการสะท้อนความพยายามของ คสช. ซึ่งราษฎรที่มีจิตสำนึกที่ดี ต่างตระหนักและรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่ง ที่ยอมเสียสละและพยายามเข้ามาดูแลชาติบ้านเมืองอันเป็นส่วนรวมเพื่อความยั่งยืนสถาพร

แต่ที่ใคร่ตำหนิก็คือ การที่ไม่เอาจริงเอาจังต่อ”ต้นเหตุ”แห่งความเดือดร้อนไปทั้งชาติ รวมทั้งการเอาตัว”ทักษิณ”และบริวารมาลงโทษ”อย่างเด็ดขาด”ด้วยอำนาจเผด็จการที่มี

คนเหล่านี้ หากเป็นในเมืองจีนย่อมถูกประหารชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน แต่กลับปล่อยให้ลอยชาย คอยก่อกวนความสงบของชาติโดยรวมมิรู้จบ ทำให้ถูกวิจารณ์ด้วยความสงสัยว่า“รู้เห็นเป็นใจ”ด้วยหรือไม่

การที่จะพูดว่า ความผิดพลาดที่ผ่านๆมา เป็นความผิดของรัฐบาลก่อนๆ นั้น ก็ย่อมได้ แต่ก็ขัดกับเจตนารมณ์ของ คสช.ที่หมายเริ่มต้น นำเอาความเจริญรุ่งเรืองของชาติกลับคืนมา ในโอกาสที่ไม่ควรจะพลาดและ “ไม่ควรจะเสียของ”

ก็ได้แต่หวังว่า ความตั้งใจที่จะปฏิรูปชาติของ คสช.จะกลายเป็นจริง ในรัฐบาลชุดหน้า แม้จะไม่แน่ใจสักเท่าไร ในผลการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป

ก็ได้แต่ภาวนาว่า คนไทยผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จะเลือกได้รัฐบาลที่ดีงาม เข้ามาบริหารประเทศ ได้ในที่สุด

เพราะเหตุการณ์ร้ายๆที่ผ่านมา น่าจะเป็นพยานว่ารัฐบาลเลวนั้น สร้างความพินาศย่อยยับ ต่อบ้านเมืองได้อย่าง”เลวชาติ”แค่ไหน

 

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *