พอล พอลแมน : เชิงบวกสุทธิ
พอล พอลแมน : เชิงบวกสุทธิ
ความเป็นผู้นำแบบอย๋เหนือตัวเองได้วิวัฒนาการตลอดเวลา กลายเป็นครอบคลุมและให้อำนาจมากขึ้น มันแสดงคุณลักษณะโดยความต้องการที่จะรับใช้บุคคลอื่น ความรู้สึกที่เข้มแข็งของความมุ่งหมาย และจุดมุ่งที่การเจริญเติบโตส่วนบุคคล การอยู่เหนือตัวเองเป็นสภาวะของจิตใจ และค่านิยมที่เกี่ยวพันกับการเชื่อมโยงบริบทที่กว้างขึ้นและรับใช้ประโยชน์สุขของบุคคลส่วนใหญ่ผู้นำแบบอยู่เหนือตัวเองให้ความสำคัญของบุคคลอื่นเหนือพวกเขาเอง แนวคิดของความเป็นผู้นำแบบอยู่เหนือตัวเอง กำเนิดมาจากผลงานของอับราฮัม มาสโลว์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้รวมเอาการอยู่เหนือตัวเองเป็นระดับสูงสุดบนลำดับชั้นความต้องการของเขา การแสดงสภาวะตรงที่บุคคล ไปเลยพ้นความต้องการส่วนบุคคลของพวกเขาเอง มุ่งเน้นความมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น หรือสวัสดิการของบุคคลอื่น การอยู่เหนือตัวเองได้ถูกพิจารณาเป็นระดับสูงสุดของการพัฒนาของมนุษย์ภายในลำดับชั้นความต้องการของมาสโลว์ มันเกิดขึ้นภายหลังที่บุคคลได้ตอบสนองความต้องการพื้นฐานและไปถึงความสมหวังของชีวิตแล้วเรามีตัวอย่างของผู้นำธุรกิจหลายคนที่แสดง “การอยู่เหนือตัวเอง” ภายในความเป็นผู้นำของพวกเขามีทั้ง พอล พอลเเมน ซีอีโอก่อนหน้านี้ของยูนิลีเวอร์ อีวอง ชูนาร์ด ผู้ก่อตั้งพาตาโกเนีย เบลค มายคอสกี้ ผู้ก่อตั้งทอมส์ ริชาร์ด แบรนสัน ผู้ก่อตั้งเวอร์จิ้น กรุ้ป เป็นต้นตัวอย่างที่ดีมากของผู้นำธุรกิจที่ได้แสดงความเป็นผู้นำแบบอยู่เหนือคือ พอล พอลเเมน ซีอีโอก่อนหน้านี้ของยูนิลีเวอร์ ผู้บุกเบิก เพื่อการปฏิบัติทางธุรกิจที่ยั่งยืน และความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท การผลักดันเพื่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมภายในบริษัท ความเป็นผู้นำของพอล พอลเเมนได้ถูกพิจารณาอย่างกว้างขวางว่าเป็นการปฏิรูปขับเคลื่อนด้วยความมุ่งหมาย มุ่งหมายอย่างหนักเกี่ยวกับความยั่งยืนและการปฎิบัติทางธุรกิจที่มีจริยธรรม และบันดาลใจบุคคลอื่นให้ความสำคัญผลกระทบทางสังคมระยะยาวเหนือกำไรระยะสั้น พอล พอลเเมนเป็นผู้นำที่สนับสนุนเพื่อความยั่งยืนและสิทธิมนุษย์ เขาได้ทำงานที่จะสร้างพันธมิตร ระหว่างธุรกิจ รัฐบาล และสังคม เขาได้รณรงค์เพื่อสิทธิมนุษย์เขาเชื่อมั่นว่าธุรกิจควรจะดำเนินงานด้วยความมุ่งหมายทางสังคมที่ชัดเจน เลยพ้นไปเพียงแค่ทำกำไรสูงสุดการแสวงหาเพื่อที่จะสร้างผลกระทางสังคมทางบวก พอล พอลแมน ได้มุ่งเน้นความสำคัญของความร่วมมือร่วมใจกับผู้มีส่วนได้เสียทุกคน การขับเคลื่อนการกระทำร่วมกันบนความท้าทายโลกภายใต้ความเป็นผู้นำของเขา ยูนิลีเวอร์ ได้กลายเป็นผู้สนับสนุนที่มีชื่อเสียงต่อเป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืนยูเอ็นดำเนินการริเริ่มหลายอย่างที่จะลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เขาเป็นผู้เขียนหนังสือ Net Positive ระบุกรอบข่ายเพื่อธุรกิจ ดำเนินงานด้วยวิถีทางให้คืนกลับ แก่สังคมมากกว่าที่มันได้มา พอล พอลแมน ได้กระตุ้นธุรกิจ จัดการความท้าทายโลก เหมือนเช่น ภูมิอากาศ ความยากจน และความไม่เสมอภาค เขาได้มุ่งเน้นความสำคัญของธุรกิจก้าวเลยพ้นไปจากกำไรระยะสั้นและมุ่งความยั่งยืนระยะยาว พอล พอลแมน มุ่งเน้นความเป็นผู้นำที่ขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ ความมุ่งหมาย และความกล้าหาญ การมุ่งความยั่งยืนระยะยาว และการตัดสินใจอย่างมีจริยธรรม การให้ความสำคัญผลกระทบทางสังคมและสิ่งเเวดล้อมเหนือกำไรระยะสั้นเขาได้แนะนำปรัชญา เชิงบวกสุทธิ อ้างถึงโมเดลธุรกิจตรงที่บริษัทให้คืนกลับแก่สังคมมากกว่ามันได้เอามา การกระตุ้นบริษัททำดีมากกว่าไม่ดี หมายความว่าบริษัทให้กลับคืนไปสู่สังคม สิ่งเเวดล้อม และเศรษฐกิจโลก
ยูนิลีเวอร์ มุ่งหมายที่จะให้เเก่โลกมากกว่าที่พวกเขาได้เอามา การสร้างผลกระทบทางบวกสุทธิต่อโลก บริษัทมีส่วนช่วยผลกระทบทางบวกต่อโลกมากกว่าที่มันได้เอามาโดยการแก้ปัญหาโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และความไม่เสมอภาค และในที่สุดทำกำไร ด้วยการทำสิ่งนี้ บริษัทมุ่งหมายที่จะดำเนินงาน ด้วยวิถีทางที่สร้างผละกระทบทางบวกของสังคมและสิ่งแวดล้อมมากกว่าผลกระทบทางลบ บริษัทได้พยายามที่จะคำนวณและแสดงผลกระทบทางบวกที่พวกเขากำลังสร้างถ้อยคำ เชิงบวกสุทธิ กำเนิดมาจากหนังสือขื่อ “Net Positive : How Courageous Companies Thrive by Giving More Than They Take เขียนโดย พอล พอลเเมน และ แอนดรูว์ วินสตัน ผู้เชี่ยวชาญความยั่งยืน ตรงที่เขาได้ระบุปรัชญานี้ต่อธุรกิจดำเนินงานด้วยจุดมุ่งความยั่งยืน และประโยชน์เพื่อสังคม หนังสือได้ยืนยันว่าบริษัทต้องกลายเป็นเชิงบวกสุทธิเพื่อที่จะเจริญเติบโตและพวกเขาสามารถกำไรด้วยการแก้ปัญหาของโลก พวกเขาเชื่อว่าการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นโมเดลเดียวเท่านั้นภายในโลกของความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงเมื่อพอล พอลเเมน พูดเกี่ยวกับศูนย์สุทธิ ศูนย์สุทธิ หมายความเพียงแค่การบรรลุความสมดุลตรงที่การปล่อยก๊าซคาร์บอนของบริษัทถูกลบล้างโดยการกำจัดก๊าซคาร์บอน เขาได้อ้างอิงถึงเป้าหมายของบริํษัทของการบรรลุการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิ หมายความว่าพวกเขาได้ลบล้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใดก็ตามที่พวกเขาได้สร้างด้วยการกระทำเหมือนเช่นการปลูกต้นไม้ หรือการลงทุนพลังงานหมุนเวียน แต่กระนั้นพอล พอลแมน มักจะวิจารณ์ ศูนย์สุทธิ ว่าจำกัดจนเกินไปเป็นเป้าหมายที่ไม่ทะเยอทะยานเพียงพอพอล พอลแมน ยืนยันว่าเพียงแค่บรรลุ ศูนย์สุทธิ ไม่เพียงพอ และบริษัทควรจะพยายามเป็น เชิงบวกสุทธิ หมายถึงพวกเขาทำงาน ที่จะเเก้ปัญหา โลกและสร้างผลกระทบทางสังคมทางบวก ผ่านการปฏิบัติทางธุรกิจของพวกเขา ไปเลยพ้นเพียงแค่บรรเทาร้อยเท้า ทางสิ่งแวดล้อมของพวกเขา เขาเชื่อธุรกิจมีความรับผิดชอบไม่เพียงแต่ลดผลกระทบทางลบของพวกเขาเท่านั้น แต่ควรจะมีส่วนช่วยต่อโลกที่ดีขึ้นและวิถีทางนี้สามารถนำไป
สู่ความสำเร็จระยะยาวที่ยิ่งใหญ่พอล พอลเเมน ได้สนับสนุนวิถีทางเชิงบวกสุทธิ ที่ป้องกันมากขึ้น ตรงที่บริษัทได้พยายามปรับปรุงโลก ผ่านทางการกระทำทางธุรกิจของพวกเขาไปเลยพ้นเพียงแค่การลบล้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของพวกเขา และสร้างผลกระทบทางบวกทางสังคมและสิ่งเเวดล้อมแทน เขาเชื่อว่าการมุ่งศูนย์สุทธิเท่านั้นสามารถเป็นความเข้าใจผิด และมันอาจจะกระตุ้นบริษัทรีรอการกระทำที่มีความหมาย โดยขึ้นอยู่กับการลบล้างก๊าซคาร์บอนหริอเทคโนโลยีอนาคตที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ในขณะที่ ศูนย์สุทธิ มุ่งที่การปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่านั้น แต่เชิงบวกสุทธิมุ่งหมายการแก้ปัญหาทางสังคมที่กว้างขึ้น เหมือนเช่น ความไม่เสมอภาคความยากจน และสิ่งเเวดล้อมเสื่อมโทรม พอล พอลแมน ยืนยันว่าเชิงบวกสุทธิเป็นแนวคิดที่กว้างกว่าศูนย์สุทธิ และมันเกี่ยวกับการทำดีมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ทำอ้นตรายน้อยลง พอล พอลเเมนมองว่า บริษัทจะต้องฟื้นฟู ซ่อมแซม และให้ชีวิตใหม่ บริํษัทควรจะจัดการความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุกคน หนังสือ Net Positive โดยพอล พอลเเมน และแอนดรูว์ วินสตัน อ้างถึงวิถีทางธุรกิจ ตรงที่บริษัทมุ่งหมายที่จะสร้างผลกระทบทางบวกต่อโลกมากกว่าผลกระทบทางลบ ให้มากกว่าที่พวกเขาเอามา ด้วยการจัดการปัญหาทางสังคมและสิ่งเเวดล้อม ในขณะที่ยังคงบรรลุการทำกำไร มันจะไปเลยพ้นเพียงแค่ลดอันตรายน้อยที่สุด และเเสวงหาเพื่อที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางบวกต่อบุคคลและโลก หนังสือเป็นการสำรวจที่กระตุ้นความคิดของธุรกิจสามารถสร้างคุณค่าระยะยาว ในขณะที่กระทบทางบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างไรมันได้ให้แนวทางเพื่อผู้นำที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน บรรลุผลกระทบเชิงบวกสุทธิ บริษัทที่จะถูกพิจารณาเป็นเชิงบวกสุทธิ เมื่อการ
กระทำของพวกเขามีส่วนช่วยทางบวก ต่อการแก้ปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามพอล พอลแมน บริษัทเชิงบวกสุทธิ เป็นธุรกิจที่จะมีส่วนช่วยอย่างกระตือรือร้นผลกระทบทางสังคม และสิ่งเเวดล้อมทางบวกต่อโลกมากกว่าพวกเขาได้แนวคิดของเชิงบวกสุทธิได้ถูกดำเนินการผ่านทาง แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนเมื่อ ค.ศ 2010 มุ่งหมายที่จะปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลมากกว่าหนึ่งพันล้านคน ในขณะที่ได้ลดรอยเท้าทางสิ่งแวดล้อมลง การทำให้วิถีทางของเชิงบวกสุทธิเป็นตัวตน แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน – ยูเอสเเอลพี เป็นกลยุทธ์ที่ถูกสร้างโดยพอล พอลแมนซีอีโอก่อนหน้านี้ของยูนิลีเวอร์ ทำให้ความยั่งยืนกลายเป็นส่วนแกนของการดำเนินงานของบริษัท แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนกำเนิดจากความเชื่อของบริษัทว่าการเจริญเติบโตด้วยการสูญเสียสิ่งแวดล้อมและบุคคลไม่สามารถยั่งยืนได้เเผนการดำรงชีวิฟตอย่างยั่งยืนของยูนิลีเวอร์ ได้ถูกเปิดตัวเมื่อค.ศ 2010 กำหนดเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน ปรับปรุงชีวิตของบุคคล ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ยกระดับการดำรงชีวิตของลูกโซ่อุปทานของยูนิลิเวอร์ เป็นตัวอย่างที่สำคัญของการกระทำของเชิงบวกสุทธิ เชิงบวกสุทธิแสดงไม่เพียงแค่ลดผลกระทบทางลบให้ต่ำสุดแต่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงทางบวก ผ่านทางผลิตภัณฑ์ การดำเนินงาน และลูกโซ่อุปทานด้วยวิถีทางนี้มุ่งเน้นการปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลพร้อมด้วยการลดรอยเท้าทางสิ่งแวดล้อมทั่วทุกด้านของธุรกิจพอล พอลเเมนเชื่อว่าทุนนิยมควรจะคิดใหม่ที่จะรวมผู้มีส่วนได้เสียทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถือหุ้นเขาเชื่อว่าธุรกิจควรจะถูกยอมรับโดยสังคมและพวกพวกเขาควรจะเเข่งขัน บนความไว้วางใจ และความรับผิดชอบ โมเดลของทุนนิยมของผูเถือหุ้นในขณะนี้ได้ล้มเหลวและนำไปสูการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและการยึดเหนี่ยวของสังคม และพอล พอลแมน เชื่อว่า ทุนนิยมที่ยั่งยืนคือธุรกิจควรจะให้ความสำคัญความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุก
คนรวมทั้งบุคคล ซัพพลายเออร์ ลูกค้า และชุมชน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถือหุ้น วิถีทางนี้สามารถปรับปรุงสภาพเเวดล้อม และสร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน เสมอภาคและรับผิดชอบมากขึ้น มันอยู่บนความคิดว่าธุรกิจควรจะถูกขับเคลื่อนด้วยคุณค่า ไม่ใช่เพียงขับเคลื่อนด้วยกำไร พอล พอลเเมน เชื่อว่าทุนนิยมผู้ถือหุ้นไม่ถูกต้อง และเรามีวิถีทางที่ดีกว่าเพื่อที่จะทำธุรกิจ พอล พอลแมน เป็นผู้สนับสนุนของทุนนิยมที่มีจิตสำนึก เป็นวิถีทางการบริหาร
ธุรกิจที่ให้ความสำคัญความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียเหนือการทำกำไรสูงสุดการมุ่งเน้นว่าธุรกิจควรจะทำงานปรับปรุงโลกเพื่อผู้มีส่วนได้เสียของพวกเขา ไม่ใช่เพียงแค่ทำกำไรสูงสุดเพื่อผู้ถือหุ้นของพวกเขา
แนวคิดของทุนนิยมที่มีจิตสำนึกกำเนิดมาจากหนังสือ 2012 Conscious Capitalism : Liberating the Heroic Spirit of Business จอห์น แมคคีย์ และราจ ซิโซเดีย หนังสือได้แนะนำความคิดว่าธุรกิจควรจะพิจารณาความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถือหุ้นเท่านั้นทุนนิยมที่มีจิตสำนึกเป็นปรัชญาธุรกิจที่กระตุ้นให้ธุรกิจ พิจารณาผลกระทบของการ
กระทำของพวกเขาต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ยังคงทำกำไรอยู่ มันอยู่บนความคิดธุรกิจควรจะตอบสนองผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถือหุ้นพอล นิวเเมน และจอห์น แมคคีย์เป็นทั้งสองผู้นำธุรกิจสนับสนุนความคิดว่าธุรกิจควรจะเป็นพลังเพื่อสิ่งที่ดี พวกเขาสามารถช่วยเหลือปรับปรุงโลกเพื่อผู้มีส่วนได้ทุกคนของพวกเขา พอล พอลเเมน เป็นซีอีโอของยูนิลีเวอร์จอห์น แมคคีย์ เป็นผู้ก่อตั้งร่วมโฮล ฟูดส์ มาร์เก็ต บุคคลทั้งสองเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวทุนนิยมทีมีจิตสำนึก พอล พอลเเมน รู้จักกันต่อผลงาน
ของเขาบนความยั่งยืน ณ ยูนิลีเวอร์ และจอห์น แมคคีย์ เป็นผู้นำภายในการเคลื่อนไหวทุนนิยมที่มีจิตสำนึกพอล นิวเเมน ได้วิจารณ์ความคิดของมิลตัน ฟรีดแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิล ไพรซ์ ณ มหาวิทยาลัยชิคาโก ตรงที่เขาเชื่อว่าความรับผิดชอบหลักของบริษัท คือทำกำไรสูงสุดเพื่อผู้ถือหุ้น พอล พอลเเมน โต้แย้งว่าโมเดลของฟรีดแมนแคบเกินไป และบริษัทต้องพิจารณาความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุกคน มิลตัน ฟรีดแมน ได้เขียนเกี่ยวกับ Friedman Doctrine ภายในบทความนิว ยอร์ค ไทม์ 1970 รู้จักกันเป็นทฤษฎีของฟรีดแมนด้วย ทฤษฎีของจริยธรรมธุรกิจที่ให้ความสำคัญผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ทฤษฎี ได้ระบุว่าความรับผิดชอบหลักของบริษัทคือทำกำไรสูงสุดเพื่อผู้ถือหุ้น
พอล พอลเเมน เป็นผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งเพื่อสามบรรทัดสุดท้าย-ทีบีเเอล ทีบีเเอล เป็นโมเดลที่กระตุ้นธุรกิจให้ความสำคัญ : กำไร บุคคล และโลกเขาได้ใช้ทีบีเเอล ที่จะจัดการความท้าทายของโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โภชนาการ การรักษาอนามัย การทำลายป่า เเละสิทธิมนุษย์พอล พอลเเมนได้ใช้เสาสามเสาของความยั่งยืนที่จะนำทางความพยายามความยั่งยืนของบริษัทการมุ่งเน้นการเชื่อมโยงระหว่างกันของสิ่งเเวดล้อมสังคม และเศรษฐกิจภายในการปฏิบัติทางธุรกิจ ผ่านทางแผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของยูนิลีเวอร์ เสาเหล่านี้ รู้จักกันเป็นสามบรรทัดสุดท้ายด้วย บุคคล โลก และกำไร
*เสาสังคม มุ่งที่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่กระทบทางบวกต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต ปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคล ผ่านทางการริเริ่มกระทำเหมือนเช่น การให้เข้าไปสู่น้ำที่สะอาด การรักษา
อนามัย และการส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาชุมชน การพิจารณาความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุกคนคือ บุคคล ผู้ถือหุ้น ลูกค้าซัพพลายเออร์ และชึมชน
*เสาสิ่งเเวดล้อม ลดผลกระทบทางสิ่งเเวดล้อมของการดำเนินงานของยูนิลีเวอร์ มุ่งหมายลดรอยเท้าทางสิ่งแวดล้อมของบริษัทบนโลก โดยการลดการบริโภคทรัพยากร การสร้างการสูญเสีย และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ต่ำสุดผ่านทางการจัดหาและวิธีการผลิตและการลดผลกระทบทางสิ่งเเวดล้อมของผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน และการลดบรรจุภัณฑ์
*้เสาเศรษฐกิจ ยกระดับการดำรงชีวิตเพื่อบุคคลหลายล้านคน พยายามสร้างโอกาสเศรษฐกิจทางบวกเพื่อชุมชน และบุคคลตลอดลูกโซ่อุปทานการสร้างสภาพเเวดล้อมทางธุรกิจ ตรงที่บุคคลได้ถูกมองเป็นผู้มีส่วนร่วมที่เสมอภาคภายในความสำเร็จชองธุรกิจ ความมั่นใจว่าธุรกิจยังคงมีชีวิตอยู่ได้ทางการเงิน โดยการรวมความยั่งยืนไปสู่การดำเนินงาน การสร้างโอกาสตลาดใหม่ และขับเคลื่อนการเจริญเติบโตระยะยาวเมื่อ พอล พอลเเมน กล่าวว่า “ไม่ดีน้อย” ไม่เพียงพอ และเป้าหมายควรจะเป็น เชิงบวกสุทธิ เขาเชื่อว่าไม่ดีน้อยคือไม่ดี เพราะว่าโลกได้เกินเลยพรมแดนของมันไปเเล้ว ดีน้อย เขาหมายความว่าบริษัทได้พยายามที่จะลดผลกระทบทางลบต่อสิ่งเเวดล้อมและสังคมเท่านั้น แทนการทำงานอย่างกระตือรือร้นที่จะสร้างผลกระทบทางบวก เขาเชื่อว่ามันไม่เพียงพอภายในการเผชิญปัญหาโลกที่กดดัน เพียงแค่ทำให้ดีขึ้นกว่าไม่ดีที่สุดจะไม่ดีเพียงพอ และบริษัทควรจะพยายามเป็น เชิงบวกสุทธิ โดยการให้กลับคืนมากกว่าที่พวกเขาเอามาพอล พอลเเมนเชื่อว่าธุรกิจต้องทำดีมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ทำไม่ดีน้อยลง ธุรกิจต้องก้าวไปอย่างรวดเร็ว และ ณ ขนาด ที่จะรับมือความท้าทายของโลกและสังคม และต้นทุนของไม่กระทำกำลังกลายเป็นสูงกว่าต้นทุนของกระทำ เขายืนยันว่าเพียงแค่ลดผลกระทบทางลบไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อเราได้พิจารณาขนาดของความท้าทายทางสิ่งเเวดล้อมเหมือนเช่นการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ แทนเพียงแค่ ดีน้อย พอล พอลเเมน ได้สนับสนุนบริษัทควรจะมุ่งหมายเพื่อ ผลกระทบเชิงบวกสุทธิพอล พอลเเมน และอีวอง ชูนาร์ด เป็นทั้งสองผู้นำธุรกิจที่ได้มุ่งเน้นการรวมความยั่งยืนเข้าไปสู่ธุรกิจของพวกเขา การเเสดงความผูกพันต่อความยั่งยีน และความรับผิดชอบทางสิ่งแวดล้อม ผ่านทางงานของพวกเขา ณ ยูนิลืเวอร์ และพาตาโกเนีย พวกเขาเป็นตัวอย่างที่ดีมากของผู้นำธุรกิจที่ได้แสดงว่าความยั่งยืนและการทำกำไรสามารถจับมือกันได้อีวอง ชูนาร์ด มักจะถูกอ้างเป็นตัวอย่างที่ดีมากของผู้นำแบบรับใช้ การให้ความสำคัญความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลของเขา และสิ่งเเวดล้อมเหนือกำไร การสนับสนุนวัฒนธรรมบริษัทให้คุณค่าความรับผิดชอบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการให้อำนาจบุคคลและความผูกพัน การวางความต้องการของบุคคลของเขาเเละโลกเป็นลำดับแรก มันสอดคล้องกับหลักการของความเป็นผู้นำแบบรับใช้ในฐานะของผู้ก่อตั้งพาตาโกเนีย อีวอง ชูนาร์ดได้ผสมผสานความยั่งยืนอย่างสม่ำเสมอ ไปสู่การปฏิบัติทางธุรกิจ เขาสามารถถูกมองเป็นตัวอย่าง
ที่ดีมากของโมเดลธุรกิจ เชิงบวกสุทธิ ของพอล พอลแมน เพราะว่าไม่นานมานี้เขาได้ย้ายความเป็นเจ้าของส่วนใหญ่ของบริษัทของเขาไปสู่ทรัสต์ไม่ทำกำไร ทุ่มเทต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ทั้งพอล พอลแมน และอีวอง ชูนาร์ด เป็นผู้นำที่มีอิทธิพลภายในโลกธุรกิจ ที่เกี่ยวพันกับแนวคิดขอฃเชิงบวกสุทธิอีวอง ชูนาร์ด เป็นผู้ก่อตั้งพาตาโกเนีย เขาได้ถูกพิจารณาเป็นตัวอย่างที่ดีมากของบริษัทเชิงบวกสุทธิ เนื่องจากจากความผูกพันที่เข้มแข็งของเขา
ต่อความยั่งยืน และการเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม ตรงที่กำไรได้ถูกใช้ต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงและการป้องกันภูมิอากาศภาษีโลก เป็นนโยบายดำเนินการโดยอีวอง ชูนาร์เมื่อ ค.ศ 1985 ภาษีกำหนดให้พาตาโกเนียบริจาค 1% ของยอดขายของพวกเขาแก่องค์การสิ่งเเวดล้อม เงินที่ระดมมาจากภาษี 1% ได้ถูกใช้สนับสนุนองค์การทางสิ่งเเวดล้อมทั่วโลก การวิจารณ์บางอย่าง ได้กล่าวหา อีวอง ชูนาร์ดของการใช้ภาษีโลก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีแต่กระนั้นอีวอง ชูนาร์ดกล่าวว่า เขาเชื่อว่าภาษีทั้งหมดควรจะเป็นภาษีทรัพยากรเมื่อ ค.ศ 2002 อีวอง ชูนาร์ด ได้ก่อตั้งร่วม 1% เพี่อการขบวนการโลก กระตุ้นธุรกืจให้บริจาค 1% ของยอดขายของพวกเขาเพื่อสาเหตุทางสิ่งแวดล้อม เป้าหมายของขบวนการคือ การช่วยเหลือองค์การสิ่งเเวดล้อมแก้ปัญหาของโลกอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พันธมิตรทางธุรกิจสัญญาที่จะบริจาค 1% ของยอดขายของพวกเขาต่อสาเหตุทางสิ่งแวดล้อม การริเริ่มการกระทำนี้นับแต่นั้นมาได้เจริญเติบโตธุรกิจสมาชิกจำนวนมากและ ได้ปล่อยเงินหลายล้านเหรียญไปสู่การรักษาสิ่งแวดล้อมอีวอง ชูนาร์ด กล่าวว่า เรามีการเริ่มต้นเเละการสิ้นสุดของทุกชีวิต – และต่อความพยายามของมนุษย์ทุกอย่าง สายพันธุ์จะวิวัฒนาการและตายไป อาณาจักรลุกขึ้นมา และแตกสลาย ธุรกิจเจริญเติบโต และปิดไป ไม่มีข้อยกเว้น ผมเห็นด้วยกับสิ่งเหล่านี้ แต่มันเจ็บปวดผมที่จะเป็นพยานต่อการสูญพันธุ์ยิ่งใหญ่ที่สุด ตรงที่เรามนุษย์รับผิดชอบโดยตรงต่อการทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทีอัศจรรย์จำนวนมาก และวัฒนธรรมพื้นบ้านที่ล้ำค่า มันทำให้ผมเศร้าสลด ที่จะมองเห็นโชคชะตาของสายพันธุุ์ของเราเอง เราจะดูเหมือนว่าไม่สามารถแก้ปัญหาของเราเอง เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเมื่อเราทำลายธรรมชาติ เราทำลายตัวเราเอง
พอล พอลแมน เป็นซีอีโอของยูนิลีเวอร์ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์บริโภคใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก นับตั้งแต่ ค.ศ 2009 พอล พอลแมน ได้ฝังราก
ความยั่งยืน ณ แกน ของธุรกิจของยูนิลีเวอร์ เป็นผลลัพธ์ของความเชื่อว่าภายในทุนนิยมที่ยั่งยืนและเสมอภาคเขาเชื่อว่าธุรกิจต้องเรียนรู้ที่จะบรรลุความสำเร็จ ในขณะที่มีส่วนช่วยต่อสังคม และสนับสนุนความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ภายใต้ความเป็นผู้นำของเขายูนิลีเวอร์ได้ฝังรากสามเสาของความยั่งยืนภายในโครงสร้างบริษัท และกลยุทธ์ธุรกิจ สิ่งนี้ได้บรรลุความสำเร็จผ่านทางการดำเนินการของแผนการมีชีวิตอย่างยั่งยืนของยูนิลีเวอร์ แผนได้ครอบคลุมลูกโซ่อุปทานทั้งหมดของยูนิลีเวอร์ และมุ่งหมายเพิ่มยอดขายของยูนิลีเวอร์เป็นสองเท่า ในขณะที่ลดรอยเท้าทางสิ่งแวดล้อมโดยส่วนรวมของพวกเขา และเพิ่มผลกระทบทางสังคมแง่บวกของพวกเขาพอล พอลเเมนมุ่งหมายความเป็นผู้นำไม่ใช่บริษัทของเขาเท่านั้น แต่เพื่ออุตสาหกรรม โดยการแสดงกรณีตัวอย่างธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ผ่านทาง
แผนการดำรงชีวิตอย่างอย่างยืนถ้าเราบรรลุเป้าหมายทุกอย่างของเราบนบนแผนนี้ แต่ไม่มีใครเลยเดินตามการขอร้อง เราล้มเหลวอย่างน่าสลดใจ พอล พอลเเมน พูด เราพยายามแสดงว่าคุณสามารถบรรลุความสำเร็จเป็นธุรกิจ และในขณะเดียวกันแสดงชุมชนทางการเงิน และมันควรจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ดีกว่าอย่างหนึ่งเพื่อการลงทุนของพวกเขาผู้นำธุรกิจจะต้องรับรู้ว่าภายในลูกโซ่อุปทานโลก เราไม่มีทางที่จะว่าจ้างภายนอกต่อความรับผิดชอบทางสิ่งแวดล้อมหรือสังคม ตรงกันข้ามบริษัทข้ามชาติสามารถและต้องใช้ลูกโซ่อุปทานที่ขยายของพวกเขาขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงคุณภาพชีวิตภายในตลาดตรงที่พวกเขาได้ดำเนินงานอยู่พอล พอลแมน ซีอีโอที่ไม่ไร้สาระของยูนิลีเวอร์ เป็นผู้นำธุรกิจที่เชื่อมั่นอย่างเข้มแข็งความขาดแคลนทรัพยากรสามารถเป็นตัวเร่งเพื่อนวัตกรรมที่ลึกซึ้ง เขาได้รับรู้ว่า ณ อัตราการบริโภคของเราในขณะนี้ ภายใน ค.ศ 2030 เราต้องการโลกสองใบจัดหาทรัพยากรที่เราต้องการและรับเอาของเสียของเรา ดังที่ บัน คีมูน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ได้กล่าวว่า การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติในขณะนี้ และการใช้มันอย่างไม่ถูกต้อง โลกของเราไม่สามารถยั่งยืนได้
เราอาจจะมีแผนที่สอง แต่เราไม่มีโลกใบที่สองผมเชื่อมั่นว่าบุคคลวัยหนุ่มสาวสามารถและสร้างความแตกต่างภายใน การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ด้วยการทุ่มเท ความลุ่มหลง และการทำงานเป็นทีม เราจะสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นได้ ขอให้รักษาโลกใบที่หนึ่งไว เพราะว่าเรากำลังใช้ทรัพยากรราวกับว่าเรามีโลกสองใบ ไม่ใช่ใบเดียวพอล พอลแมน เป็นนักธุรกิจชาวดัทช์ เขาเคยป็นประธานบริษัทยุโรปตะวันตกของพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิ้ล ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ ค.ศ 2009 ถึง 2019 และเขาได้ทำงานภายในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์บริโภคนานเกือบสี่ทศวรรษ เขาเป็นซีอีโอของยูนีลิเวอร์ ตรงที่เขาได้แสดงว่าโมเดลผู้มีส่วนได้เสียหลายคนระยะยาว ไปด้วยกันกับผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดี เขาได้บริหารอาณาจักรของสบู่และมายองเนส ขณะนี้เขาต้องการคิดค้นใหม่ระบบทุนนิยม พอล พอลเเมน ได้เปิดเผยการริเริ่มที่สำคัญอย่างแรกของเขานับตั้งก้าวลงจากซีอีโอของยูนิลีเวอร์ เขาได้สร้างองค์การใหม่ชื่อ อิเมจิน ช่วยธุรกิจกำจัดความยากจนและความไม่เสมอภาค ภายใต้ความเป็นผู้นำของเขา ณ ยูนิลีเวอร์ พอล พอลแมน ได้สร้างการเจริญเติบโตของกำไรนำหน้าตลาดอย่างสม่ำเสมอ จุดมุ่งของเขาอยู่บน การบุกเบิกโมเดลใหม่ของการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียหลายคนของพวกเขา และสร้างผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมแก่ผู้ถือหุ้นของพวกเขา
พอล พอลแมน จะมีวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญ เเยกการเจริญเติบโตของบริษัทจากรอยเท้าทางสิ่งแวดล้อมและเพิ่มผลกระทบทางสังคมเป็นบวกผ่านทางแผนการมีชีวิตอยู่อย่างยั่งยืนของยูนิลีเวอร์ เขาได้แสวงหาความร่วมมือกับบริษัทอื่นเพื่อที่จะดำเนินการกลยุทธ์ธุรกิจอย่างยั่งยืน เขาได้มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดภายในการอภิปรายการกระทำ แก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศพอล พอลแมน ยังคงมองภาคธุรกิจเป็นเครื่องยนต์สำคัญของการเปลี่ยนแปลง ล ด้วยเวลาของเขา ณ บนสุดของยูนิลิเวอร์ ในฐานะของซีอีโอ เขาได้นำทางบริษัทที่จะติดตั้งห้องสุขาที่สะอาด ทั่วทั้งทวีปอัฟริกาผ่านทางตราสินค้าโดเมสทอสของพวกเขา ในขณะที่เขาได้กระตุ้นเด็กนักเรียนเอเชียล้างมือของพวกเขาโดยใช้สบู่ไลฟ์บอย ที่เป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนที่จะลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค
Cr : รศ สมยศ นาวีการ